การแต่งงานของเราเป็นแบบคลุมถุงชนรึเปล่า? : สำรวจวัฒนธรรมคลุมถุงชนอย่างเข้าใจง่าย

ไม่กี่วันก่อนเขียนบทความชิ้นนี้ ระหว่างที่ผมกับภรรยากำลังลงมาทำอาหารในห้องครัวของโรงแรม เพื่อนหญิงชาวอินเดียก็ถามผมว่า “การแต่งงานของเรานี่เป็นแบบคลุมถุงชนรึเปล่า (Is your marriage arranged?)”  ซึ่งในเมืองไทยคงไม่มีใครถามแบบนี้ 

จากเหตุการณ์นั้นผมจึงกลับไปหาข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าในประเทศแถบเอเชียใต้ (อินเดีย บังกลาเทศ เนปาล ปากีสถาน)

การแต่งงานแบบ arranged marriage ไม่ได้แปลว่าคลุมถุงชนซะทีเดียว แต่เป็นการตกลงระหว่างฝ่ายชายหญิงกับครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ขณะที่การแต่งงานแบบ love marriage ตามประเพณีอินเดียเป็นการตกลงกันระหว่างฝ่ายชายหญิงเท่านั้น

ส่วนการแต่งงานแบบคลุมถุงชนเขาเรียกว่า forced marriaged หรือบังคับแต่งงานโดยไม่ได้นำพาความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย

 

 

หลายคนที่ไม่ตระหนักถึงบริบทของการแต่งงานแบบ arranged marriage อาจเข้าใจว่าเป็นการกดขี่ผู้หญิงไม่ให้มีอิสรภาพในการเลือกคู่ของตนเอง (เช่น ผมไปเข้าใจว่า arranged marriage เท่ากับ forced marriage) แต่หากมองในมุมกลับว่า ความสำเร็จของการแต่งงานวัดกันที่การอยู่ด้วยกันโดยไม่หย่าร้างแล้วละก็ คุณจะพบว่า arranged marriage ชนะ love marriage อย่างขาดลอย เพราะประเทศอินเดียซึ่งมีการแต่งงานแบบ arranged marriage มากที่สุดในโลกนั้นมีอัตราการหย่าร้างต่ำที่สุดในโลกคือร้อยละ 1.1 แต่ประเทศเสรีนิยมอย่างอเมริกากลับมีอัตราการหย่าร้างสูงถึงร้อยละ 50

สาเหตุที่ทำให้ arrange marriage มีอัตราการหย่าร้างต่ำก็มีได้หลายปัจจัย เช่น ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวของทั้งสองฝ่าย (สามีภรรยาทะเลาะกัน ภรรยาหนีกลับบ้านไปหาแม่ แม่อาจช่วยเคลียร์ใจให้ทั้งสองฝ่าย) แต่หากมองในอีกแง่ก็อาจเป็นได้ว่าทั้งสองฝ่ายถูกกดดันให้ทนอยู่ด้วยกัน แม้จะระหองระแหงกันแค่ไหนก็ตาม

งานวิจัยหนึ่งบอกว่า ที่จริงแล้วในสังคม arrange marriage อย่างอินเดียผู้หญิงไม่ได้ตกเป็นฝ่ายถูกเลือกเสมอไปนะ หลายๆ ครั้งพวกเธอเป็นคนเลือกเสียด้วยซ้ำ ในงานวิจัยของคุณรักษาแห่งมหาวิทยาลัย Durham ที่ไปสัมภาษณ์ผู้หญิงชาวเอเชียใต้ 44 คนแล้วพบว่า พวกเธอไม่เพียงตระหนักถึงบทบาทของครอบครัวทั้งสองฝ่ายว่ามีความสำคัญต่อการใช้ชีวิตคู่เท่านั้น แต่พวกเธอยังใช้กลอุบายเพื่อให้ได้มาซึ่งชายในฝันที่เธอต้องการจาก arranged marriage ด้วย

 

 

สาวคนหนึ่งใช้วิธีกระซิบบอกป้าของเธอเกี่ยวกับหนุ่มที่เธออยากได้มาเป็นพ่อของลูก และให้ป้าไปโน้มน้าวพ่อแม่ของเธออีกที สุดท้ายเธอก็ได้แต่งงานกับหนุ่มที่หมายปอง

ส่วนสาวอีกคนหนึ่งบอกว่า เพราะเธอเกิดมาในครอบครัวที่ไม่มีพ่อจึงต้องการหาคนที่จะมาช่วยดูแลแม่ของเธอตอนแก่ และเป็นเหมือนพ่อของน้องสาวเธอด้วย ในที่สุดเธอก็พบผู้ชายในฝันคนนั้น

 

 

จะเห็นว่าที่จริงแล้วไม่ได้มีแต่มุมมองของการกดขี่ผู้หญิงในการแต่งงานตามวัฒนธรรมเอเชียใต้เท่านั้น แต่พวกเธอมีวิธีเลือกคู่ของตนเอง และการเลือกก็ให้ความสำคัญแก่ครอบครัวของพวกเธอด้วย ในทางจิตวิทยาวิวัฒนาการเมื่อผู้หญิงเลือกคู่มักพิจารณาไตร่ตรองถี่ถ้วนกว่าผู้ชายอยู่แล้ว เนื่องจากหากเลือกผิดเธออาจต้องเจอผู้ชายซึ่งไม่สามารถดูแลลูกที่จะสืบ DNA ของผู้หญิงต่อไปได้ ส่วนผู้ชายไม่ค่อยมีปัญหานี้ เพราะพวกเขาสามารถมีลูกได้มากหากเขามีกิ๊กหลายคน จึงพบว่าผู้หญิงมักไม่ได้แต่งงานกับผู้ชายเพราะความหล่ออย่างเดียว ยังพิจารณาถึงความสามารถในการเลี้ยงดู เช่น ฐานะทางการเงิน หน้าที่การงาน การเอาอกเอาใจ ความซื่อสัตย์รักเดียวใจเดียว สำหรับสาวชาวเอเชียใต้เองครอบครัวก็เป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งซึ่งช่วยให้ชีวิตคู่ของพวกเธอยั่งยืนขึ้น พวกเธอจึงให้ความสำคัญแก่เรื่องนี้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเรื่องอื่นๆ เท่านั้นเอง

 

ต้องขอบคุณ culture shock ครั้งนี้ที่ทำให้ผมเข้าใจอีกวัฒนธรรมหนึ่งมากขึ้น แล้วก็ได้มาเปิดมุมมองใหม่ๆ แก่ทุกท่านด้วยครับ

 

อ้างอิง

https://www.tandfonline.com/doi/full/10.1080/0966369X.2013.855630?scroll=top&needAccess=true&role=tab

คอลัมน์ “จักรวาลแห่งความรัก ดาวเคราะห์แห่งความเหงา”โดย นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์

#HugmagxPerthChimon

ร่วมพูดคุยกับเพิร์ธ&ชิม่อนถึงการทำงานในซีรีส์หัวใจในสายลม อีกทั้งถ่ายทอดมุมมองชีวิตและความรักเพื่อบันทึกเป็นความทรงจำดีๆ ไว้ในฮักฉบับนี้

Read More


0 Comments1 Minute

อยากมีลูกมากแต่กลัวแฟนมีลูกไม่ได้เพราะปัญหาสุขภาพ

ฝ่ายชายอยากมีลูก แต่ฝ่ายหญิงร่างกายไม่พร้อม ฝ่ายชายเลยไม่อยากแต่งแค่หมั้นไปก่อนรอมีลูกแล้วค่อยแต่ง แบบนี้ดีจริงแล้วหรือ?

Read More


0 Comments1 Minutes

การแต่งงานของเราเป็นแบบคลุมถุงชนรึเปล่า? : สำรวจวัฒนธรรมคลุมถุงชนอย่างเข้าใจง่าย

การแต่งงานของเราเป็นแบบคลุมถุงชนรึเปล่า (Is your marriage arranged?) บางคนอาจยังไม่เข้าใจถึงบริบทของการแต่งงานแต่ละประเภทอย่างแท้จริง

Read More


0 Comments1 Minutes

#HugmagxLongFrank

พบกับรอยยิ้มอันมีเสน่ห์และความเท่ปนน่ารักของ 'หล่ง' และ 'แฟรงค์' คู่จิ้นจากผลงานซีรีส์เรื่องล่าสุด Love Syndrome 3 ได้ใน Hug magazine

Read More


0 Comments1 Minute

Coffee Meets Bagel

เมื่อ "ความสัมพันธ์จริงจัง" คือสิ่งที่คนยุคใหม่มองหา Coffee Meets Bagel ชวนคนไทยเปิดใจ และปัดจอตามหารักที่มีความหมาย

Read More


0 Comments1 Minutes

PTSD แท้จริงคืออะไร

PTSD ชื่อที่เริ่มคุ้นหูคุ้นตาจากข่าวสารและสื่อต่างๆ แต่จะมีใครเข้าใจถ่องแท้บ้าง และโรคนี้ใกล้ชิดคุณมากกว่าที่คิด

Read More


0 Comments4 Minutes

#HugmagxForceBook

‘ฟอส’ จิรัชพงศ์ และ ‘บุ๊ค’ กษิดิ์เดช ชวนคุณร่วมติดตามว่าเพื่อนซี้นอกจอที่ต่างกันสุดขั้วจะปรุงแต่งความต่างอย่างลงตัวได้อย่างไรใน Hug magazine

Read More


0 Comments1 Minute

#HugmagxGeminiFourth

Hug ชวนสองหนุ่ม ‘เจมีไนน์’ และ ‘โฟร์ท’ จากซีรีส์แฟนผมเป็นประธานนักเรียน My School President ร่วมแบ่งปันมุมมองและรอยยิ้มต้อนรับซัมเมอร์ในปี 2023 นี้

Read More


0 Comments1 Minute

‘คุยข่าวรัก’ ก้อย บุญญิตา

ทุกเช้าทางช่อง 8 จะได้ยินเสียงแจ่มใสของนักข่าวหญิงมือดี ‘ก้อย’ บุญญิตา งามศัพพศิลป์ วันนี้เธอจะขอมารายงานข่าวรักฉบับพิเศษให้ ฮัก โดยเฉพาะ

Read More


0 Comments4 Minutes

ปลดล็อกความเชื่อผิดๆ ของผู้หญิง

ผู้หญิงมักถูกสอนให้รักนวลสงวนตัว ห้ามเปิดให้เห็น เกิดความอายกันเยอะ เลยไม่กล้าให้ตรวจ ซึ่งการตรวจภายในไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวหรือน่าอาย

Read More


0 Comments3 Minutes


Hario Cafe Bangkok Sukhumvit 33 พักผ่อนหย่อนใจสไตล์คนชิลล์

 

Hario Cafe Bangkok Sukhumvit 33

เมื่อถึงวันหยุดสุดพิเศษอันเหมาะแก่การพักผ่อนและชวนสร้างประสบการณ์ใหม่ในย่านสุขุมวิท ฮักฉบับนี้จึงขอชวนคุณผู้อ่านมาหย่อนใจที่คาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่น Hario Cafe Bangkok Sukhumvit 33 ด้วยการเดินทางแสนสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้าบีทีเอสลงสถานีพร้อมพงษ์ แล้วเดินเข้าไปในซอยสุขุมวิท 33 ก็พบจุดหมายที่ตั้งใจ รับรองว่าสายชากาแฟต้องปลาบปลื้มอย่างแน่นอน

 

 

 

ความรู้สึกแรกเมื่อก้าวสู่ตัวอาคารคือผ่อนคลาย ด้วยการออกแบบสไตล์โมเดิร์นญี่ปุ่นเน้นโทนสีขาว เสริมให้ร้านดูโปร่งโล่งและกว้างขวาง เพิ่มความสว่างด้วยบล็อกแก้วอันเป็นจุดเด่นและแนวคิดที่เข้ากันกับความหมายของชื่อ “Hario” ว่าราชาของแก้ว ทั้งยังมีมุมสินค้าน่าสนใจอย่าง อุปกรณ์ทำกาแฟ เมล็ดกาแฟ เครื่องครัว และของสัตว์เลี้ยง มาจำหน่ายให้ได้แวะชมหรือเลือกซื้อกลับบ้านเช่นกัน

 

Slow Bar & Speed Bar

 

 

ชั้นล่างแบ่งออกเป็น 2 โซน โซนแรกคือ “Slow Bar” ตกแต่งด้วยสีโทนสว่าง ราวกับอยู่ในห้องนั่งเล่นที่นั่งพูดคุยกันได้อย่างเปิดใจ พร้อมเสิร์ฟเมนูสุดพิถีพิถันมอบรสชาติกลมกล่อมและเข้มข้น ถัดมาคือโซน “Speed Bar” คุมโทนสีเข้มเพิ่มความน่าค้นหา ส่วนเมนูนั้นตามชื่อเลย คือรวดเร็วแต่เพิ่มความพิเศษและเอาใจใส่ในทุกขั้นตอน ระหว่างจิบเครื่องดื่มเพลินๆ สามารถชมหรือถ่ายรูปสวนหย่อมญี่ปุ่นได้ นอกจากนี้บนชั้นสองก็มีพื้นที่ “private” รวมถึงห้องประชุมสำหรับนัดเพื่อนๆ หรือประชุมงานก็สามารถจองได้เช่นกัน

 

 

เมนูที่ทางร้านแนะนำและขายดีคือ “Breakfast” เชฟใช้แป้งครอฟเฟิลอบในเตาวาฟเฟิล สัมผัสแรกคือเนื้อแป้งนุ่มกำลังดี มีกลิ่นหอมของมอสซาเรลล่าชีสที่เข้ากันได้ดีกับแฮม ไฮไลต์คือไข่ดาว on top ไข่แดงเยิ้มๆ กินคู่กับผักสลัด ดอกไม้ออร์แกนิก คลุกเคล้ากับน้ำสลัดญี่ปุ่น แค่นี้ก็อร่อยล้ำแล้ว

“Roffle-crab stick ebiko”  แป้งโรตีที่ทอดจนกรอบ หอมละมุน กินคู่กับปูอัดและไข่กุ้ง เค็มๆ มันๆ ให้ความรู้สึกคล้ายกับกินซูชิ ถือเป็นอีกเมนูที่อร่อยลงตัว จัดจานด้วยดอกไม้ได้น่ารักและน่ากินมากๆ

 

“Croffle Yuzu” ครอฟเฟิลที่มีจุดเด่นคือส้มเบิร์นหวานฉ่ำเสิร์ฟพร้อมซอฟต์ครีมมะพร้าว รสชาติหวานละมุนลิ้น ตัดหวานด้วยซอสส้มรสเปรี้ยวกำลังดี อีกเมนูของหวานที่ถ้าไม่สั่งถือว่าพลาดคือ “Waffle Honey Yuzu” นางเอกสาวสวยของเมนูนี้คือน้องๆ สตรอว์เบอร์รี ราสป์เบอร์รี และบลูเบอร์รี ผสานกับวัตถุดิบนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นอย่างน้ำส้มยูซูสู่ไอศกรีมโฮมเมด รสชาติเปรี้ยวนิดๆ สุดสดชื่น กินกับวิปครีมกลิ่นวนิลาที่ราดด้วยน้ำผึ้ง นอกจากนี้ยังมีขนมหวานสไตล์ญี่ปุ่นอีกหลากหลายเมนูให้ได้ลิ้มลอง

 

 

อีกหนึ่งความพิเศษคือ “เมล็ดกาแฟ” ซึ่งประมูลมาจากหลายแหล่ง เช่น นิการากัว คอสตาริกา โคลัมเบีย เยเมน ฯลฯ แล้วนำมาคั่วเอง เมนูเครื่องดื่มที่ทางร้านภูมิใจเสนอสำหรับคอกาแฟคือ “Hario Special Blend” กาแฟสกัดเย็นนำเข้าจากประเทศเยเมนผสานกับกาแฟไทยจากแม่ฮ่องสอน ผสมรัม แล้ว on top ด้วยส้ม เพิ่มความสดชื่นให้แก่เมนูนี้ได้เป็นอย่างดี

ากใครเพิ่งเริ่มดื่มกาแฟ ขอแนะนำเมนูจิบง่าย ไม่เข้มจนเกินไปอย่าง “Colombia Rosa” กาแฟนำเข้าจากประเทศโคลัมเบีย หอมกลิ่นสตรอว์เบอร์รีมีรสเปรี้ยวหวานแซมอยู่ในรสขมของกาแฟ เพิ่มความหอมด้วยส้มยิ่งกลมกล่อม

 

 

เมนูสุดท้ายบาริสตาได้คิดค้นเมนู signature โดยใช้น้ำทับทิมสด on top ด้วยช็อกโกแลตตีเข้ากับโซดา ขอบอกว่ารสชาติกลมกลืนกันอย่างเหลือเชื่อ แถมตกแต่งด้วยราสป์เบอร์รีและแผ่นทองคำอีกด้วย นอกจากนี้ทางร้านมีแผนจะเพิ่มเมนูอาหารและเครื่องดื่มตามเทศกาลให้ได้เลือกมากมาย

 

 

Hario Cafe Bangkok Sukhumvit 33

เปิดทุกวัน เวลา 06.30-20.30 น.

โทร. 06-3079-2691

Facebook: https://www.facebook.com/hariocafebkk/

Line: HARIOCAFEBKK

IG: HARIOCAFEBKK

 


เมื่อเพลงอกหัก บ่งบอกขั้นของความผิดหวัง : จิตวิทยาของเพลงอกหัก

หลายคนคงเคยผ่านเหตุการณ์ช้ำรักมาไม่มากก็น้อย เชื่อว่าในช่วงเวลาแห่งการอกหักนั้น การฟังเพลงถือเป็นวิธีคลายเศร้าซึ่งใครต่อใครเคยทำ โดยการค้นหาเพลงที่เนื้อโดนใจแล้วเปิดฟังมันซ้ำๆ นับร้อยรอบ ร้องไห้พร้อมกับดื่มจนเมาไปด้วยบ้างทั้งนี้แล้วแต่บริบทและรสนิยมของแต่ละคน ทว่ามีคนที่จริงจังกับเรื่องนี้อยู่ครับ

 

 

เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ที่ผ่านมา บริษัท FinanceBuzz ประกาศตามหาหนุ่มสาวที่เพิ่งอกหักหมาดๆ มาร่วมการวิจัยฟังเพลย์ลิสต์เพลงอกหักความยาว 24 ชั่วโมงเพื่อบันทึกข้อมูลว่า เพลงแบบไหนช่วยให้หนุ่มสาวหัวใจเดาะมูฟออนได้ดีที่สุด บริษัทฯ ได้ศึกษามาแล้วว่า การรักษาแผลใจด้วยวิธีต่างๆ ทั้งการเข้าคอร์สบำบัด พบนักจิตวิทยา หรือดูซีรีส์ Netflix เพื่อใช้เวลาเหล่านั้นทำกิจกรรมอื่นๆ แทนที่จะจมอยู่กับความเศร้าเฝ้าคิดถึงแฟนเก่านั้นใช้เงินราว 1,100 ดอลลาร์ (39,000 บาท) บริษัทฯ จึงจ่ายค่าตอบแทนแก่อาสาสมัครเข้าร่วมวิจัยครั้งนี้เป็นเงิน 1,100 ดอลลาร์ สิ่งที่กลุ่มคนอกหักเหล่านั้นต้องทำคือการลงคะแนนว่าแต่ละเพลงช่วยให้เขาหรือเธอรู้สึกดีขึ้นมากน้อยเพียงใด และจัดกรุ๊ปว่าเพลงนั้นอยู่ในขั้นไหนของจิตวิทยาความผิดหวัง

 

เพลงใดจัดอยู่ในจิตวิทยาความผิดหวังขั้นไหน 

 

 

โดยปกติเมื่อมนุษย์รู้สึกผิดหวังจะเกิดการตอบสนองหลายอย่าง ในทางจิตวิทยาได้จัดการตอบสนองเหล่านี้เป็น 5 ขั้นตามลำดับ (มีบางตำราที่แบ่งเป็น 7 ขั้น) ดังนี้ครับ

  1. ปฏิเสธ: เป็นขั้นช็อก ไม่ยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องจริง สมองอาจยังไม่ทันรับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นด้วยซ้ำ (คล้ายกับในละครเมื่อตัวร้ายรู้ว่านางเอกจะได้สมบัติทั้งหมด ก็ตะโกนว่า “ไม่จริง ไม่จริง” แล้วก็กรี๊ดสลบไปนั่นแหละครับ)
  2. โกรธ: เริ่มรับรู้ว่านี่คือเรื่องจริงจึงรู้สึกโกรธ พาลหาเรื่องคนโน้นคนนี้ ตั้งแต่คนรักจนถึงเพื่อนๆ ที่ให้ข้อเสนอแนะ ผลจากการแสดงความโกรธอาจทำให้เสียทั้งคนรักและเพื่อนได้
  3. ต่อรอง: เป็นช่วงง้อและคิดว่าจะแก้ไขเรื่องนี้อย่างไรให้สถานการณ์กลับมาเหมือนเดิม ซื้อขนม ของขวัญ หรือดอกไม้ นับเป็นช่วงที่เรียกได้ว่า “จัดหนัก จัดเต็ม ทุ่มสุดตัว”
  4. เศร้า: รับรู้ว่าทำอะไรก็ไม่ได้ผล ร้องไห้ เมามาย ฟูมฟาย โทร.หรือออกไปใช้เวลาอยู่กับเพื่อนๆ เพื่อเยียวยาจิตใจตัวเอง ขณะที่บางคนอาจเก็บเนื้อเก็บตัว ทั้งนี้แล้วแต่วิธีการของแต่ละคน
  5. ยอมรับ: ยอมรับว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่สามารถแก้ไขหรือไปต่อไม่ได้แล้ว เป็นช่วงเวลาแห่งความเข้าใจให้มูฟออน

 

 

โดยมากการตอบสนองเหล่านี้มักเริ่มจาก 1 จนถึง 5 บางคนอาจใช้เวลากับบางขั้นนานหรือเวลาบางขั้นเพียงน้อยนิด หรืออาจวนกลับไปกลับมาระหว่างขั้นต่างๆ หลายรอบ

จะเห็นว่าในบรรดาเพลงอกหักที่เราฟังต่างก็อยู่ในธีมของเรื่องราวเหล่านี้ หากเพลงไหนตรงกับขั้นของเรา ณ ช่วงเวลานั้นก็จะทำให้เราถูกอกถูกใจเพลงนั้นเป็นพิเศษจนต้องเปิดฟังซ้ำหลายรอบเช่น หากอยู่ในช่วงต่อรอง การฟังเพลง “คุกเข่า” ของวง cocktail ที่ร้องว่า “… ฉันกำลังขอร้อง อ้อนวอนเธออย่าไป ทิ้งตัวลงคุกเข่ากอดขาเธอเอาไว้ …” คงตรงใจ แต่เนื้อเพลงนี้อาจไม่โดนใจเท่าไหร่ หากตกอยู่ในช่วงโกรธย่อมพอใจที่จะร้อง “… แค่ผู้หญิงที่รักไม่จริง ทิ้งกันไป ไม่ทำให้ถึงตาย เรื่องแค่นี้มันขี้หมา …” ของวง Y Not 7 มากกว่า

 

หลายคนคงพอเห็นภาพแล้วใช่มั้ยครับว่า เพลงอกหักที่ฟังไม่ใช่แค่เพลงเฉยๆ แต่เชื่อมโยงกับจิตใต้สำนึกและอารมณ์ของเรา ณ ตอนนั้นด้วย และการที่เรารู้ว่าตัวเองอยู่ในขั้นไหนของความผิดหวังก็ช่วยให้ทำความเข้าใจตัวเองได้ดีขึ้น แน่นอนว่าทุกคนย่อมอยากข้ามไปสู่ขั้นที่ 5 เพื่อให้ตัวเองก้าวผ่านความเศร้าโดยเร็วที่สุด แต่เรายังเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ การอกหักต้องผ่านขั้นตอนและสภาวะหลายขั้นกว่าจะยอมรับได้ เพราะฉะนั้นอย่าลืมให้เวลากับตัวเองนะครับ

 

 

สุดท้ายนี้ผมขอฝาก QR code เพลย์ลิสต์เพลงจากการวิจัยข้างต้นไว้ด้วยนะครับ เผื่ออยากลองฟังกัน

 

อ้างอิง

คอลัมน์ “จักรวาลแห่งความรัก ดาวเคราะห์แห่งความเหงา”โดย นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์

 


Sarin Café’ คาเฟ่สไตล์โมเดิร์นริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่โดดเด่นด้วยอาหารไทย

 

Sarin Café’ คาเฟ่สไตล์โมเดิร์นริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่โดดเด่นด้วยอาหารไทย

 

‘Sarin Café’ คือร้านคาเฟ่แห่งใหม่ซึ่งเปิดตัวเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ตั้งอยู่ที่ ‘Kene Hotel Bangkok’ ในซอยเจริญนคร 31 และ 35 ซารังและแฟนแฟนเดินทางด้วยรถไฟฟ้าไปยังสถานีกรุงธนบุรีและนั่งแท็กซี่มุ่งหน้าสู่จุดหมายที่ปักหมุดไว้ใน GPS ไม่นานก็เห็นโรงแรมสีขาวตั้งตระหง่านอยู่ปลายทาง

 

 

ที่นี่ออกแบบอาคารอย่างเป็นเอกลักษณ์ด้วยดีไซน์ซุ้มโค้ง อีกหนึ่งจุดเช็คอินและถ่ายรูปของสถานที่แห่งนี้คือสระว่ายน้ำที่ตั้งอยู่กึ่งกลางโรงแรมใต้เรือนกระจก เราเดินต่อจนสุดทางก็พบกับ ‘Sarin Café’ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งตกแต่งให้เข้ากันกับโรงแรม ด้วยพื้นผนังสีขาวเป็นหลัก ใช้เฟอร์นิเจอร์สีขาวและเขียวมิ้นต์ เติมความเรียบหรูด้วยโต๊ะเคาน์เตอร์ลายหินอ่อนตัดกับสีน้ำตาลแดงด้านบน และฟาซาด (facade) เหล็กสีน้ำตาล ด้านบนเพดานออกแบบเป็นหลังคาหน้าจั่วที่มีช่องรับแสง ผสานกับผนังกระจกใสช่วยเพิ่มความรู้สึกโปร่งโล่ง สามารถมองเห็นวิวสีเขียวของต้นไม้ภายนอกได้ด้วย

 

 

คอนเซ็ปต์ของ ‘Sarin Café’ คือ ‘chic & chill’ สถานที่ซึ่งเป็นมากกว่าคาเฟ่ แต่เป็นพื้นที่สำหรับกินดื่ม เที่ยวเล่น ถ่ายรูป ของคู่รัก แก๊งเพื่อน และครอบครัว หรือพาคนรักมาชมทิวทัศน์ของแม่น้ำเจ้าพระยาในบรรยากาศโรแมนติก ที่ร้านยังมีโซนเอาท์ดอร์ไว้รองรับลูกค้าที่อยากพาสัตว์เลี้ยงคู่ใจมาเดินเล่น นอกจากนี้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารและเครื่องดื่มแบบ take away นำกลับห้องพักหรือเดินถ่ายรูปรอบคาเฟ่และโรงแรมได้ โดยเน้นเมนูอาหารไทยที่หลากหลาย หากมากันเป็นกลุ่มก็มี ‘เซ็ตหมูกระทะ’ ด้วย 

 

 ‘ข้าวผัดเคยกุ้ง’ เมนูขายดีที่นำกะปิหอมๆ มาผัดกับเคยกุ้งจากจังหวัดระนองและกุ้งสด บีบมะนาวเพื่อเพิ่มรสชาติสักหน่อย กินคู่กับเบคอนกรอบๆ ยิ่งเข้ากัน ตัดเลี่ยนด้วยพริกขี้หนู แตงกวา และต้นหอม

 

 

 

อีกจานที่ขอแนะนำคือ ‘ผัดไทกุ้งสด’ แม้เป็นเมนูพื้นๆ แต่อร่อยมาก ผัดด้วยเส้นจันท์เหนียวนุ่ม โปะด้วยไข่ และกุ้งตัวโต พร้อมเครื่องเคียงอย่างถั่วงอกและต้นหอม นอกจากนี้ยังมีเมนูทานเล่น ‘ปีกไก่ทอด’ เนื้อไก่ทอดจนกรอบนอก นุ่มใน รสเค็มกำลังดี กินต่างหากหรือคู่กับข้าวผัดก็อร่อย

 

 

 

หลังจากเพลิดเพลินกับของคาวแล้ว ต่อกันที่ของหวานแบบไม่กลัวอ้วน ‘Raspberry Cheesecake’ ชีสเค้กเนื้อเนียนนุ่มผสานกับความกรุบกรอบของครัมเบิ้ลโอริโอ้ด้านล่าง ท็อปด้วยราสเบอร์รี่รสหวานอมเปรี้ยว ตามด้วย ‘Toffee Cake’ เค้กรสกาแฟซึ่งแยกเป็นเลเยอร์ มีเนื้อครีมรสกาแฟสลับกับเนื้อเค้กหนานุ่มโรยด้วยถั่วแมคคาเดเมียแน่นๆ ราดซอสคาราเมลหอมหวาน เข้มข้นถึงใจทั้งกลิ่นหอมของกาแฟและคาราเมล

 

 

เครื่องดื่มของที่นี่ก็น่าสนใจอย่างเมนูซิกเนเจอร์ ‘Fresh Coffee with Coconut Juice’ น้ำมะพร้าวหอมละมุน ท็อปด้วยช็อตกาแฟคั่วเข้ม มีเนื้อมะพร้าวให้กินคู่กัน ดื่มแล้วได้รสหวานของน้ำมะพร้าวผสานกับรสชาติของกาแฟและหอมกลิ่นคาราเมล

 

 

และเมนูที่ห้ามพลาดอย่างเด็ดขาด ‘Blooming Unicorn’ เครื่องดื่มสีรุ้งที่เน้นความสดชื่นด้วยรสเปรี้ยวจากมะนาวตัดกับไซรัปพีช และความหอมของอัญชันโซดาด้านบน ดื่มคลายร้อนตอนกลางวันก็ดี หรือจิบตอนเย็นๆ ชิลๆ ก็ได้

 

 

Sarin Café

เจริญนครซอย 31 และ 35

เปิดวันทุกวัน เวลา 11.00-22.00 น.

Facebook: Kene Hotel Bangkok


My Personal Trainer เทรนเธอกลับเจอรัก ‘แนนนี่’ ภัทรนันท์ & ‘กัน’ ปวินท์

My Personal trainer    เทรนเธอกลับเจอรัก
                                    แนนนี่ ภัทรนันท์ & กัน ปวินท์

‘สวัสดีค่ะ’ เสียงสดใสจากหญิงสาวรูปร่างดี หน้าตาน่ารักนามว่า ‘แนนนี่’ ภัทรนันท์ หนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลลี่เบอร์รี่ อดีตเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังยุค ’90 ขณะเดินเข้ามาทักทายทีมฮักที่โต๊ะเล็กๆ ในร้านกาแฟ เธอควงคู่มากับสามีหนุ่มเทรนเนอร์ผมยาวมาดเซอร์ ‘กัน’ ปวินท์ ก่อนจะนั่งลงเพื่อให้สัมภาษณ์ถึงความรัก และการเริ่มต้นบทบาทใหม่ของการเป็นสามีภรรยา

 

The Beginning of love 

จุดเริ่มต้นของความรักครั้งนี้ สิ่งแรกที่นึกถึงคือ ‘ยิม’ สถานที่ออกกำลังกายสำหรับคนรักสุขภาพ หนุ่มกันรับหน้าที่เป็นโค้ชในยิมแห่งนี้ สาวสวยอย่างแนนนี่ผู้มีไลฟ์สไตล์คล้ายกันก็มีโอกาสมาทำกิจกรรมที่นี่ด้วย

แนนนี่เล่าว่า “ตอนแรกที่ไปคือเป็นยิมของเพื่อนที่เขาเป็นหุ้นส่วน เรารู้จักกันแล้วเขาชวนมาหลายรอบแต่ไม่ได้ไป จนวันหนึ่งมีอีเว้นต์แข่งกีฬาสปาร์ตัน เรซ เราเลยไปกับแก๊งพี่ ‘บีม’ ศรัณยู แล้วเจอกันที่นั่น เราคิดว่าคนนี้น่าจะคุยด้วยยาก ตอนนั้นเขาเป็นโค้ชและทำหน้าที่ management คอยแสตนบายอยู่ข้างหน้า จากนั้นมาเจอตอนเข้าคลาสก็เริ่มเพราะเพื่อนของเขามาร่วมด้วยและได้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ตอนแรกเขาเชียร์เราให้เพื่อน แต่เผอิญเราไม่ชอบต่างชาติ เราชอบคนเอเชีย และเราซื้อคลาสออกกำลังกายไปแล้วหนึ่งปี เพราะเราค่อนข้างจริงจังกับการเล่นสปาร์ตัน เรซ เลยเจอกันเรื่อยๆ ที่ฟิตเนสหรือเวลามาเข้าคลาส ตอนนั้นเราเห็นว่าเขาไม่ได้กินข้าวก็ทำโจ๊กไข่ขาวไปให้” การส่งอาหารให้หนุ่มเทรนเนอร์ครั้งนั้นได้เพาะความรู้สึกดีขึ้นทีละน้อย ช่วงแรกหนุ่มกันมองว่าแนนนี่คือลูกค้าคนหนึ่งและเป็นรุ่นพี่ที่มีความน่ารัก กระทั่งค่อยๆ ทำความรู้จักกันมากขึ้น 

 

 

นักร้องสาวเล่าถึงรูปแบบการใช้ชีวิตกับแฟนหนุ่มที่อายุห่างกันว่า “ตอนโสด เราชอบเล่นกีฬาโฟลว์ไรเดอร์ แนนนี่ไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน ชอบออกนอกบ้านมานั่งคนเดียว ใช้ชีวิตอย่างนี้จนวันหนึ่งรู้สึกเหนื่อย เริ่มอยากอยู่นิ่งๆ แล้วจังหวะตรงกับช่วงที่เจอกันพอดี ส่วนเรื่องไลฟ์สไตล์เรามีความเหมือนกัน เช่น ชอบไปพิพิธภัณฑ์ สวนสนุก สวนสัตว์ ดูแอนิเมชัน เราจึงจูนกันติดและไม่รู้สึกถึงความต่างเรื่องอายุ”

The Beginning of love 

จุดเริ่มต้นของความรักครั้งนี้ สิ่งแรกที่นึกถึงคือ ‘ยิม’ สถานที่ออกกำลังกายสำหรับคนรักสุขภาพ หนุ่มกันรับหน้าที่เป็นโค้ชในยิมแห่งนี้ สาวสวยอย่างแนนนี่ผู้มีไลฟ์สไตล์คล้ายกันก็มีโอกาสมาทำกิจกรรมที่นี่ด้วย

แนนนี่เล่าว่า “ตอนแรกที่ไปคือเป็นยิมของเพื่อนที่เขาเป็นหุ้นส่วน เรารู้จักกันแล้วเขาชวนมาหลายรอบแต่ไม่ได้ไป จนวันหนึ่งมีอีเว้นต์แข่งกีฬาสปาร์ตัน เรซ เราเลยไปกับแก๊งพี่ ‘บีม’ ศรัณยู แล้วเจอกันที่นั่น เราคิดว่าคนนี้น่าจะคุยด้วยยาก ตอนนั้นเขาเป็นโค้ชและทำหน้าที่ management คอยแสตนบายอยู่ข้างหน้า จากนั้นมาเจอตอนเข้าคลาสก็เริ่มเพราะเพื่อนของเขามาร่วมด้วยและได้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ตอนแรกเขาเชียร์เราให้เพื่อน แต่เผอิญเราไม่ชอบต่างชาติ เราชอบคนเอเชีย และเราซื้อคลาสออกกำลังกายไปแล้วหนึ่งปี เพราะเราค่อนข้างจริงจังกับการเล่นสปาร์ตัน เรซ เลยเจอกันเรื่อยๆ ที่ฟิตเนสหรือเวลามาเข้าคลาส ตอนนั้นเราเห็นว่าเขาไม่ได้กินข้าวก็ทำโจ๊กไข่ขาวไปให้” การส่งอาหารให้หนุ่มเทรนเนอร์ครั้งนั้นได้เพาะความรู้สึกดีขึ้นทีละน้อย ช่วงแรกหนุ่มกันมองว่าแนนนี่คือลูกค้าคนหนึ่งและเป็นรุ่นพี่ที่มีความน่ารัก กระทั่งค่อยๆ ทำความรู้จักกันมากขึ้น 

 

 

นักร้องสาวเล่าถึงรูปแบบการใช้ชีวิตกับแฟนหนุ่มที่อายุห่างกันว่า “ตอนโสด เราชอบเล่นกีฬาโฟลว์ไรเดอร์ แนนนี่ไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน ชอบออกนอกบ้านมานั่งคนเดียว ใช้ชีวิตอย่างนี้จนวันหนึ่งรู้สึกเหนื่อย เริ่มอยากอยู่นิ่งๆ แล้วจังหวะตรงกับช่วงที่เจอกันพอดี ส่วนเรื่องไลฟ์สไตล์เรามีความเหมือนกัน เช่น ชอบไปพิพิธภัณฑ์ สวนสนุก สวนสัตว์ ดูแอนิเมชัน เราจึงจูนกันติดและไม่รู้สึกถึงความต่างเรื่องอายุ”

Mind and body

คู่รักสายเฮลตี้คู่นี้บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การมีไลฟ์สไตล์ที่ตรงกันส่งผลให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากผู้ชายคนนี้มีความเป็นสุภาพบุรุษมาก การันตีโดยแฟนสาวอย่างแนนนี่ที่กล่าวว่า เขาเป็นโค้ชที่ดี 

ขึ้นชื่อว่าการออกกำลังกายย่อมมีบางจังหวะที่ผิดพลาดจนเกิดการฟกช้ำ สร้างความเจ็บปวดให้เราซึ่งจะนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับรอยแผลนั้นเล็กหรือใหญ่ เฉกเช่นความรักที่ระหว่างทางรังแต่จะปวดใจจากปัญหาความขัดแย้งที่สั่งสมไว้

แนนนี่อธิบาย “จริงๆ มีปัญหาเรื่องหนึ่งแต่ความรักยังสามารถไปต่อได้ คือแนนนี่เป็นคนค่อนข้างซีเรียสเรื่องเวลามาก ถ้านัดหมายกันไปไหน เราจะเคลียร์ตารางทุกอย่างเรียบร้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานัดเขา แต่เขากลับต้องไปเทรนกะทันหัน เราจึงถามว่าทำไมไม่บอกอีกฝ่ายว่าวันนี้มีนัดแล้ว พอบ่อยขึ้นก็เริ่มโมโหเพราะเราเป็นคนแบบนี้ การที่เราล็อกเวลาแล้วเกิดการผิดนัดสำหรับเราหมายถึงการไม่ให้เกียรติ ทุกวันนี้ยังมีปัญหาบ้างแต่เขาก็พยายามปรับตัว แต่ข้อดีของเขาคือเป็นคนไว้ใจได้ในทุกเรื่อง ข้อเสียคือเขาไม่ค่อยแอคทีฟ ต่างจากเราเลยพยายามปรับให้เข้ากันได้” 

 

 

เทรนรักให้มัดใจ

เพราะกันและแนนนี่ผ่านช่วงเวลาเข้าคอร์สเทรนการใช้ชีวิตร่วมกันมาแล้ว ชีวิตคู่หลังจากนี้จึงยังคงเป็นเช่นเคย “เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้วหลังจากที่เราคบกัน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ แฮปปี้ แม้แต่งงานแล้วชีวิตของเราก็เหมือนเดิม แค่เปลี่ยนสถานะและเป็นการให้เกียรติครอบครัว เรารู้สึกว่าอยู่ด้วยกันนั้นดี ไม่มีอะไรต้องปรับเพราะปรับหมดแล้วตั้งแต่ช่วงปีแรก”

สำหรับการดูแลกันและกัน “เราดูแลเรื่องอาหารว่าเขากินอะไรหรือยัง รวมถึงเรื่องปกติทั่วไป ไปฟิตเนสก็ให้คุณกันดูแล หรือกลับมาก็เตรียมวิตามินให้เขา” นักร้องสาวกล่าวสั้นๆ ส่วนหนุ่มเทรนเนอร์เล่าอย่างเขินๆ ว่า “ผมชอบที่ได้เห็นเขามีความสุข เวลาที่ผมเซอร์ไพรส์เขาก็ไม่ได้จัดอะไรยิ่งใหญ่มาก เช่นซื้อดอกไม้ให้ ช่วยให้ความสัมพันธ์ของเรามีสีสัน การที่เราคบกันนานแล้วไม่ใช่ว่าไม่ต้องพยายาม เราก็พยายามต่อไปให้ชีวิตคู่มีสีสันอยู่ตลอดครับ”

 

 

อีกเรื่องหนึ่งที่ทั้งคู่วางแผนไว้คือ ‘การสร้างครอบครัว’ เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ค่อนข้างท้าทายในการเริ่มต้นบทบาท ‘พ่อแม่’ ซึ่งต้องปรึกษาหารือกันเพื่อจัดสรรหน้าที่ของแต่ละคนว่าทำอะไรบ้างหากมีลูก รวมถึงการวางแผนชีวิตของลูกในอนาคต ซึ่งเราคิดว่าทั้งคู่สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างมีคุณภาพและมอบความรักให้อย่างเต็มเปี่ยมแน่นอน

อย่าหลงลืมการชื่นชม

ระหว่างการสัมภาษณ์เราแอบเห็นหนุ่มกันและสาวแนนนี่ส่งสายตาหวานซึ้งให้กันอยู่ตลอด จนอดถามไม่ได้ว่าทั้งสองคนประทับใจซึ่งกันและกันในด้านไหนบ้าง ฝ่ายชายอาสาตอบก่อน “เขาดูแลผมเป็นอย่างดี เป็นคนน่ารัก นิสัยของเราคล้ายกัน ยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งรักกันมากขึ้น ไม่เจอกันก็คิดถึง ผมมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ไม่ใช่เพราะเขาเป็นแบบนี้ฉันถึงรักเธอ แต่คือภาพรวมที่เขาเป็นคนดีและคอยดูแลเอาใจใส่เราและสวยมาก (เน้นเสียง)”

ฝ่ายหญิงหันไปยิ้มให้ฝ่ายชายแล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เราเคยเห็นคนรอบข้างหรือคนที่เขารู้จักมักไม่ภูมิใจแฟนตัวเอง คำถามคือแล้วจะคบไปทำไม นั่นเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเรามาตลอด เราเองก็เคยเจอคนที่บอกว่า เธอไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สำหรับกันเขารู้สึกว่าเราดีพอทุกอย่าง ไม่ต้องเปลี่ยน เราชื่นชมกันเป็นประจำตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เราต่างก็มั่นใจเพราะรู้สึกว่าคนคนนี้คือคนที่เราเลือกจะอยู่ด้วย นั่นหมายความว่าเราให้เกียรติตัวเองกับสิ่งที่เลือก แล้วถ้าไม่รู้สึกดีต่อกันจะอยู่ด้วยกันทำไม เป็นธรรมชาติที่เราชื่นชมกัน ช่วยให้ความสัมพันธ์ของเราดีอยู่เสมอ

 

พื้นที่ปลอดภัย

 

 

หากถามว่าคุณสมบัติของคนรักที่ดีคืออะไร แนนนี่ตอบแบบไม่ลังเล “เราชอบความเป็นเขาและคิดว่าเขามีคุณสมบัติที่ใช่ เพราะเขาให้เกียรติเรามาก ชื่นชมตัวตนของเรา ส่วนคำว่าให้เกียรติคือ เราสามารถไว้ใจเขาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคนคนนี้ไม่มีทางทำเรื่องแย่ๆ เป็นคนที่เราอยู่ด้วยได้ตลอดชีวิต เราควรเป็นพื้นที่สบายใจให้เขาอยากกลับมาหา ไม่ใช่เป็นพื้นที่ที่ทำให้เขารู้สึกว่า อย่ามายุ่งกับฉัน” เธอหัวเราะหลังจากพูดจบ

ปิดท้ายด้วยคำตอบของหนุ่มกันที่เล่าไปยิ้มไป “ตามที่แนนนี่บอกคือรักของเรามีแต่ความเชื่อใจ อย่างผมเล่นโทรศัพท์เขาก็ไม่เคยขอเช็คข้อความ หรือต้องล็อคโทรศัพท์ คือทุกอย่างโปร่งใส ส่วนเรื่องอื่นๆ ทั่วไปในการใช้ชีวิตเราก็ตามใจเขา เพราะเวลาเขาโกรธนั้นน่ากลัวมาก เราต้องทำให้ happy wife, happy life ครับ


ลิ้มรสอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่น ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ร้าน ‘NYE’

ลิ้มรสอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่น ริมแม่น้ำเจ้าพระยาที่ร้าน ‘NYE’

 

ใครที่กำลังหาร้านอาหารอร่อยบรรยากาศดี พร้อมกับชมความสวยงามของแม่น้ำเจ้าพระยาในย่านธนบุรีขอแนะนำร้าน ‘NYE’ หรือ ‘นาย’ ร้านอาหารไทยสไตล์ฟิวชั่นที่ตั้งอยู่ในโรงแรม Amdaeng Bangkok Riverside Hotel ริมแม่น้ำเจ้าพระยาสุดชิลล์ เพียงแค่ภายนอกก็สะดุดตาด้วยตึกสีแดงชาดคล้ายกับสีแดงของหมากอันเป็นเอกลักษณ์

 

 

 

‘อำแดง’ หมายถึงนางหรือนางสาวในสมัยก่อน เจ้าของโฉนดที่ดินผืนนี้ในสมัยรัชกาลที่ 5 คือ ‘อำแดงคลี่’ และ ‘นายบุตรเพ้ง’ เจ้าของร่วมผู้เป็นลูกชาย ปัจจุบันคุณ ‘เล็ก’ พรรษพล ลิมปิศิริสันต์ และคุณ ‘หมิ่น’ วิบูลย์ ลีภักดิ์ปรีดา เจ้าของโรงแรมผู้เคยเป็นครีเอทีฟจึงใช้คำว่า ‘นาย’ เป็นชื่อร้านอาหารเพื่อเชื่อมโยงกับชื่อโรงแรม โดยมีแนวคิดเป็นร้าน cafestaurant ผสมผสานกันระหว่างคาเฟ่กับร้านอาหาร

 

การออกแบบและตกแต่งร้านผสมผสานทั้งไทย จีน และยุโรป ใช้เฟอร์นิเจอร์และผนังสีขาวดำแบบโมเดิร์นคลาสสิค ให้ความรู้สึกโปร่งด้วยหน้าต่างบานใหญ่เปิดรับแสงธรรมชาติ ส่วนโซนริมน้ำมีที่นั่งรับลมริมน้ำใต้ต้นไม้ใหญ่แสนร่มรื่น ด้านบนเป็นรูฟท็อป ออกแบบให้เป็นอัฒจันทร์สำหรับชมวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยา พร้อมวิวตึกสูงอีกฟากฝั่งแม่น้ำยามค่ำคืน 

 

สำหรับอาหารนั้น คุณเล็กและคุณหมิ่นร่วมกับคุณแบม ฟู้ดดีไซเนอร์จากเกรย์ฮาวด์คาเฟ่รังสรรค์เมนูไทยสูตรเดิมให้กลายเป็นอาหารสไตล์ฟิวชั่นเพื่อสุขภาพที่ใส่ใจรายละเอียดและดัดแปลงวัตถุดิบ เริ่มที่เมนู ‘ปูนิ่มทอดกระเทียม’ เสิร์ฟคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ดวาซาบิเพื่อตัดเลี่ยน ได้รสชาติแปลกใหม่เหมือนทานของทอดแบบญี่ปุ่น

‘ยำเป็ดฉีกใส่ลิ้นจี่’ เนื้อเป็ดฉีกยำกับลิ้นจี่เพื่อเพิ่มความสดชื่น พร้อมด้วยรสเปรี้ยวหวานแทนมะนาวและน้ำเชื่อม ละมุนกว่ายำรสจัดที่เราเคยกิน

‘แกงส้มไหลบัวกุ้ง’ เชฟเลือกใช้ไหลบัวกรอบปรุงกับพริกแกงและกุ้ง รสชาติเข้มข้นทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ ยิ่งอร่อย

ต่อด้วยเมนูไฮไลต์ ‘ทอดมันปลากรายหนึบ’ กินเล่นก็ได้ กินกับข้าวก็ดี ใช้ปลากรายแท้ๆ ไม่ผสมแป้งและเครื่องแกง เพื่อให้ได้รสชาติของปลากรายแบบเต็มๆ กินคู่กับน้ำจิ้มอาจาดแอปเปิ้ลเขียวหรือครีมซอส

ของหวานโบราณอย่าง ‘มะกรูดลอยแก้วน้ำเชื่อมใบเตย’ มะกรูดเนื้อเปรี้ยวหวานตัดกัน คลายร้อนได้ดี

‘ไอศกรีมกะทิสดโรยด้วยอัลมอนด์กรุบกรอบ’ รสชาติหวานมันกำลังดี กินเพลินๆ เติมความสดชื่น 

ส่วนเมนูเครื่องดื่มที่เราแนะนำคือเมนูซิกเนเจอร์ ‘Amdaeng River’ เครื่องดื่มที่เปรียบดังสีสันของแม่น้ำเจ้าพระยา ทางร้านใช้แอปเปิ้ล ตะไคร้ สับปะรด และชูรสชาติเปรี้ยวหวานด้วยน้ำผึ้งและมะนาว

‘Amdaeng berry’ เครื่องดื่มสีแดงคล้ายกับสีของอาคารอำแดง มีส่วนผสมของเบอร์รี่ มะนาว และแอปเปิ้ล สาวกเบอร์รี่ห้ามพลาด

NYE

BTS กรุงธนบุรี ทางออก 3

เปิดวันศุกร์-อาทิตย์ เวลา 11.00-21.00 น.

Facebook: AMDAENG Bangkok riverside hotel


พักพิงอิงกายในสวนทูนอิน “Turn on, Tune in, Drop out”

พักพิงอิงกายในสวนทูนอิน

“Turn on, Tune in, Drop out”

เสียงเร่งเครื่องยนต์ขับเคลื่อนสี่ล้อ ค่อยๆ ไต่ระดับความลาดชันของถนนมุ่งหน้าสู่ดอยโป่งแยงอย่างระมัดระวัง สองข้างทางอันแสนคดเคี้ยวเต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจี สายลมกำลังพัดพาเอาหมอกสีขาวปุกปุยลอยไปอยู่เหนือยอดเขา ทุกคนในรถพร้อมใจกันลดระดับกระจกลง เพื่อสัมผัสไอเย็นภายนอก หลังจากสายฝนเพิ่งหยุดตกไป ถนนตัดไปตามเส้นทางลดเลี้ยวของหมู่บ้านโป่งแยง ป้ายทาง ‘สวนทูนอิน’ บอกให้เรารู้ว่า ได้เดินทางมาถึงจุดหมาย

‘สวนทูนอิน’ รังรักของพญาอินทรีแห่งวงการวรรณกรรม ‘รงค์ วงษ์สวรรค์’ นักเขียนและศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2538 บ้านหลังนี้ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาของหมู่บ้านโป่งแยง อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ‘คุณรงค์’ เนรมิตสวนกาแฟและสวนเหมี่ยงที่ถูกทิ้งร้างให้กลายเป็นบ้านกลางป่า ในอ้อมกอดอันสุขสงบของธรรมชาติ

บันไดปูนพาเราลัดเลาะเข้าไปในหุบเขา ต้นไม้หลากหลายสายพันธุ์ชูช่อระบัดใบคอยประพรมน้ำให้พอสดชื่น สิ้นสุดบันไดปูนกลายเป็นทางเดินนำไปสู่เรือนไม้ท่ามกลางป่าเขียวชอุ่ม มีบ่อน้ำขนาดใหญ่ข้างศาลา เป็นภาพของสวนทูนอินที่เราคุ่นตากัน ที่นี่เราได้พบ ‘มาดามวารินชำราบ’ หรือ ‘ป้าติ๋ม’ ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของคุณ’รงค์ ยืนรอต้อนรับอยู่แล้วอย่างเป็นกันเอง ป้าติ๋มพาเข้าไปนั่งพักผ่อนในเรือน ภายในเรือนไม้ตกแต่งด้วยภาพถ่ายในอดีตอันเปี่ยมสุข

จวนเจียนเวลาอาหารมื้อเย็น สำรับท้ายบ้านที่รอคอยก็ค่อยๆ ทยอยมาวางบนโต๊ะ เมนูอาหารของสวนทูนอิน มรดกจากคุณแม่ของคุณ’รงค์ตกทอดถึงมือป้าติ๋ม 

เริ่มต้นด้วย ม้าฮ่อ ปลาแห้งแตงโม ซี่โครงหมูอบกะหล่ำปลี หมี่กะทิอุบล แกงส้มเปลือกแตงโม ปลาทอดกับน้ำปลายำ ปิดท้ายด้วยข้าวเหนียวเปียกลำไยของหวาน ยกให้เป็นมื้อที่แสนจะอิ่มใจและอิ่มท้อง

พูดคุยสนทนากันต่ออีกสักพักก่อนแยกย้ายไปพักผ่อนในบ้านพัก ภายในบ้านมีสิ่งอำนวยความสะดวกให้อยู่อย่างสบาย ได้อาบน้ำอุ่นจนพอชุ่มชื่น หยิบหนังสือจากตู้ แล้วออกมานั่งอ่านตรงริมหน้าต่างได้ไม่นาน เสียงจักจั่นคอยขับกล่อมชวนให้รู้สึกง่วงเร็วกว่าทุกวัน

สายฝนตกพร่ำๆ เสียงน้ำตกหยดลงที่ริมหน้าต่าง ปลุกให้พวกเราทุกคนตื่นเช้าเป็นพิเศษ หลังจากทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ เช้านี้ป้าติ๋มพอมีเวลาพาเราเที่ยวชมสวนทูนอิน ป้าติ๋มพาเราขึ้นบันไดไม้ความสูงไม่กี่ขั้น ไปยังเรือนหลังสำคัญที่สุด

เมื่อประตูห้องเปิดออกเราทุกคนก็ต้องร้องว้าว เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นห้องทำงาน พร้อมคลังหนังสือของคุณรงค์ ป้าติ๋มเล่าว่า คุณ’รงค์จะใช้เวลาอยู่ในห้องนี้เป็นส่วนใหญ่ และงานเขียนเกือบทั้งหมดของคุณ’รงค์ก็เกิดขึ้นในห้องนี้ ถัดจากนั้น ป้าติ๋มพาชมสวนหลังบ้าน บรรดาต้นไม้ดอกไม้รอบบ้านพากันออกดอกอวดสีสวย ศาลาหลังเล็ก เรือนไม้หลังใหญ่ สะพานไม้พาดผ่านเหนือลำธาร พาเราเข้าสู่หุบเขาไปยังลานอนุสรณ์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ซึ่งคุณ’รงค์สร้างไว้เพื่อระลึกถึงบุคคลอันเป็นที่เคารพและเทิดทูนของท่าน 

แม้วันนี้คุณ’รงค์จะจากไปแล้ว บ้านหลังเล็กในป่าผืนใหญ่ซึ่งคุณ’รงค์สร้างขึ้นด้วยความรัก เป็นทั้งที่พักกายและใจอันแสนอุดมสมบูรณ์ บรรยากาศของความสุขและความรักของคุณ’รงค์มีต่อป้าติ๋มได้ถูกส่งผ่านบ้านในป่า อาหารอร่อย บรรยากาศดีๆ มายังเรา ถ้ามีโอกาสคงได้กลับมาเช็กอินที่สวนทูนอินอีกครั้งหนึ่ง

คอลัมน์พาหัวใจไปเที่ยว : น้องฟาง


Josh Kaffa ร้านกาแฟที่ใส่ใจกับเมล็ดพันธุ์ ไปยังเมนูบรันช์สุดชิค

 

‘Josh Kaffa’ คือหนึ่งในร้านที่รีโนเวตให้กลายเป็นร้านกาแฟ ภายใต้ชายคาของโรงแรม Josh Hotel พร้อมต้อนรับเราด้วยประตูสีโทนเข้ม เมื่อมองผ่านประตูจะพบชั้นวางที่จัดโชว์เมล็ดกาแฟพันธุ์พิเศษของทางร้าน เชื้อเชิญเราให้เข้าไปสัมผัสความพิเศษนั้น

 

 

พื้นที่ภายในร้านแบ่งเป็นสัดส่วน ให้ความส่วนตัวมากขึ้นแต่ยังคงความอบอุ่น เป็นกันเอง ร้านตกแต่งสไตล์โคเปนเฮเกนด้วยสีโทนเข้มเป็นหลักอย่างเรียบง่าย ใช้เฟอร์นิเจอร์ตัวเก่ามาปรับโฉมใหม่ ด้านในสุดของร้านเป็นเอสเปรซโซ่บาร์เผยให้เห็นขั้นตอนการทำกาแฟและเครื่องดื่มจากบาริสต้าอย่างพิถีพิถัน กลิ่นกาแฟหอมรวยรินเตะจมูกเราจนอดใจไม่ไหวต้องลองชิมสักแก้ว

 

 

 

จุดเริ่มต้นของร้านเกิดจากหุ้นส่วนของโรงแรมมีโรงคั่วกาแฟแบรนด์ MPresso จึงจับมือกันเปิดร้านในรูปแบบ The Boutique Espresso Bar คัดสรรเมล็ดกาแฟซึ่งผ่านการควบคุมและสกัดออกมาเพื่อให้ได้รสชาติที่เหมาะกับทุกคน และมีกาแฟให้เลือก 2 สไตล์คือ ‘3rd Wave’ กาแฟคั่วกลางให้ความสดชื่น ฉ่ำๆ ฟรุตตี้ และแบบ ‘Italian’ ให้รสชาติแบบดาร์คช็อคโกแลต

นอกจากกาแฟเฮ้าส์เบลนด์แล้วที่ร้านยังมีกาแฟสเปเชี่ยลเบลนด์ ซึ่งสามารถเลือกเมล็ดกาแฟตัวอื่นๆ มาทำเป็นกาแฟดริปได้ตามใจชอบ หากใครไม่นิยมกาแฟก็มี Chocolate Matcha Latte หรือ Ice Lemon Tea ให้ลองเช่นกัน ในเดือนกันยายนทางร้านอาจมีเมนู seasonal drink เป็นกาแฟสไตล์ไทยให้ได้ลองชิมด้วย อดใจรอหน่อย

 

 

วันนี้ซารังลองสั่งเมนูซิกเนเจอร์ดริงก์อย่าง Vanilla Lemon with coffee กาแฟดำกับวานิลลาไซรัป โซดาและฮอล์ ท็อปด้วยเลมอน เป็นการผสมผสานระหว่างศาสตร์ของบาริสต้ากับบาร์เทนเดอร์ ให้ความสดชื่น หายเหนื่อยล้า 

 

Vanilla Lemon with coffee

 

 Caffe Freddo กาแฟนมที่นำเมล็ดกาแฟไปสกัดแล้วอัดอากาศให้เกิดฟองฟูบนนม แนะนำให้ยกดื่มเพื่อลิ้มรสความนุ่มละมุน ทานได้เรื่อยๆ รสไม่เข้มจนเกินไป

 

Caffe Freddo

Yuzugano อเมริกาโน่กับยูสุเพียวเร่และโซดา ท็อปด้วยกาแฟ หรือเครื่องดื่มยอดฮิต Egg Nok with coffee กาแฟนมผสานกับไข่ไก่ออร์แกนิคที่ใช้นมร้อนมาคนกับไข่ให้สุก ใส่ซินนามอนและเลมอนออยล์ ท็อปด้วยครัมเบิ้ลเพื่อความกรุบกรอบ ดื่มแล้วอิ่มท้อง ทานคู่กับอาหารเมนูบรันช์สูตรพิเศษและโทสต์ที่กินได้ตลอดวัน รังสรรค์ความอร่อยโดยเชฟกันน์ จากรายการ Top Chef Thailand season 2

เมนูแนะนำของที่นี่คือ Duck Confi with Gravy ขาเป็ดกงฟีตุ๋นน้ำมันราดด้วยซอสเกรวี่ ทานกับเครื่องเคียงอย่างมันบด เห็ดและผักโขม สามารถกินเป็นเมนูบรันช์หรืออาหารมื้อหลักได้ หรืออิ่มท้องด้วย Breakfast Croissant ครัวซองต์ชิ้นใหญ่ทานคู่กับไข่คน เห็ด และเบคอนกรอบๆ อร่อยเต็มคำ

ต่อด้วย Smoke Salmon Pancake แพนเค้กท็อปด้วยครีมชีสและสโมกแซลมอน กินพร้อมกันได้รสชาติที่ลงตัว

Mushroom Egg Toast ขนมปังนุ่มๆ ด้านบนโปะด้วยเห็ด ไข่คน ราดด้วยซอสบัลซามิค หรือจะเป็นเมนู Josh’s Toast ขนมปังชิ้นใหญ่โปะด้วยครีมชีสและบลูเบอร์รี่แจมรสเปรี้ยวที่ทำเอง

Spagehtti AOP และ Spagehtti Japanese Curry หรือสามารถสั่งเบเกิลจากร้าน Volks ที่เปิดป๊อปอัพสโตร์ภายในร้านมากินคู่กับอาหารอื่นๆ แบบจัดเต็มได้

ใครที่เป็นคอกาแฟและหลงรักการกินบรันช์ ซารังขอเทใจให้ร้านนี้ เพราะการันตีความอร่อย ใช้เมล็ดกาแฟที่คัดมาโดยเฉพาะ พร้อมกับกินอาหารดีๆ เพื่อเยียวยา เติมเต็มจิตใจให้กลับมาสดใสเหมือนเคย

 

Josh Kaffa

Josh hotel ซ.อารีย์ 4 (ฝั่งเหนือ) ถ.พหลโยธิน

เปิดทุกวัน เวลา 09.00-18.00 น.

Facebook / Line: @Joshkaffa


ทำไมเราถึงควรมีรักในวัยเรียน

 

สิ่งที่คนเป็นพ่อแม่มักกลัวนักหนาคือ การที่ลูกมีความรักในวัยเรียน กลัวว่าลูกจะเสียการเรียน เพราะเอาเวลาไปหมกมุ่นกับคู่รักของตัวเอง แต่ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นคือ การที่ลูกอกหักจนเสียผู้เสียคน กลายเป็นโรคเครียด ซึมเศร้า หรือกระทั่งฆ่าตัวตาย ดังนั้นพ่อแม่ส่วนใหญ่จึงอยากให้ลูกพร้อมในด้านวัยวุฒิและคุณวุฒิก่อนแล้วค่อยมีความรัก เพราะคิดว่าหากพวกเขามีวุฒิภาวะมากพอ ย่อมสามารถควบคุมสติอารมณ์ของตัวเองได้ดี

แต่ที่จริงแล้วเราควรมีความรักในวัยเรียนไหม

 

 

อาจไม่มีงานวิจัยที่ชี้ชัดว่า การมีความรักในวัยเรียนนั้นดีกว่า แต่ก็มีงานวิจัยที่ระบุว่า สิ่งที่พ่อแม่มักเชื่อกันนั้นอาจไม่ถูกต้องทีเดียว

ความสูญเสีย ความผิดหวัง อาจทำให้เราสติแตก เครียด ซึมเศร้า เสียผู้เสียคน แต่ในทางกลับกันก็ทำให้เราเติบโตและเข้มแข็งยิ่งกว่าเดิม

ปี 2010 คุณซีรี่ (M.D. Seery) และคณะ ได้ตีพิมพ์งานวิจัยเรื่อง “whatever does not kill us: cumulative lifetime adversity, vulnerability, and resilience” ระบุว่า การที่เราเจอเหตุการณ์ร้ายๆ อาจสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เราสติแตก ซึมเศร้า หรือฆ่าตัวตายได้ เขาวิจัยจากคนในสหรัฐอเมริกาจำนวน 2,000 ราย ด้วยคำถามที่ว่า “คุณเคยเจอเหตุการณ์ร้ายๆ มามากน้อยเพียงใด” เช่น ถังแตก หย่าร้าง คนรักหรือคนในครอบครัวตาย ประสบอุบัติภัยทางธรรมชาติ ถูกทำร้ายร่างกายหรือคุกคามทางเพศ คนส่วนใหญ่บอกว่าประสบเหตุการณ์เหล่านี้ประมาณ 8 ครั้ง มีเพียงร้อยละ 8 ที่บอกว่าไม่เคยผ่านประสบการณ์เหล่านั้น และประสบเหตุร้ายมากถึง 71 ครั้ง!

 

อีกสี่ปี ปรากฏว่าคนที่สุขภาพจิตดีกว่าใครๆ กลับไม่ใช่คนที่เจอเหตุการณ์ร้ายๆ น้อยที่สุด แต่กราฟความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณเรื่องร้ายที่เจอกับภาวะสุขภาพจิต ออกมาเป็นรูปตัว U คือ คนที่ประสบเหตุการณ์ร้ายน้อยครั้งกลับมีสุขภาพจิตแย่กว่า เสี่ยงต่ออาการซึมเศร้า ปัญหาสุขภาพก็มากกว่า

ส่วนคนที่เจอเหตุการณ์เลวร้ายปานกลางกลับมีสุขภาพจิตและความสุขในเกณฑ์ดีเยี่ยม แต่คนที่เจอเหตุการณ์ร้ายๆ มาเยอะ ตัวเลขกลับแย่ลง

อาจสรุปว่า “เรื่องร้ายๆ ไม่เพียงทำให้เราเกิดความเครียด แต่กลับช่วยให้เราเข้มแข็งขึ้นได้ด้วย!”

 

 

แวดวงแพทย์มีศัพท์โรคเครียดอันเกิดจากเหตุการณ์ร้ายๆ ว่า PTSD (post traumatic stress disorder) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ‘เหตุการณ์สึนามิ’ ซึ่งมีคนมากมายเกิดอาการหวาดกลัวทะเล ทั้งที่ตัวเองอยู่กับทะเลมาทั้งชีวิต โรคนี้หลายคนอาจคุ้นเคย และนำไปเชื่อมโยงว่าทุกครั้งที่เกิดเรื่องร้ายๆ คนก็จะจิตตกทุกข์ระทมเสมอ แต่ในทางจิตวิทยาเรายังมีสิ่งที่เรียกว่า PTG (post traumatic growth) หรือการเติบโตทางจิตใจหลังเจอเหตุการณ์ร้ายๆ

PTSD กลับเกิดขึ้นน้อยกว่า PTG ค่อนข้างมากด้วยซ้ำ งานวิจัยระบุว่า คนเกือบร้อยละ 80 พบว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นหลังเจอความสูญเสีย เช่น ผลสำรวจคนอิสราเอลที่เผชิญการก่อการร้าย จนต้องสูญเสียพ่อแม่พี่น้องผองเพื่อนอยู่เป็นประจำ กว่าร้อยละ 74 พบว่าตัวเองเข้มแข็งขึ้นเมื่อเจออุปสรรคต่างๆ ในชีวิต โดยนำประสบการณ์เลวร้ายนั้นเปรียบเทียบ 

 

 

 

เพราะฉะนั้นเมื่อเทียบกันแล้ว การเปิดใจให้เด็กๆ ได้เจอประสบการณ์ความรัก ผิดหวัง อกหัก อาจช่วยให้เขารับมือเรื่องเหล่านี้ได้ดีขึ้นเมื่อเติบใหญ่ แน่นอนครับว่า ตอนเขาอกหักนั้นเป็นภาพความเศร้าเสียใจที่ไม่น่าดูเท่าไหร่สำหรับคนเป็นพ่อแม่ แต่บทเรียนอกหักจะทำให้เขารักใครเป็นในวันหน้านะครับ

What doesn’t kill you makes you stronger.

 

อ้างอิง

คอลัมน์ “จักรวาลแห่งความรัก ดาวเคราะห์แห่งความเหงา”โดย นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์


Start over again ‘นิว’ ชัยพล & ‘เมษา’ กิตติมา

Start it over again      กลับมารักครั้งนี้ให้ดีกว่าเดิม
                        นิว ชัยพล & เมษา กิตติมา

เมื่อรักเราเข้ากันไม่ได้ การเลิกราและแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเองจึงเป็นคำตอบ ชีวิตที่ค่อยๆ เติบโต ผนวกกับการกลับมาบรรจบกันในวันที่รับมือสถาณการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น ก่อเกิดรักที่มีความสุขในทุกวัน นักแสดงหนุ่มหล่อ ‘นิว’ ชัยพล จูเลียน พูพาร์ต และ ‘เมษา’  กิตติมา วงศ์สวัสดิ์ สาวหมวยนอกวงการ ทั้งคู่บอกว่าการเลิกราก่อนหน้านี้เป็นการตัดสินใจที่มีทั้งผิดและถูก

เพื่อนสนิท (ใจ)

                จากคนแปลกหน้าได้กลายมาเป็นคนรู้จักผ่านการแนะนำของเพื่อนสนิท เมื่อหนุ่มนิวได้ไปทำงานที่อเมริกาและต้องการอยู่เที่ยวที่นี่อีกสักระยะ เพื่อนของเขาจึงแนะนำให้เมษา ซึ่งตอนนั้นกำลังเรียนอยู่ที่นั่นให้เป็นไกด์แทน นิวเล่าว่า “มีปีนึงรายการ Nine entertain ให้ผมไปงานประกาศผลรางวัลออสการ์ที่ลอสแอนเจลิส จากนั้นก็ให้ไปเที่ยวซานฟรานซิสโกต่อ ผมเลยติดต่อเพื่อนเขาให้พาเที่ยวเพราะไม่เคยไป แต่วันที่ผมว่างจะไปเที่ยว เพื่อนดันไปเรียนพอดี เขาเลยไหว้วานเมษาให้พาผมเที่ยวแทน เราเลยได้รู้จักและสนิทกันมากขึ้น ตอนนั้นเราเป็นเพื่อนกันเพราะต่างคนต่างมีแฟนและไม่ได้คิดอะไร” เมื่อกลับจากอเมริกาทั้งสองก็ติดต่อกันในฐานะเพื่อนอยู่เรื่อยมา กระทั่งต่างคนรู้ใจตัวเองและค่อยๆ ลองคบหากัน

               “คบกันแล้วยิ่งทำให้รู้ว่าเราเข้ากันดีมาก เริ่มต้นจากความเป็นเพื่อน มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังตลอด ก่อนเป็นแฟนกันเราก็กลัวว่าถ้าคบกันแล้วไม่เวิร์ค จะกลับไปเป็นเพื่อนกันได้ไหม เราไม่อยากเสียความรู้สึกตรงนั้นไปเพราะเราสนิทกันมาก แต่พอมาคบกันแล้วก็เป็นเพื่อน เป็นความสัมพันธ์ที่ดีมากกับการค่อยๆ ขยับสถานะมาเป็นแฟน” นิวเล่าก่อนจะบอกต่อว่า สิ่งที่ทำให้เขาชอบสาวเมษานั้นเป็นเพราะความสบายใจ มีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันและเป็นตัวของตัวเอง

               แม้การใช้ชีวิตคู่ดูจะราบรื่น แต่ปัญหาในความสัมพันธ์กลับเป็นเรื่องรักระยะไกล ประกอบกับการเติบโตทางความคิดในช่วงวัยนั้นด้วย

               เมษาเผยว่า “ที่ผ่านมาไม่ค่อยมีปัญหาอะไร นอกจากเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เป็นความผิดเราเอง เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต พอเรียนปริญญาตรีเสร็จก็กลับมาทำงานที่เมืองไทย แล้วก็ไปเรียนต่อปริญญาโทที่อังกฤษ เราแยกย้ายกันไปหนึ่งปี เป็นความสัมพันธ์แบบ long distance เรามีโอกาสได้ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่ง มีอิสระมากขึ้น ส่วนพี่นิวก็โตขึ้น มีมุมมองบางอย่างที่เปลี่ยนไป พอเรากลับมาจากอังกฤษ กลายเป็นว่าหมดอิสรภาพ ถูกส่งไปทำธุรกิจของครอบครัวที่ประเทศจีนคนเดียว ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ความฝันเราแต่เป็นความรับผิดชอบ ทั้งๆ ที่เราเป็นคน extrovert ต้องการเจอผู้คน ทุกอย่างไม่มีความสุข ตอนนั้นเราบอกกับเขาตลอดนะว่ายังอยากมีเขาในอนาคต แต่ปัจจุบันอยู่ด้วยกันแล้วเราไม่มีความสุข เราเลยขอเขาแยกย้าย เหมือนช่วงนั้นเรากดดันหลายเรื่อง เขาก็พยายามช่วยประคับประคองไว้แต่เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่แบบที่เราต้องการ ถ้าอยู่แล้วไม่มีความสุขก็ไม่อยู่ดีกว่า”   

 

ถึงเวลามูฟออน

          เมื่อความรักถึงจุดเลิกรา นักแสดงหนุ่มเลือกใช้วิธีการตัดสัมพันธ์ “พอเวลาผ่านไปปุ๊ปก็ตัดเลย เราบล็อกทุกอย่าง ไลน์ อินสตาแกรม ไม่ได้คุยกันเลยเกือบสองปี เพราะผมยังทำใจไม่ได้ ไม่อยากติดต่อ ถ้ายังติดต่อกันอยู่ก็มูฟออนไม่ได้สักที” 

          สาวหมวยดีกรีนักเรียนนอกเล่าว่า “เวลาผ่านไปสองปี ครอบครัวเราทำธุรกิจคาราบาวแดง ฝ่ายการตลาดเขามีแคมเปญทำเกมโชว์ที่เป็นโปรโมชั่นให้ผู้บริโภค เราก็ไปติดต่อบริษัทนึง เขาเสนอดารานักแสดงหลายคนเพื่อมาเป็นพิธีกร แต่เขาเชียร์พี่นิวโดยไม่รู้มาก่อนว่าเราเคยคบกัน แต่เงื่อนไขของบริษัทเรา ข้อแรกเป็นนิวเจนเนอรเรชั่น แล้วเราก็เป็นทายาทด้วย สองเคยทำงานพิธีกร เขาอยากให้มีคนที่ทำงานกับคาราบาว เราร่วมงานได้แต่ไม่แน่ใจว่าพี่นิวจะสะดวกไหม เพราะเขาบล็อกเราไป ถ้าพี่นิวไม่ร่วมงานด้วย ยังไงเราก็ต้องทำ สุดท้ายเขาตอบรับงานนี้

         “ตอนทำรายการด้วยกันครั้งแรกเขาไม่คุยกับเราเลย เหมือนเราเป็นอากาศ คุยกันเฉพาะตอนทำงานหน้ากล้อง แต่นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่กลับมาเจอหน้ากัน ตอนนั้นเขายังบล็อกเราอยู่นะ แต่เขายังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับครอบครัวและเพื่อนเรา จนร่วมงานกันไปสามเดือนก็เริ่มคุยกันได้บ้าง” 

 

Chapter 2 ของความรัก

           หลายอย่างในชีวิตอาจเกิดขึ้นเพราะจังหวะที่ประจวบเหมาะ ดังเช่นทั้งสองซึ่งกลับมาพบหน้าในวันที่มองความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดาและเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีต นิวเล่าด้วยเสียงจริงจังว่า “ผมก็ไม่รู้ว่าจะกลับมาคบกันได้ แต่สุดท้ายด้วยประสบการณ์ชีวิต รวมถึงช่วงเวลาที่เหมาะสม การที่เราโตขึ้นกลับทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้นและไม่ทำพลาดในสิ่งที่เราเคยทะเลาะกัน ยอมรับว่าอะไรที่เกิดขึ้นแล้วมันปรับตัวกันได้ง่ายขึ้น พูดตรงๆ ว่ากลับมารอบนี้ทุกอย่างดีกว่าเดิมเรื่อยๆ การที่เรารู้ข้อเสียของกันและกัน ทำให้ไม่ทะเลาะกันแบบเดิม กลับมาครั้งนี้เรามีความสุขในทุกๆ วัน แทบไม่ได้ทะเลาะกันเลย”

           เมษาเห็นคล้ายกันว่า เราสองคนคุยกันว่าการกลับมาคบกันครั้งนี้ดีกว่าครั้งที่ผ่านมา การเลิกกันตอนนั้นเป็นการตัดสินใจที่ผิด แต่มีส่วนที่ถูกอยู่แม้ว่าความเสียใจอาจทำให้ชีวิตเป๋ไปบ้าง แต่ทำให้ต่างคนต่างแยกไปมีชีวิตที่เติบโตแล้วกลับมาเจอกัน ช่วยให้เราเมื่อย้อนมองอดีตแล้วเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น พอกลับมาคบกันใหม่นิสัยพวกนั้นก็ไม่เกิดขึ้นแล้ว เพราะกลายเป็นบทเรียนจากการเรียนรู้ของเราทั้งสองคน”

 

 

วงกลมสามวง

            นอกจากการดูแลกายและใจให้ดีในทุกวันแล้ว ยังมีความประทับใจมากมายตลอดระยะเวลาที่คบกันมา นิวเล่าว่า “มีเรื่องเล็กๆ แต่สำคัญสำหรับผม ผมไม่ชอบคนจิก วุ่นวาย พูดแล้วเข้าใจรู้เรื่อง เชื่อใจกันแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกัน 24 ชั่วโมง ผมพูดตลอดว่าเรามีวงกลมสามวง วงนึงของผม วงนึงของเขา และวงตรงกลางคือของเรา เราต้องมีเวลาส่วนตัวด้วย แล้วเขาเป็นคนที่เข้าใจเราและเชื่อใจกัน แต่ต้องไม่โกหก ผมว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับชีวิตคู่นะ”

           ส่วนเมษาก็เห็นด้วยว่า “เราประทับใจเรื่องความรักกับการดูแลใส่ใจของเขา เขานึกถึงเราเสมอ เช่น พี่นิวเป็นคนชอบกิน สมมติไปกินข้าวเขาก็จะเสียสละส่วนที่ดีที่สุดให้เรา เช่น มีแก้มปลาสองชิ้นเล็กๆ เขาก็ให้เรากิน มีบ้างที่เราไม่ได้ชอบกิน แต่เขาอยากให้เราได้กินในสิ่งที่ดีที่สุด เขาเสียสละให้เรามากกว่าให้ตัวเอง รักเรามากกว่าตัวเอง อีกอย่างหนึ่งคือเรื่องความรักที่เขามีให้ เขาไม่ได้รักแค่เรา แต่ดูแลไปยังครอบครัวเรา เรารู้สึกประทับใจตรงนี้” ลึกลงไปในบทสนาของทั้งคู่ เราก็พลันคิดว่าความหวังดีและการเสียสละนั้นเป็นฟันเฟืองที่คอยขับเคลื่อนความรักไปข้างหน้าไม่มีวันสิ้นสุด

 

 

สุขในทุกข์

           ประสบการณ์ความรักไม่ว่าดีหรือร้ายล้วนกลายเป็นเกราะป้องกันความเจ็บปวด ความเสียใจและการยอมรับความผิดพลาด จนนำมาเป็นเครื่องเตือนใจและหลักคิดในชีวิตคู่ ว่าที่เจ้าบ่าวพูดถึงความเห็นนี้ “เราเคยดียังไงตั้งแต่แรกก็ต้องดีอย่างนั้น เสมอต้นเสมอปลาย ผมเชื่อว่าถ้าจะหาใครสักคน เราควรคงความเป็นตัวเอง ไม่ควรเปลี่ยนแปลงตัวเองมากเกินไปจนไม่เป็นตัวเรา เพราะท้ายสุดเราก็ต้องมีความสุขในสิ่งที่เรากำลังทำอยู่ด้วย มีความสุขกับเขาและมีความสุขกับชีวิตคู่ ความสัมพันธ์คือความสบายใจและเชื่อใจ แต่ไม่ใช่ว่าเชื่อใจจนอีกฝ่ายหนึ่งสามารถโกหกได้ เราต้องทำทั้งสองอย่างไปด้วยกันให้ดีที่สุดด้วย ผมคิดว่านี่คือหลักง่ายๆ ถ้าทำได้ชีวิตคู่ก็มีความสุขที่สุด รวมถึงผมชอบประโยคที่พี่ฮิวโก้เคยพูดว่า ‘การที่ผู้ชายคนนึงจะรักผู้หญิงคนเดียว มันไม่ใช่สิ่งพิเศษ ไม่ใช่สิ่งที่น่าชื่นชมเพราะมันเป็นเรื่องปกติที่เราควรจะรักใครแค่คนเดียวอยู่แล้ว’”

            ส่วนว่าที่เจ้าสาวก็นิ่งคิดก่อนตอบว่า “หนูเชื่อเหมือนพี่นิวว่าความรักที่ดีต้องคงความเป็นตัวของตัวเองไว้ได้ ถ้าเกิดไปคบกับใครแล้วต้องปรับเยอะ สุดท้ายก็ไปไม่รอดอยู่ดีเพราะมันไม่ใช่ตัวตนของเรา และถ้าเราจะอยู่กับใครได้นาน ไม่ใช่เรามองแต่เรื่องความรัก ข้อดีของกันและกัน หรืออยู่เพราะสิ่งดีๆ แต่ต้องยอมรับข้อเสียของเขาให้ได้ด้วย นอกจากนั้นถ้าจะแต่งงานก็ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข ต้องดีทั้งเวลาทุกข์และสุขด้วย ถ้าตอนที่ต่างคนต่างไม่ดี ให้มองว่ามีความรักอยู่ในตอนที่เราทุกข์ไหม เวลาทะเลาะกัน เราบอกพี่นิวว่ามันทำให้เรารักกันมากขึ้น”