เดินเพื่อสุขภาพอย่างไรให้ได้ประโยชน์

การออกกำลังกายเป็นหนึ่งในกิจกรรมเพื่อสุขภาพที่ควรทำเป็นประจำ แต่หลายคนอาจรู้สึกว่ายุคสมัยนี้เวลามีจำกัด หรืออุปกรณ์สำหรับการออกกำลังกายนั้นมีราคาแพง คงไปออกกำลังกายทุกวันไม่ได้หรอก

อย่าเพิ่งคิดอย่างนั้นครับ เพราะการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพไม่จำเป็นต้องยุ่งยากซับซ้อน แค่มีรองเท้าที่ใช้ได้สักคู่และพร้อมจะขยับก้าวเดิน เท่านี้ก็สามารถออกกำลังกายเพื่อสุขภาพได้แล้ว

การเดินมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างไรบ้าง

  • ช่วยลดความดันโลหิต    การเดินเป็นเวลา 20 นาที จะช่วยลดโอกาสเกิดโรคความดันโลหิตสูงได้
  • ช่วยลดน้ำหนัก เผาผลาญพลังงาน  เมื่อเดินต่อเนื่องกัน 30 นาที สามารถเผาผลาญพลังงานได้ประมาณ 200 กิโลแคลอรี่ ถือเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักแต่กังวลการบาดเจ็บ
  • ลดระดับน้ำตาลในเลือดและเบาหวาน  งานวิจัยพบว่า การเดินวันละ 30 นาทีหลังรับประทานอาหารในผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยลดระดับน้ำตาลได้ดีกว่าผู้ที่รับประทานอาหารแล้วอยู่เฉยๆ
  • ทำให้อายุยืนยาวขึ้น  หากเดินต่อเนื่องวันละ 1 ชั่วโมงจะมีอายุยืนยาวและปัญหาทางสุขภาพโดยรวมน้อยกว่าผู้ที่เดินน้อย
  • ลดอาการปวดข้อ   เพราะข้อจะมีการไหลเวียนของเลือดมากขึ้น สารก่อการอักเสบที่สะสมจะถูกระบายออกกล้ามเนื้อที่อยู่รอบข้อแข็งก็จะแรงกว่าเดิม
  • ลดอาการหอบหืดกำเริบ และสุขภาพปอด   การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ไม่หนักและเหมาะกับผู้ป่วยหอบหืด
  • ช่วยให้นอนหลับง่ายขึ้น   หากเดินในช่วงสายหรือบ่ายวันละ 10 นาที แล้วเพิ่มเวลาให้นานขึ้น เพื่อปรับนาฬิกาชีวิต
  • ช่วยให้กระดูกแข็งแรง   ในหญิงวัยหมดประจำเดือน หากเดินวันละ 1 ชั่วโมง 4 วันต่อสัปดาห์ ติดต่อกันนาน 1 ปี ช่วยเพิ่มมวลกระดูกของกระดูกสันหลัง
  • ลดอาการไม่พึงประสงค์ในช่วงมีประจำเดือน   อาการปวดเมื่อย ท้องอืด อ่อนเพลีย หากทำเป็นประจำต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ 
  • ลดอาการกรดไหลย้อน   เพียงแค่เดินหลังมื้ออาหาร เพื่อกระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้

 

เดินอย่างไรให้ปลอดภัย

  • ประเมินร่างกายก่อน  หากเพิ่งหายจากการเจ็บป่วยไม่นาน ควรให้แพทย์ผู้รักษาประเมินว่าจะเดินได้เท่าใด
  • เตรียมอุปกรณ์   เลือกรองเท้าที่เหมาะกับสภาพพื้นที่ เดินแล้วไม่ลื่นล้มง่าย และอาจใช้ไม้เท้าช่วยเดินในกรณีผู้สูงอายุ
  • เดินในท่าที่ถูกต้อง  ควรคอตั้ง ไม่ก้มศีรษะ หลังตรง ไม่เอนเอียง ไม่ห่อไหล่ ไหล่ทั้งสองข้างควรผ่อนตามสบาย ไม่ยกไหล่ งอข้อศอกเพียงเล็กน้อย ขณะก้าวเดินทุกส่วนของเท้าจะต้องสัมผัสพื้น (ลงด้วยส้นและก้าวต่อไปด้วยปลายเท้า)
  • เดินในที่ปลอดภัย  สถานที่ไม่เปลี่ยว พื้นถนนไม่มีหลุมบ่อที่ทำให้หกล้มบาดเจ็บ
  • ติดเครื่องหมายหรืออุปกรณ์สะท้อนแสง  ใส่เครื่องแต่งกายสีสดใสเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะหากเดินในช่วงเช้าหรือเย็น
  • ใส่เสื้อแขนยาวหรือทาครีมกันแดด  หากเดินกลางแจ้งเป็นประจำ เพื่อป้องกันอันตรายจากรังสียูวี

 

การเดินเป็นการออกกำลังกายที่ทำได้ง่าย ราคาถูก มีอัตราการบาดเจ็บต่ำ เราทุกคนสามารถเริ่มได้ด้วยการสอดแทรกเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันครับ

 

ขอบคุณบทความจาก : หมอแมว


โกรธคนอื่นแต่กลับทำร้ายตัวเอง

ฟังดูแปลกๆ ไหมครับ? โกรธคนอื่นแล้วอยากตาย ทำร้ายตัวเอง

แต่ก็มีคนที่คิดอย่างนี้อยู่เป็นจำนวนมาก คือทำร้ายตัวเองเมื่อโกรธคนอื่นมากๆ เช่น ผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในวัยทำงาน มีการศึกษา การงานดี มีแฟนที่รักกันมากแต่ยังไม่แต่งงาน

เธอเล่าว่าแฟนหึงหวงและหาเรื่องจับผิด ระแวงว่าเธอจะมีผู้ชายคนใหม่ ทั้งๆ ที่เธอบอกว่าไม่เคยคิดมีใครอื่นอีก เธอแนะนำให้แฟนไปหาแพทย์เพื่อรับการรักษา แต่แฟนไม่ยอมทำตาม กลับหาเรื่องจับผิดเธอมากขึ้น จนมีเหตุทะเลาะกันบ่อยๆ

หลายครั้งที่แฟนพูดจาตัดรอนแบบคนระแวง หาว่าเธอมีผู้ชายอื่นเพื่อตีจากเขาไป

เธอโกรธแฟนมาก หาว่าแฟนดูถูก แทนที่จะอธิบายให้แฟนเข้าใจ ไม่ถือเป็นเรื่องจริงจัง หรือแสดงความโกรธ หาทางเลิกกันไปเลย แต่เธอกลับทำร้ายตัวเองอย่างรุนแรง วูบหนึ่งเคยคิดว่าเธออยากตาย ทำร้ายตัวเองแต่ก็ไม่ตาย เธอแปลกใจว่าทำไมตัวเองถึงเป็นอย่างนี้ เธอน่าจะเลิกกับเขาหรือโกรธเขาที่กล่าวหา แต่เธอกลับทำร้ายตัวเองเหมือนเกลียดชังตัวเอง

คุณผู้อ่านคงเคยพบคนที่มีลักษณะอย่างนี้ เช่น

ลูกบางคนน้อยใจที่ถูกพ่อแม่ว่ากล่าว จับผิด จึงอยากตายถึงกับกินยานอนหลับเกินขนาด

ชายหนุ่มคนหนึ่งเสียใจที่แฟนบอกเลิกไปมีแฟนใหม่ เขากินเหล้าแล้วเคี้ยวแก้วเหล้าเลือดไหลกบปาก

ดูๆ แล้วไม่สมเหตุสมผลเลยนะ!

สาเหตุที่โกรธคนอื่นแล้วตัวเองอยากตาย ทำร้ายตัวเอง เป็นเพราะ

  1. มีความเกลียดชังตัวเองมาก จนอยากหายไปจากโลกนี้ อยากตาย ไม่อยากอยู่ในโลกนี้ เพราะทนอยู่กับตัวเองไม่ได้แล้ว

แสดงว่าเขามีความเกลียดชังตัวเองมาก

เขาเริ่มแบ่งแยก “ตัวเขา” ออกจาก “ความเป็นตัวตนของเขา” อย่างเห็นได้ชัด

“ความเป็นตัวตนของเขา” ก็คือ “อัตตา” หรือ “อีโก้” ของเขานั่นเอง

นั่นแสดงว่า เขาเริ่มแยกตัวเขาออกจากอีโก้ของเขา

เขาดูถูกอีโก้ของเขาเองตามคำประณามของสามี หรือคำดุว่าของพ่อแม่ หรือความคิดว่าแฟนไม่รักจึงทิ้งไป (ตามตัวอย่างข้างต้น)

อีโก้ของเขาตกต่ำมากจนเขารู้สึกรังเกียจอีโก้ ซึ่งก็คือตัวตนของเขานั่นเอง

คิดดูซิครับ เมื่อคนเรารังเกียจความเป็นตัวตนของเราเอง รังเกียจอีโก้ของเราเอง แล้วเราจะอยากอยู่ต่อไปไหม?

นั่นคือเหตุผลที่เขาอยากตาย อยากทำร้ายตัวเอง ไม่รักตัวเองอีกแล้ว

คนเหล่านี้อาจเคยมีอีโก้หรือตัวตนสูงมาก และขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นเจ้าของสิ่งนั้นสิ่งนี้มากขึ้น ถ้าครอบครองได้ก็พอใจชั่วคราวแล้วขยายอีโก้ต่อไป ถ้าครอบครองไม่ได้ก็จะผิดหวังเสียใจกับอีโก้ของตัวเอง

เมื่ออีโก้ถูกขยายมาก เวลาเขาทำอะไรไม่ได้ดังใจก็จะทุกข์มาก เพราะเขาจะรังเกียจอีโก้ที่ใหญ่โตของเขาว่าช่วยให้เขาพ้นทุกข์ไม่ได้ จึงไม่อยากมีชีวิตอยู่ เขาไม่ตระหนักว่าอีโก้ของคนเรา (รวมทั้งของเขาเองด้วย) ล้วนเป็นสิ่งสมมติเป็นอนิจจัง ไม่แน่นอน และยึดถือไม่ได้ทั้งนั้น

คนที่มีอีโก้มากจึงเกลียดตัวเองมากเวลาผิดหวังหรือถูกประณาม

  1. มีสัญชาตญาณของความตายสูง คนเรามี 2 สัญชาตญาณคือ สัญชาตญาณของการมีชีวิตอยู่ (live instinct) และสัญชาตญาณของความตาย (death instinct)

เมื่อเกิดปัญหาในชีวิต คนที่มีสัญชาตญาณของการมีชีวิตอยู่จะต่อสู้กับอุปสรรคเพื่อความอยู่รอดของชีวิต

แต่คนที่มีสัญชาตญาณของความตายสูงจะไม่อยากต่อสู้ แต่จะหาทางทำลายล้างตัวเองและอยากตาย

  1. มีความรู้สึกละอายใจสูง (guilty) รู้สึกว่าตัวเองเคยทำความผิดทั้งทางความคิดและพฤติกรรม ความผิดเหล่านั้นยังไม่ได้ถูกตัดสินหรือชำระล้างไปจากจิตสำนึก เขาจึงรู้สึกผิดอยู่เสมอ เวลามีปัญหาอะไรมาทำให้ทุกข์เลยเกิดความรู้สึกเหมือนถูกลงโทษจากการทำผิดนั้น และเขาจะซ้ำเติมโดยการทำร้ายตัวเองหรืออยากตาย เพื่อให้หมดความรู้สึกผิดและละอายแก่ใจ

บุคคลเหล่านี้จะไม่กล้าเผชิญหน้า เรียกร้อง หรือต่อรองกับคู่กรณีหรือกับสังคม

แต่จะอยากทำร้ายตัวเองและอยากตาย

  1. มีบุคลิกภาพแบบมีความสุขกับความเจ็บปวด (masochistic personality) ยิ่งถูกคนอื่นทำให้เจ็บหรือทำตัวเองให้เจ็บ ยิ่งมีความสุขลึกๆ ในใจ ซึ่งเป็นบุคลิกภาพแปรปรวนชนิดหนึ่ง

การที่ญาติและเพื่อนฝูงจะดูแลและเข้าใจบุคคลเหล่านี้จึงทำได้ยาก เพราะความคิดของเขาซับซ้อนและเก็บกดไว้ลึก

การทำจิตบำบัด (psychotherapy) ย่อมช่วยได้มาก เขาจะปลดปล่อยความเกลียดชังตัวเองหรือลดความรู้สึกผิดลง กล้าเผชิญความเป็นจริงในโลก มีกำลังใจที่จะต่อรองหรือต่อสู้อุปสรรคต่อไปเหมือนคนอื่นๆ

บุคคลที่มีลักษณะโกรธคนอื่นแล้วอยากตายและทำร้ายตัวเองแบบนี้ จะมีมากขึ้นในสังคมของเรา

จงเข้าใจ เห็นใจ และหาทางช่วยเหลือเขาด้วย