เมื่อสามีกล่าวหาว่าดิฉันโง่ : คุยชีวิตกับจิตแพทย์

เมื่อสามีกล่าวหาว่าดิฉันโง่
: คุยชีวิตกับจิตแพทย์

____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

 

“ดิฉันอยากเลิกกับสามีค่ะ”

 

 

สุภาพสตรีที่ดูดีมากในวัยสี่สิบเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ จนต้องถามทวนอีกครั้งว่ามาพบจิตแพทย์เพราะอะไร เนื่องจากดูไม่ได้เครียดหรือมีปัญหาสุขภาพจิต

“ดิฉันโทร.ปรึกษาเพื่อนเรื่องปัญหากับสามีค่ะ มีเพื่อนคนหนึ่งบอกว่าก่อนจะเลิกควรไปปรึกษาจิตแพทย์ ดิฉันก็เลยมาพบคุณหมอค่ะ”

“แล้วคุณจะเลิกกับสามีเพราะอะไรคะ อยู่กันมานานแค่ไหนแล้ว มีลูกหรือยังคะ”

“ดิฉันแต่งงานกับสามีมา 6 ปีแล้วค่ะ มีลูกด้วยกัน 2 คน แต่ไม่มีความสุขเลย สามีเป็นคนสมบูรณ์พร้อมทุกอย่าง รูปร่างหน้าตาดีมาก มีเสน่ห์ หน้าที่การงานดี รายได้สูง ลูกติดเขามากเพราะเขาชอบเล่นกับลูก แต่ดิฉันมักจะสอนลูกให้มีวินัย ลูกเลยค่อนข้างกลัวดิฉัน ตอนหลังสามีมีปัญหาเรื่องผู้หญิง จับได้คาหนังคาเขาแล้วเขาก็ยังปฏิเสธ ไม่ใช่ครั้งเดียวด้วยนะคะ และเขามักจะพูดดูถูกดิฉันว่าโง่ ไม่ให้เกียรติ ดิฉันไปอยู่บ้านสามี ทางแม่เขาก็เข้าข้างลูกชายตลอด”

“ดิฉันตั้งท้อง เลยจำเป็นต้องแต่งงาน ก่อนแต่งงานเขาเป็นคนดีมาก ให้เกียรติดิฉันทุกอย่าง แต่หลังแต่งงานก็เปลี่ยนเป็นคนละคนเลย เจ้าชู้มาก ชอบพูดทำร้ายจิตใจ บางทีก็ใช้กำลัง”

 

 

 

ดูเหมือนคุณตัดสินใจแน่นอนว่าจะเลิก แล้วตอนนี้ยังติดขัดเรื่องอะไรคะถึงยังไม่เลิก

“ดิฉันยังต้องพึ่งพาเงินจากสามีค่ะ ตอนนี้ดิฉันลาออกจากงานมาเรียนต่อจึงไม่มีรายได้ ถ้าเรียนจบแล้วกลับไปทำงาน ดิฉันก็จะดำเนินการหย่าทันที ปรึกษาทนายไว้แล้วค่ะ”

“ส่วนเรื่องลูกคงต้องช่วยกันดูแลเรื่องค่าใช้จ่าย ตอนนี้พ่อแม่ดิฉันช่วยดูแลอยู่ ดิฉันไปเยี่ยมลูกวันหยุด คิดว่าชีวิตหลังหย่าคงไม่เปลี่ยนอะไรมาก ช่วงหลังสามีดิฉันเขาก็ไม่คอยไปเยี่ยมลูกกับดิฉันแล้วค่ะ ไปแค่นานๆ ครั้ง”

 

 

 

ฟังแล้ว สุภาพสตรีท่านนี้เตรียมความพร้อมไว้ทุกอย่าง แต่คนที่รอวันนัดจิตแพทย์ตั้งนานแล้วก็มานั่งรอคิวนานๆ อาจต้องการบางอย่างนอกเหนือจากมาเล่าให้จิตแพทย์ฟังเฉยๆ เดาว่าเธอน่าจะต้องการคนช่วยยืนยันว่าสิ่งที่เธอคิดนั้นถูกต้อง

 

“แล้วคนอื่นๆ คิดอย่างไรคะ พ่อแม่หรือเพื่อนของคุณ”

“พ่อแม่เห็นสภาพดิฉันก็เลยไม่คัดค้านค่ะ ส่วนเพื่อนก็ไม่ค่อยช่วยอะไร บางคนบอกว่าอย่าเลิกเลย สงสารลูก บางคนบอกว่าต้องทำใจรับให้ได้ อดทน เขาไม่คิดเหรอคะว่าดิฉันอดทนมาตลอด”

“หมอพอเข้าใจว่าคุณตัดสินใจและเตรียมการพร้อมแล้ว แล้วคุณคุยกับสามีหรือยังคะ”

“คุยแล้วค่ะ เขาด่าดิฉันสารพัดว่าโง่ ไม่มีสมอง แต่ดิฉันก็ไม่ได้ตอบโต้อะไร ยังทำงานบ้านให้เขาตามปกติ คิดถึงวันที่กลับไปทำงานหาเลี้ยงตัวเองได้จะเลิก และนับวันรออยู่ทุกวันเพราะอย่างน้อยจะได้มีความหวัง”

“สิ่งที่หมอเห็นคือคุณได้ทำหน้าที่ภรรยาและแม่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง คุณสามี ลูก และตัวเองเท่าที่สภาพครอบครัวจะเอื้ออำนวยได้ นี่คือสิ่งที่น่าชื่นชมค่ะ”

 

แล้วจู่ๆ เธอก็สะอื้นค่ะ! นั่งคุยอย่างมั่นใจมานาน แต่เธอกลับมีน้ำตาเมื่อได้รับคำชื่นชม คงเป็นคำที่เธอรอคอยมาตลอดให้มีใครสักคนเห็นคุณค่าในความพยายามและความอดทน

คนรอบตัวมีแต่ใจร้าย สงสาร วิพากษ์วิจารณ์ หรือคอยพึ่งพา ไม่มีใครเห็นความพยายามของเธอและแสดงความชื่นชมเลย ตอนเราจากกันไม่มีคำตอบหรือคำยืนยันจากจิตแพทย์ว่าเธอควรหรือไม่ควรเลิกกับสามี เธอมีอยู่แล้วทั้งคำตอบและเวลาที่จะพิสูจน์ว่าทางออกของชีวิตคู่ควรจะลงเอยแบบนี้หรือไม่

อีกหลายปีกว่าเธอจะเรียนจบ ระหว่างนี้เธออาจจะปรับตัวเข้ากับสามีได้แล้ว หรืออาจจะไม่เปลี่ยนใจก็ได้ การฟันธงวันนี้ไม่ช่วยอะไร ให้กำลังใจเพื่อให้สู้ต่อไปได้จะดีกว่าค่ะ

คอลัมน์ : คุยชีวิตกับจิตแพทย์ 

โดย พญ.วินิทรา นวลละออง 


4 เช็คลิสต์ก่อนคิด One Night Stand

4 เช็คลิสต์ก่อนคิด

'One Night Stand'


ความสัมพันธ์แบบวันไนท์สแตนด์แล้วแยกย้าย เป็นเรื่องที่หลายคนยอมรับได้มากขึ้น      แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าความสัมพันธ์แบบนั้นอาจไม่เหมาะกับทุกคน เราไม่จำเป็นต้องชอบความสัมพันธ์แบบนี้ เพียงเพราะบางคนบอกว่าดี เคล็ดรักฉบับนี้ชวนคุณลองสำรวจว่า คุณเหมาะกับความสัมพันธ์แบบรักสนุกแต่ไม่ผูกพันมากน้อยแค่ไหน

 

 

1. มองหารักแท้

ถ้าเป็นสาวหรือหนุ่มที่เชื่อในเรื่องรักแท้ แคร์เรื่องเวอร์จิ้นหรือพรหมจารี ก็ไม่เหมาะกับทางนี้อยู่แล้ว เพราะวันไนท์สแตนด์คือความสัมพันธ์คืนเดียวแล้วแยกย้าย ไม่ได้ทำความรู้จักลึกซึ้งเป็นจริงเป็นจังต่อเนื่อง ถ้าคิดจะยึดเอาคนที่มีเซ็กซ์กับเราแบบฉาบฉวยว่าเป็นรักแท้ แบบนี้อย่าไม่คิดมีวันไนท์สแตนด์กับใครเลย เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คุณใฝ่หาอย่างแน่นอน

 

2. อารมณ์อ่อนไหว

เมื่อมีสัมพันธ์ทางกายแล้ว เกิดความรู้สึกผูกพันจนถึงขั้นอยากแสดงความเป็นเจ้าของ แต่ความสัมพันธ์ในรูปแบบวันไนท์สแตนด์นี้ยากมากที่คนสองคนจะใจตรงกันแล้วสานสัมพันธ์ระยะยาว อารมณ์อ่อนไหวเซนซิทีฟจึงไม่เหมาะสำหรับทางเดินสายนี้

 

 

3. ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบ

งานวิจัยเมื่อ ค.ศ.2008 พบว่า ผู้ชายร้อยละ 80 รู้สึกว่าตัวเองเจ๋งหลังจากมีวันไนท์สแตนด์ ในทางกลับกันมีผู้หญิงเพียงร้อยละ 54 เท่านั้นที่รู้สึกแบบนี้ ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ค่อยอินกับวันไนท์สแตนด์ เพราะเมื่อตื่นขึ้นกลับรู้สึกแย่และรังเกียจการกระทำของตนเอง ดังนั้นถ้าคุณไม่ชอบก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

 

 

4. กลัวการถูกตัดสิน

มีคนมองว่านี่คือความฉาบฉวย รับไม่ได้ จึงเป็นธรรมดาที่จะเกิดการติฉินนินทา ถ้าคุณรับไม่ได้กับคำว่าร้าย หรือไม่ชอบให้ใครมาตัดสินว่าสิ่งที่ทำนั้นถูกหรือผิด เส้นทางสายวันไนท์สแตนด์ย่อมไม่ใช่คำตอบ


รักไร้เงื่อนไขในมิติใหม่แบบฉบับอารียา เมตตายา เป็นอย่างไร? : รักไร้เงื่อนไข-รักนี้มีแต่ให้

 

รักไร้เงื่อนไขในมิติใหม่แบบฉบับ ‘อารียา เมตตายา’            เป็นอย่างไร? :  รักไร้เงื่อนไข-รักนี้มีแต่ให้

เรื่องโดย: Wonder Wanners 

_________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

 

ฉบับนี้ Wonder Wanners ขอเล่าถึงหัวข้อหนึ่งของความรักที่มีนัยในเชิงจิตวิญญาณ คือ ความรักไร้เงื่อนไข (unconditional love) หากแปลตรงตัวเลยคือ การรักใครสักคนอย่างไม่มีเงื่อนไขใด การได้รับรักตอบแทนจากคนที่เรารัก แต่จริงๆ แล้วรักไร้เงื่อนไขมีความหมายลึกซึ้งกว่านั้น ต้องอาศัยประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเองโดยตรงจึงจะเข้าถึงความหมายนี้ได้

โดยธรรมชาติของมนุษย์ เวลาทำอะไรมักหวังผลตอบแทนเสมอ เช่น ทำบุญเยอะๆ เพื่อหวังขึ้นสวรรค์ ถ้ามนุษย์ไม่เห็นสิ่งที่จะได้เป็นผลตอบแทนก็มักจะไม่ทำ

 

ความรักก็เช่นกัน Social Exchange Theory คิดค้นโดย Thibaut และ Kelley (1959) เป็นหนึ่งในทฤษฎีใหญ่ทางจิตวิทยา ที่อธิบายถึงการคงอยู่ของความสัมพันธ์ โดยวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน จากมุมมองของบุคคลหนึ่ง (เช่น ประเมินความสัมพันธ์กับภรรยาว่าจะอยู่หรือหย่า จากมุมมองของสามี) แล้วชั่งน้ำหนักระหว่างการสูญเสีย (cost) และ ประโยชน์ (benefits) ว่าอันไหนมากกว่ากัน ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วเสียใจมากกว่าที่จะมีความสุขก็หย่ากัน แต่มีความสุขมากกว่าเจ็บปวดใจ ความสัมพันธ์ก็ดำเนินต่อไป เห็นไหมว่าแม้แต่ความรักยังต้องตอบแทนกันจึงจะอยู่ด้วยกันได้

 

 

ในทางจิตวิทยากล่าวถึงเรื่องรักไร้เงื่อนไขไว้ เช่น ความเอื้ออาทร (altruism) หมายถึง การที่ใครคนหนึ่งทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เกิดจากความสมัครใจโดยไม่คาดหวังรางวัลจากภายนอก ปรากฏการณ์แบบนี้มีในหมู่จิตอาสาต่างๆ เช่น อสม. (อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน) หรือมูลนิธิต่างๆ 

แม้นักจิตวิทยาหลายๆ ท่านอาจเกิดข้อกังขาว่า altruism มีจริงหรือไม่ ในยุคนี้ดูเหมือนความเอื้ออาทรแบบนี้ไม่น่ามี แต่มันก็ยังคงมีอยู่แม้จะเพียงน้อยนิด 

ความรักไร้เงื่อนไขนั้นมีคำจำกัดความไว้ต่างๆ นานา ฉบับนี้ Wonder Wanners ขอกล่าวถึงความรักในมิติใหม่ที่ได้รับแนวคิดมาจากหนังสือ Areeya Metaya (อารียา เมตตายา) ที่นำเสนอไว้อย่างน่าสนใจ

 

ความรักมีทั้งหมด 4 ระดับ

+  ระดับที่ 1 คือ ความรักที่มอบให้คนที่ด้อยกว่าหรืออะไรก็ตามที่เรารู้สึกว่าต่ำกว่า เช่น คนหรือสัตว์ที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก แล้วเราสามารถหยิบยื่นความช่วยเหลือให้อย่างง่ายดาย

ระดับที่ 2 คือ ความรักที่มอบให้คนที่เสมอกับเรา บุคคลระดับนี้เราสามารถพบเจอได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น ลูกค้า เพื่อนร่วมงาน คนข้างบ้าน หรือแม้กระทั่งเพื่อนร่วมโลก

+  ระดับที่ 3 คือ ความรักที่มอบให้คนที่เหนือกว่าเรา มีความเป็นอยู่ที่ดีกว่า หรือการร่วมแสดงความยินดีที่เขานั้นมีสิ่งที่ดีกว่าเรา มีความสุขที่เห็นคนอื่นมีชีวิตดีกว่าเราจากใจจริง

ระดับที่ 4 คือ ความรักที่มอบให้แก่ศัตรู รักแบบบริสุทธิ์ใจ รักแบบไร้เงื่อนไข ให้อภัยได้ในทุกกรณี รักระดับนี้ยากที่สุด เช่น พระพุทธเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความรักและเมตตา ปรารถนาให้สรรพสิ่งที่มีชีวิตได้พ้นทุกข์ รักและไม่เคยถือโกรธแม้แต่ผู้ที่คิดร้ายต่อพระองค์ เช่น พระเยซูผู้ถูกตรึงที่ไม้กางเขน เพื่อชำระบาปให้มนุษย์ จึงยอมโดนทำร้ายจนถึงแก่ชีวิต

 

 

การจะรักไร้เงื่อนไขได้ตามหนังสือ Areeya Metaya นั้นต้องรักถึงระดับที่ 4 ตัวอย่างหนึ่งของรักไร้เงื่อนไขที่ใกล้ตัวมากที่สุด คือ ความรักของพ่อแม่ที่รักเราในทุกๆ สภาวะของชีวิต ไม่ว่าเราจะไม่สวย ไม่หล่อ ไม่ฉลาด ไม่ประสบความสำเร็จ นิสัยไม่ดี เกเร พวกเขาก็รักเราและให้ทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข เป็นที่พึ่งพาที่ดีและนำทางให้เราให้ทำแต่ความดีงาม

 

ความตั้งใจของผู้เขียนในปักษ์นี้ ปรารถนาให้ผู้อ่านได้สัมผัสมิติใหม่ของความรักที่สูงส่งและล้ำลึกท่ามกลางวิกฤติต่างๆ สิ่งเดียวที่โลกยังคงสวยงามและดำเนินต่อไปได้ คือ การมอบความรักให้แก่ผู้อื่นอย่างไร้เงื่อนไข แม้คนนั้นจะเป็นศัตรูของเรา โดยเริ่มจากตัวเราเป็นผู้ให้ก่อนอย่างไร้เงื่อนไข คนที่มีความสุขคนแรกคือคุณ ลองฝึกทำกันดูนะคะ มันไม่ง่ายแต่ไม่ยากเกินวิสัย เพราะทุกคนมีความรักในหัวใจอยู่แล้ว

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับความรักค่ะ


นินทานั้นสำคัญฉะนี้ : ทำไมมนุษย์ถึงได้จริงจังกับการนินทามาก?

นินทานั้นสำคัญฉะนี้

คอลัมน์ : “จักรวาลแห่งความรัก ดาวเคราะห์แห่งความเหงา”
โดย : นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์

 

 

ในสังคมนั้น (ไม่ใช่เฉพาะสังคมไทย) เราเห็นคนนินทากันอยู่เป็นปกติ แม้คุณจะบอกว่าคุณไม่มีนิสัยนินทา แต่การสนทนาในแต่ละวันของเราก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของคนอื่นอยู่เป็นประจำ “เฮ้ย ไอ้นิดเป็นยังไงบ้างตอนนี้ ได้ข่าวว่ามันย้ายไปอยู่บริษัท A แล้วนะ” บทสนทนาทำนองนี้บางคนอาจไม่ได้คิดว่าเป็นการนินทา แต่ถ้าเรานิยามคำ “นินทา” ว่าเป็นการพูดถึงคนอื่นในทางไม่ดีลับหลัง วันหนึ่งๆ เราก็นินทากันไม่น้อยทีเดียว ผลการศึกษาของ ดร.Nicholas Emler พบว่า การสนทนาแต่ละวันของเรามักเป็นเรื่องของคนอื่นหรือเรื่องนินทาถึงร้อยละ 80 (มีเรื่องนินทาว่าร้ายอยู่ประมาณร้อยละ 5) แต่การนินทายังลามไปถึง เซเล็บ ดารา นักการเมือง ผู้มีชื่อเสียง ถึงกับมีการตั้งสำนักข่าว หรือออกหนังสือพิมพ์ แม็กกาซีน เพื่อเอาคนดังเหล่านี้มานินทา หารายได้เข้ากระเป๋า หรือแม้แต่พวกเราก็พร้อมจะไปฟอลโลว์ทวิตเตอร์ อินสตาแกรม ของเหล่าคนดังเพื่อติดตามและนินทาคนเหล่านั้นอย่างใกล้ชิด

 

เลยเกิดความสงสัยนะครับว่า ทำไมมนุษย์ถึงได้จริงจังกับการนินทามากขนาดนี้?

 

นักวิทยาศาสตร์ ดร.โรบิน ดันบาร์ เสนอว่า จริงๆ แล้วที่มนุษย์เป็นอย่างทุกวันนี้เพราะการนินทา เมื่อมนุษย์อยู่กันเป็นฝูงขนาดใหญ่ การพัฒนาภาษาของมนุษย์เกิดจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลของคนในเผ่าว่าใครทำอะไร ที่ไหน นิสัยเป็นอย่างไรจึงเป็นเรื่องสำคัญ เช่น การรู้ว่าไอ้แตงโมมันขี้โกง ชอบแกล้งป่วยเวลาจะออกล่าแมมมอธทุกที แต่พอได้เนื้อมาก็ทำทีตีสนิทขอกินด้วย เราจึงรู้ว่าไม่ควรแบ่งอาหารให้และควรอยู่ห่างไว้ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของเราที่ส่งผลต่อการมีโอกาสอยู่รอดและสืบพันธุ์ได้มากขึ้น

 

ยีนชอบฟังเรื่องชาวบ้านจึงเป็นยีนที่มีประโยชน์ต่อการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ และกลายเป็นนิสัยหลักอย่างหนึ่งของมนุษย์ตอนนี้ในที่สุด และเมื่อมันเกิดขึ้นมากในคนทุกรุ่น ความแตกต่างต่อการอยู่รอดแม้เพียงเล็กน้อยก็จะค่อยๆ มากขึ้น 

 

ถ้าเราไม่มีภาษา เราก็ต้องโดนไอ้แตงโมโกงก่อนถึงจะรู้ แต่ถ้าเรามีภาษาไว้สื่อสาร เราแค่ฟังประสบการณ์ที่คนอื่นถูกกระทำก็จะรู้ว่าควรวางตัวอย่างไรกับไอ้แตงโมดี ภาษาของมนุษย์ยุคแรกๆ ก็คงไม่ต่างจากภาษาของเด็กเล็กหัดพูด การพูดและทำความเข้าใจคงเป็นเรื่องลำบาก

 

แต่มนุษย์ที่สื่อสารได้ดี ใช้ภาษาได้เก่งกว่าคนอื่นๆ ย่อมมีความได้เปรียบในการเอาชีวิตรอด และแพร่พันธุ์ได้มากกว่า

 

ภาษาของมนุษย์จึงซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ ตามสมองของเรา จนในที่สุดคำวิเศษณ์อย่าง “ขี้โกง” ก็เกิดขึ้น ถือเป็นเรื่องที่ปฏิวัติวงการสื่อสารของมนุษย์ เพราะคำเดียวก็สามารถอธิบายพฤติกรรมโดยรวมที่คนคนหนึ่งทำ โดยไม่ต้องเสียเวลาเล่า คำว่า “ขี้โกง” (และคำวิเศษณ์ที่ใช้อธิบายนิสัยของมนุษย์) เป็นคำที่ต้องใช้จินตนาการสูงทั้งผู้พูดและผู้ฟัง จึงน่าจะเกิดทีหลัง เมื่อสมองเรามีขนาดใหญ่พอจะประมวลผลเรื่องเหล่านี้ได้   

ภาษาของมนุษย์จึงเริ่มก่อรูปขึ้นอย่างช้าๆ จะเห็นได้ว่า รูปแบบประโยคของภาษาทั่วโลก ย่อมประกอบด้วย ประธาน (ใคร) กริยา (ทำอะไร) กรรม (กับใคร) ที่ไหน เมื่อไหร่ (เป็นส่วนขยาย) เหมือนกันทั้งหมด เพราะนั่นเป็นวิธีการใช้ภาษาเบื้องต้น หากเราอยากรู้ว่าคนยุคหินพูดกันอย่างไร ก็ลองฟังได้จากเด็กเล็กที่เริ่มหัดพูดคำง่ายๆ อย่างวัตถุหรือคนที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ตามด้วยกริยาต่างๆ ส่วนคำแสดงลักษณะต่างๆ เช่น ขี้โกง น่ารัก น่าเบื่อ ซึ่งต้องอาศัยจินตนาการ และเป็นนามธรรม จะอยู่รั้งท้าย เพราะต้องอาศัยการเรียนรู้และสมองที่ซับซ้อนกว่าเดิม

 

เมื่อการนินทามีผลต่อการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์เรามากขนาดนี้ ครั้งต่อไปที่คุณเจอคนขี้นินทาก็อย่าเพิ่งรำคาญเขานะครับ แต่คุณต้องขอบคุณเขาด้วยซ้ำที่ทำหน้าที่สำคัญของมนุษยชาติเพื่อให้เรายังมีชีวิตอยู่

 

 

อ้างอิง

https://www.dailymail.co.uk/sciencetech/article-1211863/Youll-guess–We-spend-80-cent-time-gossiping.html  


นิสัยปังๆ ที่ทำให้ตกหลุมรัก

นิสัยปังๆ ที่ทำให้ตกหลุมรัก

เรื่องโดย: Wonder Wanners 

______________________________________________________________________________________________________________________________

 

 

ครั้งยังเด็กเราเคยมีความฝันต่างๆ มากมาย หรือแม้แต่ตอนนี้ใครหลายคนก็ยังมีความปรารถนาต่างๆ เกี่ยวกับตนเอง ความฝัน ความปรารถนา และนิสัยที่เราใฝ่ฝันอยากเป็น ในทางจิตวิทยาเรียกว่า “ตัวตนในอุดมคติ” (Ideal self) เอ็ดวาร์ด ทอรี ฮิกกินส์ (Edward Tory Higgins) นักจิตวิทยา กล่าวว่า มนุษย์ทุกคนล้วนปรารถนาที่จะได้เป็นตัวตนในอุดมคติ มิเช่นนั้นแล้วจะรู้สึกเศร้า ผิดหวัง เสียใจ

 

  • แล้วในฐานะคนรักล่ะ ตัวตนในอุดมคติแบบไหนบ้างที่ทำให้รักยั่งยืน?

 

ฉบับนี้ Wonder Wanners ขอเปิดเผยผลสำรวจที่เก็บข้อมูลด้วยตนเองเมื่อปี 2562 จากข้อมูลคนไทย 100 คนที่มีแฟนหรือแต่งงานแล้ว ช่วงอายุระหว่าง 25-38 ปี ผู้หญิง 62 คน ผู้ชาย 38 คน โดยให้ทำแบบสอบถามเลือกนิสัยในอุดมคติที่อยากเป็น 3 อันดับแรก จากผลสำรวจพบว่า ตัวตนในอุดมคติของคนไทยมี 7 อุปนิสัยที่ตอบเหมือนกันมากที่สุดโดยมิได้นัดหมาย คือนิสัยแบบใดนั้นมาดูกัน

 

 

+ ไม่เจ้าชู้

ความซื่อสัตย์ รักเดียวใจเดียว เป็นหนึ่งในนิสัยที่สำคัญที่สุดสำหรับการใช้ชีวิตคู่ หากมีเรื่องใดเกิดขึ้น ควรบอกอย่างตรงไปตรงมา เพื่อปรับตัวปรับใจให้ตรงกัน จะได้ไม่นอกใจไปหาใครอื่น

+ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น

หนึ่งในคุณสมบัติที่ส่งเสริมให้เราเป็นคนน่ารักคือ มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น เอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก มุมมอง หากเราเข้าใจเขาย่อมชนะใจเขาได้ไม่ยาก

+ ขยัน

ความขยันนำมาซึ่งความสำเร็จ หมั่นพัฒนาตัวเอง คนขยันย่อมมีเสน่ห์กว่าคนขี้เกียจที่ใช้ชีวิตไปตามยถากรรม รอโชคชะตามาโปรด

+ รักครอบครัว

ความกตัญญูเป็นเครื่องหมายของคนดี การเป็นคนรักครอบครัวคือลักษณะของผู้ที่ให้ความสำคัญกับคนใกล้ชิด รู้คุณพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ รวมถึงคนรัก เพราะคนใกล้ตัวคือบุคคลที่ส่งเสริม สนับสนุนให้สำเร็จ จึงเป็นคุณสมบัติข้อหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ

 

 

+ สนุกสนาน

ชีวิตมีสีสันได้เพราะมีความสนุกสนานในหัวใจ ใครๆ ก็อยากอยู่ใกล้คนอารมณ์ดี อยู่ใกล้แล้วมีความสุข

+ ใจเย็น

คนใจเย็นคือผู้ที่คิดตรึกตรองรอบคอบได้ดีกว่าคนที่ใจร้อน สามารถมองสิ่งต่างๆ ได้ทะลุปรุโปร่ง ที่สำคัญคนใกล้ชิดย่อมรู้สึกสบายใจและสงบ

+ ดูแลเอาใจใส่

การดูแลเอาใจใส่ผู้อื่นเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่ใครๆ ก็ตกหลุมรัก เพราะทุกคนล้วนอยากได้รับการเอาใจใส่กันทั้งนั้น หากเราสามารถเป็นผู้ให้ โดยคำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นก่อนโดยที่เขาไม่ต้องเอ่ยปาก เป็นผู้ให้โดยไม่หวังผลตอบแทนแค่ให้ก็มีความสุขแล้ว นับเป็นเรื่องดีๆ ที่มนุษย์คนหนึ่งพึงกระทำ

 

7 นิสัยที่คนไทยส่วนหนึ่งจากการสำรวจนี้ให้ความสำคัญ คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ เพราะเป็นนิสัยที่สามารถฝึกฝนได้ หากคุณมีคุณสมบัติครบ 7 ข้อนี้ เชื่อแน่ว่าดึงดูดรักดีๆ ได้ไม่ยาก เป็นสาวพราวเสน่ห์ในฝันที่ใครหลายคนใฝ่หาแน่ๆ

 

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับรักรอบตัวแม้อยู่ท่ามกลางโควิด-19 ที่เชื่อว่าเราจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้ค่ะ


ทำไมจากเมียถึงกลายเป็นแม่

 

ทำไมจากเมียถึงกลายเป็นแม่

___________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

 

“โอ้ย! เราก็อยู่ของเรา ทำไมมีเมียอยู่ดีๆ ถึงกลายเป็นแม่ได้(วะ)!”

 

เหตุที่สงสัยก็เพราะแต่เดิมนั้นภรรยาสาวช่างเอาอกเอาใจปรนนิบัติ มาบัดนี้กลับกลายเป็นคนเจ้ากี้เจ้าการบ่นนู่นสั่งนี่ ราวกับแม่แท้ๆ ของเราก็มิปาน ผู้ชายอย่างเราเลยออกอาการมึนงงสับสนแยกไม่ถูกเป็นบางครั้ง แต่ที่จริงคำถามข้างต้นก็สามารถอธิบายได้ด้วยหลักวิทยาศาสตร์นะครับ 

เมื่อหลายล้านปีก่อน มนุษย์ก็เป็นลิงสายพันธุ์หนึ่งซึ่งมีนิสัยชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงทั้งตัวผู้ตัวเมียคล้ายกับชิมแปนซี เมื่อใดตัวเมียติดสัด เมื่อนั้นตัวผู้ทั้งฝูงก็แย่งกันปั่มปั๊มตัวเมีย หลังจากประมาณ 8 เดือน ชิมแปนซีสาวก็คลอดลูก และต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง ส่วนพ่อนั้นนอกจากไม่สนใจแล้ว ยังไม่รู้ว่าเป็นใครอีกด้วย

แต่บรรพบุรุษของเรามีความฉลาดกว่าสายพันธุ์อื่นๆ เราเลยมีสมองที่ใหญ่กว่าลิงด้วยกัน มีหัวที่ใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดร่างกาย ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้องคลอดลูกก่อนกำหนด เพื่อให้หัวมีขนาดที่จะผ่านช่องคลอดของแม่ได้ ลูกทารกของมนุษย์เลยค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเดินได้และดูแลตัวเองเป็น แม่จึงเลี้ยงลูกคนเดียวแบบเดิมไม่ได้แล้ว พ่อจึงต้องช่วยเลี้ยงลูกอ่อนด้วย ไม่อย่างนั้นลูกอาจไม่รอด

 

 

นี่แหละครับ เป็นช่วงที่ความรักฟรุ้งฟริ้งมุ้งมิ้งหรือรักแบบเมียเกิดขึ้น ร่างกายใช้สารเคมีหลายตัวในการทำให้พ่อกับแม่รักกัน อยู่ด้วยกัน เพื่อให้พ่อช่วยหาอาหารมาเลี้ยงลูกและดูแลแม่ สารเคมีหลักๆ ได้แก่ dopamine (โดพามีน) nor-adrenaline (นอร์อดรีนาลีน) สารทั้งสองนี้ก่อให้เกิดความสุขแก่เราอย่างยิ่งยวด และพวกยาเสพติดทั้งหลายก็ทำให้สารดังกล่าวหลั่งมากกว่าปกติ

จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมช่วงแรกๆ ที่มีความรัก เราจึงเกิดอาการติดแฟนหรือติดเมียเกิดขึ้น (นักวิทยาศาสตร์เอาสมองคนที่เพิ่งมีความรักใหม่ๆ ไปสแกน ก็พบว่าแทบไม่ต่างจากคนติดยาเลย)

ช่วงเวลาดังกล่าวกินเวลาประมาณ 6 เดือน-2 ปี เป็นช่วงที่แม่และเด็กต้องการการดูแลเป็นพิเศษ เมื่อพ้นช่วงนี้ฤทธิ์ของโดพามีนก็จะลดลง เนื่องจากสภาวะตกหลุมรักเป็นเวลานานๆ ไม่ส่งผลดีต่อการดำรงชีวิตเท่าไหร่ เพราะพ่อต้องใช้พลังงานอย่างมากในการตกหลุมรักและหาอาหารมาเลี้ยงดู

แต่ฮอร์โมน oxytocin (ออกซิโทซิน) ก็จะเข้ามามีบทบาทแทน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่หลั่งออกมามากที่สุดในช่วงที่แม่คลอดลูก ทำให้แม่มีความผูกพันกับลูก น้ำนมไหล จริงๆ แล้วฮอร์โมนตัวนี้มีผลให้สมองแม่เปลี่ยนไปเลยด้วยซ้ำ เพื่อให้รักลูกมากกกกกกกก (ไม่รู้จะใช้ ก ไก่ กี่ตัวดี) และฮอร์โมนตัวนี้มีอยู่ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่นๆ เช่นกันครับ หน้าที่ของมันคือทำให้แม่รักลูก ดูแลลูก

 

 

สำหรับคนนั้น การดูแลลูกแค่ 1-2 ปียังไม่พอ เพราะใครๆ ก็รู้ว่าเด็กสองปียังดูแลตัวเองไม่ได้ ธรรมชาติจึงต้องหาวิธีที่จะทำให้พ่ออยู่กับแม่นานขึ้น

เนื่องจากในกระบวนวิวัฒนาการนั้น ธรรมชาติถนัดการเอาของที่มีอยู่แล้วกลับมารีไซเคิลใช้ใหม่ มากกว่าสร้างอะไรสักอย่างขึ้นมาจากศูนย์ ธรรมชาติจึงได้นำเอาระบบความผูกพันที่มีอยู่แล้วของเรา ซึ่งก็คือระบบออกซิโทซินนี่แหละ มารีไซเคิลใช้อีกครั้งกับความรัก

 

‘ดังนั้นความรักในช่วงครึ่งหลังของเราจึงไม่หวือหวาซู่ซ่า แต่เป็นความอุ่นใจลึกๆ และให้ความรู้สึกของความเป็น “แม่-ลูก” มากกว่าความรักช่วงแรก’

และนี่ละครับ คือสาเหตุของปราฏการณ์ ทำไม “เมียถึงกลายเป็นแม่” ได้ในที่สุด

 

 

อ้างอิง

http://psycnet.apa.org/record/2009-12487-007

 

คอลัมน์ “จักรวาลแห่งความรัก ดาวเคราะห์แห่งความเหงา”
โดย นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์
Hug magazine ปีที่ 11 ฉบับที่ 11


ตกหลุมรักในความดี เปาวลี & เอิร์ธ

ตกหลุมรักในความดี

เปาวลี & เอิร์ธ

ด้วยพลังแห่งความรักและความดีที่มีอย่างเปี่ยมล้น                คู่รักอย่างเปาวลี-พรพิมล และเอิร์ธ-กานต์ กิจเจริญ จึงจับมือกันฟันฝ่าอุปสรรคนานา แล้วก้าวเดินไปด้วยกันอย่างไม่ไหวหวั่นต่อสิ่งใด

 

 

ความบังเอิญเกิดรัก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตาที่ทำให้คนสองคนมาพบกันกระทั่งก่อเกิดเป็นความรัก ระหว่างหนุ่มเอิร์ธ ลูกชายของพิธีกรชื่อดัง ซูโม่กิ๊ก-เกียรติ กิจเจริญ กับนักร้องลูกทุ่งสาวเสียงดีอย่างเปาวลี เธอเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า “เป็นเพราะความบังเอิญค่ะ หนูเข้าวงการมาในช่วงที่หนังเรื่องพุ่มพวงออกฉาย แล้วได้ไปโปรโมตในรายการ กลมกิ๊ก เป็นรายการแรกๆ ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักเปาวลี ก็ได้เจอทุกคนในครอบครัวเอิร์ธ พอจบรายการ เราก็ออกมาหน้าสตูฯ เพื่อรอขอถ่ายรูปกับป๋ากิ๊ก ยังไม่ทันได้ถ่าย ป๋าก็บอกว่า “รอก่อนนะ เดี๋ยวไปตามลูกชายมาถ่ายรูปด้วย” หลังจากการถ่ายรูปร่วมกัน ด้วยความน่ารักและนิสัยดีของสาวเปาวลี ทำให้หนุ่มเอิร์ธและครอบครัวเกิดความประทับใจ และเขาเริ่มต้นสานสัมพันธ์กับเธอ

เอิร์ธตัดสินใจโทรศัพท์หาเปาวลีผ่านแม่ของเธอเพื่อทำความรู้จักและขอเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัว แต่สาวเปาวลีกลับเลือกให้เฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อพูดคุยกัน หนุ่มเอิร์ธเล่าว่า “ตอนนั้นมันมีเฟซบุ๊ก มีบีบีพิน แต่ยังไม่มีไลน์ เราคุยกันทางเฟซบุ๊กสักพักหนึ่ง ก่อนเอิร์ธจะกลับไปอเมริกาถึงค่อยขอบีบีพิน หลังจากนั้นถึงได้เบอร์ครับ” สาวเปาวลีเล่าเสริมว่า “เป็นปีกว่าที่เราจะได้คุยกันทางโทรศัพท์ เพราะตอนนั้นเราเป็นเด็กที่อยู่กับพ่อแม่มาตั้งแต่เล็กๆ ไม่ค่อยมีใครมาจีบ พอเราได้คุยกับเขา เราก็ต้องศึกษาก่อน เพราะเราเจอหน้าเขาแค่แวบเดียว เราเลยต้องให้เฟซบุ๊กเพื่อเข้าไปดูโปรไฟล์ของเขาว่า มีแฟนหรือยัง ใช้ชีวิตยังไง” (หัวเราะ)

ใช่ว่าช่วงแรกาสาวเปาวลีจะยอมเปิดใจให้เขาเต็มที่ เพราะด้วยอาชีพนักร้อง นักแสดงในวงการบันเทิง ทำให้เธอรู้สึกกังวลกับความรักครั้งนี้ เปาวลีเล่าว่า “ตอนที่รู้ว่าเขามาจีบ ก็รู้สึกดีที่ได้คุยกัน เพราะรู้สึกสบายใจตั้งแต่แรก แต่ด้วยความที่เราเป็นนักร้องแล้วสมัยนั้นโซเชี่ยลยังไม่เปิดกว้างเท่าตอนนี้ เราเลยยังมีความคิดแบบหัวโบราณอยู่ว่า เป็นนักร้องแล้วห้ามเปิดตัวแฟนหรือห้ามมีแฟนนะ เลยไม่กล้าเปิดใจมากเท่าไหร่”

 

 

อุปสรรคของรักเรา

สำหรับนักร้องสาวเปาวลีกับหนุ่มเอิร์ธ เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ตั้งแต่หนุ่มเอิร์ธต้องกลับไปเรียนต่อที่อเมริกาในช่วงที่กำลังเริ่มต้นสานสัมพันธ์ จึงเกิดความห่างไกลและความยากลำบากที่ต้องสื่อสารกันผ่านออนไลน์เพียงอย่างเดียว รวมทั้งเวลาของประเทศที่ไม่ตรงกัน  “เอิร์ธกลับเมืองไทยปีละครั้ง กว่าจะได้เป็นแฟนกันก็คุยกันหนึ่งปี ความยากคือเอิร์ธอยู่ที่อเมริกาซึ่งเวลาต่างจากไทย 12 ชั่วโมง ถ้าที่อเมริกาเที่ยงคืน ที่ประเทศไทยคือเที่ยงวัน มันมีช่วงเวลาเหลื่อมกันอยู่ เพราะเอิร์ธต้องไปเรียน เขาก็ออกไปทำงาน ที่จริงแล้วเป็นข้อดีที่เราอยู่ไกลกันเลยทำให้ลงตัว ถ้าเราอยู่ประเทศเดียวกัน เอิร์ธว่าเราอาจเดินทางมาไม่ถึงจุดนี้ก็ได้”

ยิ่งใกล้เหมือนยิ่งไกล

นอกจากรักทางไกลแล้ว การกลับมาพบกันที่เมืองไทยก็ยังมีอุปสรรคอีกเช่นกัน เพราะยิ่งอยู่ใกล้เหมือนยิ่งไกล เพราะไม่สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์นี้ได้นานกว่า 4 ปี ฝ่ายภรรยาสาวพูดถึงความรู้สึกครั้งนั้นว่า “การอยู่ไกลกัน เปาคิดว่าไม่ยาก แต่การที่อยู่ใกล้กัน เวลาเขากลับมาแล้วเราทำตัวไม่ถูก มันยากกว่าเยอะ ตอนนั้นยังกลัวปาปารัซซี่ (หัวเราะ) เราไปดูหนังด้วยกัน แต่หนูชวนเพื่อนไปหลายคน แล้วเราก็นั่งคนละแถวกับเอิร์ธ” ด้านสามีหนุ่มเสริมต่อ “พอกลับมาเจอกันที่เมืองไทย เราเและเขาก็ทำตัวลำบากเพราะเปิดเผยไม่ได้ เราไม่ได้ทะเลาะกันแต่น้อยใจ เพราะรู้สึกอึดอัดมาก เราอยู่ในสังคมแบบฝรั่งที่เปิด ไปเที่ยวก็เดินจับมือ แต่สำหรับเขามันตรงข้ามกัน เราไม่ชิน แต่พอเข้าใจอยู่บ้างว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ เพราะพ่อกิ๊กก็เคยเตือนเราเรื่องงานวงการบันเทิงแล้ว แต่เราก็คิดว่าคงทำได้แหละ” ส่วนฝ่ายภรรยาสาวที่ฟังอยู่ข้างกายเสริมว่า “เขาน้อยใจเรา เราก็น้อยใจตัวเองที่เรารักเขานะ แต่ไม่รู้จะทำยังไง เพราะเราก็ต้องรักษาอาชีพของเราไว้เพื่อครอบครัวด้วยค่ะ”      

เมื่อความน้อยใจและอึดอัดใจถูกสั่งสมไว้นานวันเข้า ทั้งคู่เลยตัดสินใจเลิกกันสักพัก แต่เพราะความรักและความคิดถึงจึงกลับมาคบกันอีกครั้ง “ล่าสุดที่เอิร์ธกลับไปเรียนตอนปี 3 ปี 4 แล้วกลับมา เรานัดดูหนังกัน หนูพาพี่ไปด้วยสองคน แต่เอิร์ธไปคนเดียว วันนั้นเราทำเป็นไม่รู้จักเขาเพื่อจะได้เดินเข้าโรงหนังพร้อมกัน เราเป็นคนขี้ระแวงมาก พอออกมาจากโรง ต่างคนต่างนิ่งแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน เราก็กลับมาทบทวนเรื่องราวว่า เราต่างอึดอัด ถ้าการคบกันของเรานั้นยากมากก็ไม่ต้องคุยกันดีไหม พอเลิกกันวันนั้นเขาก็กลับอเมริกา ผ่านไปไม่กี่วันเขาก็ส่งข้อความมาว่า คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว กลับมาคุยกันนะ” 

 

 

วันที่หัวใจเราพร้อม

หลังจากกลับมาคบกันอีกครั้งด้วยความเข้าใจและได้เวลาเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทุกคนได้รับรู้ ความกังวลใจอันหนักอึ้งจึงหายไป คนรอบข้างต่างยินดีกับทั้งคู่ นักร้องสาวลูกทุ่งยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบ “จำได้ว่าหนูตัดสินใจบอกพี่ๆ นักข่าวก่อนเอิร์ธจะกลับมา เราก็พูดความจริงเพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด พูดจากใจจริง อะไรจะเกิดเราก็ต้องยอมรับให้ได้ หลังจากที่บอกทุกคนไปแล้วเราโล่งใจมาก แล้วหนูก็โทร.บอกเอิร์ธว่าบอกพี่ๆ นักข่าวแล้วนะ เปิดตัวได้แล้ว” สิ้นประโยคที่เธอเอ่ย เราสัมผัสได้ถึงความดีใจและความสุขจากเหตุการณ์ครั้งนั้น จนอดยิ้มและแสดงความยินดีกับความรักของสองคนนี้ไม่ได้จริงๆ

 

กฎเกณฑ์ของความรัก

ด้วยความหวงลูกสาวของครอบครัวฝ่ายหญิง ทำให้เทั้งสองต้องปฏิบัติตามกฎของความรักและช่วยประคับประคองกันให้ผ่านด่านนี้ไปได้ ช่วงแรกคบนั้นเวลาไปกินข้าวด้วยกัน สาวเปาวลีจะต้องกลับถึงบ้านตอน 6 โมงเย็น เธอบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ครอบครัวหนูหวงลูกสาวเพราะเป็นนักร้องแล้วก็ยังเด็กด้วย เวลาเอิร์ธมารับที่บ้านเพื่อพาไปกินข้าว เขาต้องขออนุญาตก่อน ทุกคนก็ทำเป็นนิ่งเฉย ไม่พูดอะไร (หัวเราะ) เราขอโทษเขาแล้วบอกว่าแรกๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ ขอโทษแทนพ่อแม่ด้วยที่ยังไม่ยอมรับ ตอนนั้นเอิร์ธก็พูดกับเราเองว่า ไม่เป็นไรหรอก ให้พ่อแม่ได้เห็นว่าเขาเป็นคนยังไง” 

“เอิร์ธรับได้เพราะกฎก็ต้องเป็นกฎ บ้านเขามีกฎแบบนี้เราต้องทำตาม เพราะบ้านเราก็มีกฎเหมือนกัน เรารักลูกสาวเขา เราก็ต้องทำตามกฎที่เขาบอกให้ได้สิ ผมพาเปากลับถึงบ้าน 6 โมงตรง ไม่เคยมาช้ากว่านั้นเลย” 

 

 

อยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่

เมื่อเข้าสู่ประตูวิวาห์ตามขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างที่ทั้งสองครอบครัวหวังไว้ เราจึงซักถามถึงข้อดี-ข้อเสียของการอยู่ก่อนแต่งและแต่งก่อนอยู่ ภรรยาสาวให้ความเห็นว่า “แม่บอกว่าให้เราแต่งก่อนแล้วค่อยอยู่ด้วยกัน เป็นประเพณีของบ้านเรา หนูมีความรู้สึกว่า สมัยนี้คนชอบอยู่ก่อนแต่งเพื่อศึกษากันก่อน แต่ละบ้านอาจจะเคร่งมาก เคร่งน้อย หรือไม่เคร่งเลย หนูว่ามีค่าเท่ากันในการใช้ชีวิตร่วมกัน แต่การแต่งก่อนอยู่นั้นเป็นการให้เกียรติครอบครัวมากกว่า” และเมื่อถามถึงการใช้ชีวิตหลังแต่งงาน พวกเขาเล่าว่ามีการดูแลกันมากขึ้น เช่น ทำอาหารให้กิน ดูแลตอนไม่สบาย แสดงความห่วงใย รวมถึงเรื่องการนอนละเมอของสามีหนุ่มซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวร่วมกัน

 

เย็นเหมือนฟัก หนักเหมือนหิน

เอิร์ธและเปาวลีวางแผนสร้างอนาคตทำธุรกิจร้านอาหารร่วมกัน ทั้งยังนำคำสอนจากผู้ใหญ่มาปรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตด้วย เปาวลีเล่าด้วยรอยยิ้ม “อย่างที่พ่อกิ๊กบอกในวันส่งตัวเข้าหอว่า ‘ให้เย็นเหมือนฟัก หนักเหมือนหิน’ คือให้เราทั้งคู่ใจเย็น มีอะไรก็จับมือคุยกัน และหนักแน่น นับเป็นคำสอนที่สั้น ได้ใจความ และนำมาใช้ได้จริง” เอิร์ธเสริมว่า “ถ้าตัดสินใจเรื่องใดร่วมกันแล้วก็ต้องยอมรับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไป เพราะเราคือทองแผ่นเดียวกัน เราตกลงกันแล้วว่าเราจะจับมือเดินไปทางนี้ด้วยกัน”

หากพูดถึงความประทับใจ สาวเปาวลีบอกว่า “พอได้สัมผัสตัวตนของเขา เรารู้สึกว่าเขาเชื่อใจได้ ไม่มีอะไรปิดบัง เป็นคนพูดตรงๆ เสมอต้นเสมอปลาย พอแต่งงานกันก็รู้สึกว่าเขามีความรับผิดชอบและดูแลเรามากขึ้น คอยให้คำปรึกษา ถึงวันนี้ก็รู้สึกได้ว่าเรารักกันมากขึ้นด้วย” เอิร์ธบรรยายความรู้สึกว่า “พื้นฐานของเปาเป็นคนรักครอบครัว แล้วเอิร์ธก็ถูกปลูกฝังว่า คนเราควรรักครอบครัวก่อน เมื่อมีครอบครัวของตัวเองคนคนนั้นก็จะทุ่มเทเต็มที่เช่นกัน เปารักครอบครัวของเขาและของเรา แค่นี้พอแล้วสำหรับความต้องการของเอิร์ธในชีวิตนี้ ที่สำคัญคือเขานิสัยดี ขยันทำงาน เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ของเขาและเรา รักพ่อแม่เราเหมือนเป็นพ่อแม่ตัวเอง และเข้ากับเพื่อนของเราได้” 

หลักคิดของรักที่มั่นคง

เมื่อขอให้ทั้งสองแบ่งปันหลักคิดในการใช้ชีวิตคู่ สาวเปาวลีบอกว่า “แต่ละคนมีความรักที่ไม่เหมือนกัน เรื่องรักแท้แพ้ระยะทางหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเรามีความมั่นคงจริงๆ ไม่ไขว้เขว ย่อมสามารถผ่านพ้นไปได้ และการที่เราศึกษาใครคนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ดี หากยังมีเวลาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันได้ก็ควรทำ แต่ถ้าตกลงใช้ชีวิตร่วมกันแล้วก็ให้มั่นคงกันต่อไป หนูคิดว่าสไตล์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันปรับ”

หนุ่มเอิร์ธให้คำแนะนำว่า “ในมุมมองของเอิร์ธ สังคมผู้ชายถ้าหาคู่จะเริ่มจากหน้าตาก่อน เบื้องหลังค่อยว่ากัน แต่เอิร์ธว่าจริงๆ แล้วเราควรดูที่แบ็คกราวด์เขาก่อนว่า รักครอบครัวหรือเปล่า เขาดูแลพ่อแม่ดีไหม คุยกับพ่อแม่ด้วยคำพูดแบบไหน นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าผู้หญิงคนนี้ดีหรือเหมาะกับเราหรือเปล่า หน้าตาเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่พื้นฐานนิสัยเป็นสิ่งสำคัญ จริงๆ แล้วทุกคนเป็นคนดี แต่ถ้าต้องเลือกคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิต เขาต้องยอมรับเรา ยอมรับพ่อแม่เราได้ และที่สำคัญคือยอมรับทางบ้านตัวเองให้ได้ก่อน”


“กรดไหลย้อน” ภัยร้ายกว่าที่คิด

“กรดไหลย้อน”

ภัยร้ายกว่าที่คิด

ร่างกายของเราและโรคกรดไหลย้อน

ตามปกติแล้วเมื่อเรารับประทานอาหารเข้าไป อาหารจะผ่านจากช่องปากลงสู่หลอดอาหาร กล้ามเนื้อหลอดอาหารจะบีบไล่อาหารจากบนลงล่าง ที่ปลายทางมีหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างที่คอยปิดเปิดทางเข้าของกระเพาะอาหาร แต่หากหูรูดของหลอดอาหารส่วนล่างหลวม คลายผิดจังหวะ หรือมีแรงดันในช่องท้องสูง น้ำย่อยที่อยู่ในกระเพาะก็จะไหลขึ้นมาก่อให้เกิดอาการของโรคกรดไหลย้อนได้

 

* อาการของโรคกรดไหลย้อน แบ่งเป็นอาการที่เกิดกับหลอดอาหารโดยตรงและอาการที่เกิดนอกหลอดอาหาร

 

อาการที่เกิดกับหลอดอาหารโดยตรง

  • อาการแสบร้อนอก อาการนี้เป็นอยู่ข้างในช่องอกตั้งแต่ระดับลิ้นปี่ กลางอก จนถึงลำคอและปาก รู้สึกแสบร้อนเล็กน้อยจนถึงอึดอัดเจ็บ
  • กลืนลำบาก กลืนอาหารลงสู่กระเพาะได้ช้าหรือฝืดกว่าปกติ คล้ายมีก้อนติดในลำคอเวลากลืน
  • เรอขย้อน  เป็นการเอาสิ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหารขึ้นมาในลำคอ อาจจะเป็นเรอเปรี้ยวหรือเรอขม
  • เจ็บหน้าอก  เจ็บแน่นอึดอัด หายใจไม่คล่อง จนแยกไม่ได้จากอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

 

อาการที่เกิดกับอวัยวะนอกหลอดอาหาร

  • เจ็บคอ น้ำย่อยที่ขึ้นมาที่ลำคอก่อความระคายเคืองแก่ลำคอและด้านหลังโพรงจมูกได้ ผู้ป่วยอาจเจ็บคอในตอนเช้า เสียงแหบ หรือมีเสมหะน้ำลายออกมาก
  • ไอเรื้อรัง เกิดจากน้ำย่อยก่อการระคายเคืองบริเวณลำคอ กล่องเสียงหรือหลอดลม จนกระตุ้นการไอ
  • เคลือบฟันผุกร่อน  กรดที่ขย้อนขึ้นมาจะทำให้เคลือบฟันสึกกร่อนได้ มักเกิดกับฟันกรามซี่ในสุดเนื่องจากเป็นฟันที่มีโอกาสสัมผัสกับกรดไหลย้อนในตอนกลางคืนมากที่สุด
  • หอบหืด  อาจเกิดจากการกระตุ้นหอบหืดผ่านทางเส้นประสาทของหลอดอาหาร หรือการสำลักน้ำย่อยลงหลอดลม

 

 

ปัจจัยเสี่ยงและสิ่งกระตุ้น

  • มีแรงดันจากช่องท้องมากขึ้น เช่น ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่น้ำหนักตัวมาก หรือการใส่ชุดที่รัดบริเวณท้องแน่น
  • โรคหรือภาวะที่ส่งผลต่อการทำงานของบริเวณหูรูดหลอดอาหารส่วนล่าง เช่น ในผู้ที่มีโรคไส้เลื่อนกระบังลม 
  • การรับประทานอาหารแล้วเข้านอนทันทีโดยเฉพาะการนอนราบ
  • การรับประทานอาหารที่ใช้เวลาย่อยนาน เช่น อาหารมัน หรืออาหารปริมาณมากๆ ในกระเพาะอาหารจึงมีน้ำย่อยอยู่นานขึ้น มีโอกาสที่กรดจะไหลย้อนได้ง่ายขึ้น
  • อาหารหรือยาบางชนิด ตัวกระตุ้นที่พบได้บ่อยๆ มีหลายชนิดเช่น กาแฟ ชา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ผลไม้ตระกูลส้มมะนาว อาหารที่เผ็ดจัดเปรี้ยวจัด บุหรี่ 

 

อันตรายจากโรคกรดไหลย้อน

โดยมากแล้วกรดไหลย้อนที่เกิดขึ้นนานๆ ครั้งมักไม่เป็นอันตรายรุนแรง แต่ถ้าเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องยาวนานแล้วละก็ อาจก่อให้เกิดความผิดปกติของทางเดินอาหาร ได้แก่ การเกิดแผลในหลอดอาหาร จนเกิดอาการกลืนเจ็บหรือเลือดออกในหลอดอาหาร หลอดอาหารตีบแคบ จนเกิดอาการกลืนลำบาก หรือการเกิดหลอดอาหารบาร์เรตต์ที่มีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อหลอดอาหารซึ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งมากกว่าคนปกติ

 

การรักษา

  • การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและจัดการปัจจัยเสี่ยง เป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้ก่อนจะไปพบแพทย์ เริ่มตั้งแต่การรับประทานอาหารแต่พอดี ไม่อิ่มจนเกินไป หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแล้วเข้านอนทันที หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง สังเกตชนิดอาหารที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการและหลีกเลี่ยงอาหารเหล่านั้น
  • การใช้ยา ยาที่ใช้รักษาโรคกรดไหลย้อนมีหลายชนิด ได้แก่ ยาควบคุมการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ลดความเป็นกรดในกระเพาะอาหาร และยาลดอาการแสบร้อนที่ทำหน้าซึ่งเคลือบทางเดินอาหารขณะที่กรดกำลังย้อนขึ้นมา
  • การผ่าตัด ใช้ในกรณีที่รักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผลหรือมีข้อห้ามในการใช้ยา

 

โรคกรดไหลย้อนถือเป็นปัญหาที่พบได้มากขึ้นเรื่อยๆ แม้ส่วนใหญ่จะไม่เป็นอันตรายรุนแรง แต่ก็สามารถรบกวนจนคุณภาพชีวิตของเราเสียได้ หากเริ่มมีอาการควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตลดละปัจจัยเสี่ยง และถ้าอาการยังไม่ดีขึ้นก็ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษา


ทำไมผู้ชายถึงไม่ชอบผู้หญิงเก่ง

ทำไมผู้ชายถึงไม่ชอบผู้หญิงเก่ง

______________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

 

* เราคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่า “ผู้ชายนั้นไม่ชอบผู้หญิงเก่ง”

แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่รอดพ้นหูของนักวิทยาศาสตร์ และเขาก็อยากทดลองว่าคำกล่าวอ้างนี้จริงแค่ไหน

อดัม คาร์โบว์สกี (Adam Karbowski) นักวิจัยและทีมงานของเขาได้นำข้อมูลการทดลอง speed-dating จากนักศึกษา 500 คนมาวิเคราะห์เรื่องนี้ ผู้เข้าร่วมต้องให้คะแนนอีกฝ่ายในสองด้านคือ ความฉลาดและรูปร่างหน้าตา แต่ละด้านมีคะแนนเต็ม 10 คะแนน (การ speed-dating ของฝรั่งคล้ายๆ กับการเล่น tinder คือชายหญิงที่อยากมีคู่มาร่วมงาน ให้แต่ละคนจับคู่กันใช้เวลาคุยกันสั้นๆ ไม่กี่นาที จากนั้นเปลี่ยนคู่จนครบ ระหว่างที่จับคู่เจะมีกระดาษให้เราติ๊กว่าคนนี้ผ่านหรือไม่ พอวนครบทุกคู่ ผู้จัดงานก็จะรวบรวมเอากระดาษที่ติ๊กมาดู ถ้ามีคู่ไหนที่ติ๊กผ่านเหมือนกัน เขาก็ให้ข้อมูลของอีกฝ่ายเพื่อไปเดทต่อ)

 

นี่คือผลจากการวิเคราะห์

  • สาวๆ ชอบแบบไหน

คาร์โบว์สกีพบว่าผู้ชายหล่อนั้นถูกเลือกไปเดทมากกว่าชายที่หล่อน้อยกว่า ซึ่งผู้หญิงยังให้โอกาสชายที่ไม่หล่ออยู่ถ้าเขาเป็นคนฉลาด แต่เสียใจด้วยกับหนุ่มเนิร์ดครับ เพราะเมื่อเทียบกันระหว่างความหล่อกับความฉลาดแล้ว สาวๆ เลือกความหล่อมากกว่า หนุ่มที่ได้คะแนนความฉลาดเต็ม 10 แต่ความหล่อ 2 นั้น มีโอกาสถูกเลือกเพียงร้อยละ 10 เท่านั้น แต่ถ้าความหล่อของเขาได้ 5 คะแนน เขาอาจมีโอกาสถูกเลือกเพิ่มร้อยละ 50 และหากความหล่อของเขาสะดุดตาถึง 9 คะแนน หนุ่มสุดฉลาดของเราก็มีโอกาสประมาณร้อยละ 75 (อ่านแล้วเจ็บใจตัวเองชะมัด)

ในขณะที่หนุ่มหล่อเต็ม 10 แต่ฉลาด 2 กลับมีโอกาสถูกเลือกถึงร้อยละ 55 และถ้าหนุ่มหล่อมีความฉลาดเพิ่ม 4.5 โอกาสของเขาก็เพิ่มขึ้นไปถึงร้อยละ 80 (แต่ความฉลาดที่มากกว่านี้แทบไม่มีผลต่อการเลือกของสาวๆ)

  • หนุ่มๆ ชอบแบบไหน

จากผลการวิเคราะห์ของคาร์โบว์สกี สาวๆ ที่มีคะแนนความสวยน้อยกว่า 4 และมีคะแนนความฉลาดน้อยกว่า 2 แทบไม่ถูกเลือกเลย ในขณะที่หนุ่มผู้ได้คะแนนพอๆ กัน กลับถูกสาวๆ เลือกมากกว่า

และที่แน่ยิ่งกว่าคือ ผู้ชายให้ความสำคัญแก่รูปร่างหน้าตามากกว่าสมอง เพราะยิ่งได้คะแนนรูปร่างหน้าตามากเท่าไหร่ ผู้หญิงก็ยิ่งมีโอกาสถูกเลือกมากเท่านั้น

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ สำหรับผู้ชายแล้วเมื่อถึงจุดหนึ่ง ความฉลาดของผู้หญิงย่อมลดโอกาสการถูกเลือกของเธอลง (เขียนถึงตรงนี้แล้ว รู้สึกว่ามีสาวๆ หลายคนกำลังเบะปากมองบน)

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ถ้าผู้หญิงคนนี้ได้คะแนนความสวยที่ 6/10 (ค่าเฉลี่ย) และมีคะแนนความฉลาดอยู่ที่ 2/10 เธอจะมีโอกาสถูกเลือกประมาณร้อยละ 20 เมื่อความฉลาดเพิ่มเป็น 4/10 โอกาสก็เพิ่มเป็นร้อยละ 30 เมื่อเพิ่มความฉลาด 6/10 โอกาสก็เพิ่มเป็นร้อยละ 40 เมื่อฉลาด 8/10 โอกาสของเธอกลับไม่เพิ่มขึ้นแล้วหยุดที่ร้อยละ 40 เท่าเดิม และถ้าความฉลาดเธอกลายเป็น 10/10 โอกาสของเธอลดลงมาเหลือเพียงร้อยละ 30

 

ดูกราฟด้านล่างนี้เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นครับ

 

 

โดยสรุปคือสำหรับผู้หญิง ความสวยแบบทั่วไป (6/10) จะดึงดูดผู้ชายใน speed-dating ได้ดีที่สุดเมื่อเธอฉลาดประมาณ 7/10 ผู้หญิงที่ฉลาดมากหรือน้อยกว่านี้จะดึงดูดน้อยกว่า ทั้งผู้หญิงสวยมากและสวยน้อยต่างก็ดึงดูดผู้ชายมากสุดที่ความฉลาดประมาณ 7/10 เหมือนๆ กัน และโดยภาพรวม ผู้หญิงที่ฉลาดกว่าจะดึงดูดผู้ชายน้อยกว่าเมื่อเทียบผู้หญิงที่สวยพอๆ กัน แต่ฉลาดน้อยกว่า

จากการศึกษาของคาร์โบว์สกีอธิบายได้ว่า ทำไมหลายคนจึงพูดว่า ผู้ชายไม่ค่อยชอบผู้หญิงฉลาด (เช่นผู้ชายอาชีพอื่นจะไม่กล้าจีบผู้หญิงที่เป็นหมอ) และทำไมผู้หญิงบางคนถึง “แอ๊บ” ไม่ฉลาดเวลาอยู่ใกล้ๆ ผู้ชาย (จะได้มีเสน่ห์ขึ้นไงล่ะ)

 

เพราะเหตุใดผู้ชายถึงชอบผู้หญิงที่ไม่ฉลาด ยังไม่มีงานวิจัยที่ยืนยันอย่างชัดเจน

แต่ก็มีคนอธิบายไว้ เช่น ความฉลาดของผู้หญิงนั้นไปทำร้ายอีโก้ของฝ่ายชาย (ฉันต้องเก่งกว่า ปกป้องดูแลคนอื่นๆ ได้แปลว่าฉันแมน แต่การที่ผู้หญิงเก่งกว่าก็ไปทำร้ายความแมนของผู้ชาย) หรืออีกคำอธิบายหนึ่งคือ ผู้หญิงชอบมีตัวเลือกเผื่อไว้มากกว่าผู้ชาย จึงไม่ให้ความสำคัญแก่ความฉลาดนัก (อาจเป็นเหตุผลว่า ทำไมผู้หญิงจึงมักคุยกับผู้ชายหลายคนในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ผู้ชายโดยมากมักจีบผู้หญิงทีละคน)

ก่อนจบต้องขอย้ำไว้ก่อนว่านี่เป็นการทดลองเกี่ยวกับความดึงดูด เป็นความสัมพันธ์ระยะสั้นเท่านั้นนะครับ ไม่ได้บอกว่าผู้ชายที่จับคู่กับผู้หญิงสวยแต่ไม่ฉลาดจะมีความสัมพันธ์ระยะยาวที่ดีแต่อย่างใด

ในทัศนะของผู้เขียน ความสวยทำให้รู้สึกดีแค่ช่วงแรกๆ แต่หลังจากนั้นต้องเป็นอะไรที่มากกว่านั้นแล้ว (สวยแค่ไหนมองนานๆ ย่อมเบื่อเป็นธรรมดา) แต่จะเป็นอะไรเดี๋ยวผมจะค่อยๆ ค้นคว้ามาตอบให้ครับ (ขออภัยด้วยที่ขึ้นหัวข้อแรงๆ ไว้เรียกแขก แหะๆ)

ยังไงก็เป็นกำลังใจให้นะครับ

 

 

คอลัมน์ “จักรวาลแห่งความรัก ดาวเคราะห์แห่งความเหงา”
โดย นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์
Hug magazine ปีที่ 11 ฉบับที่ 8


3 “อย่า” เมื่ออยากหา “คนที่ใช่”

3 “อย่า”เมื่ออยากหา“คนที่ใช่”

  • เมื่อชีวิตแบบบ new normal มาเยือน ทุกคนจำเป็นต้องเว้นระยะห่าง ใส่หน้ากากปกป้องตัวเองจากเชื้อโรค ต้องระวังและใส่ใจการใช้ชีวิตให้มากขึ้น แต่ในเมื่อโสดมานานจนอยากมีคนรักเป็นตัวเป็นตนอย่างใครเขา กลับไม่เจอคนที่ใช่สักที เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาชีวิต เจ้าความรักจึงขอนำทริคที่อาจช่วยให้ได้เจอ “คนที่ใช่” ที่ตรงใจคุณ

 

1. อย่าวางความสัมพันธ์เป็นศูนย์กลาง

ข้อแรกคืออย่ามองว่าความสัมพันธ์ครั้งนี้เป็นทุกอย่างของชีวิต เพราะหากเรายึดมั่นถือมั่นบางสิ่งมากจนเกินไป ย่อมสร้างความอึดอัดและไม่มีความสุขในชีวิต ดังนั้นคุณควรมุ่งเน้นกิจกรรมที่ชื่นชอบหรือสนใจ เมื่อตัวเรามีความสุขย่อมแสดงออกทางกาย ผ่านรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ คำพูด รวมถึงแววตา ซึ่งนั่นคือเสน่ห์เฉพาะบุคคลที่แท้จริง และจะเป็นเครื่องดึงดูดใจให้ใครต่อใครอยากเข้ามาทำความรู้จักคุณด้วย

 

 

2. อย่าตัดสินจากเพียงความประทับใจแรก

ฮักมีโอกาสถ่ายทอดเรื่องราวความรักผ่านบทสัมภาษณ์คู่รักหลายคู่ ประเด็นหนึ่งคือความประทับใจเมื่อแรกเจอ บางคู่อาจเจอกันครั้งแรกในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะสม เช่น คนหนึ่งเพิ่งวิ่งฝ่าสายฝนมาตัวเปียกปอน อีกคนหงุดหงิดจากรถไฟฟ้าเสีย ดังนั้น เราจึงไม่ควรตัดสินใครเมื่อแรกเจอ ลองพูดคุยกับเขาสักหน่อย ค่อยๆ เรียนรู้ซึ่งกันและกันก่อน ต่อให้คนคนนี้ยังไม่ใช่ เขาหรือเธออาจกลายเป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่งก็ได้

 

 

3. อย่าคาดหวังในความเพอร์เฟ็กต์

ก่อนมองหาความสมบูรณ์แบบจากใคร อยากให้คุณลองย้อนกลับมาเช็คลิสต์ข้อดี-ข้อเสียของตนเอง เพื่อจะได้รับรู้ว่าบนโลกนี้ไม่มีใครเพอร์เฟ็กต์ คนที่เราไม่คิดว่าจะชอบ อาจกลายเป็นคนที่ใช่ สิ่งที่เรามองว่าเป็นข้อบกพร่องอาจเป็นสิ่งที่คนอื่นมองว่าน่ารัก น่าดึงดูด คุณควรเปิดใจให้แก่ความไม่สมบูรณ์แบบ เพราะในความสมบูรณ์แบบอาจไม่มีความสุขอย่างที่ใจคุณต้องการก็เป็นได้