คุยข่าวรัก

บุญญิตา งามศัพพศิลป์ & สิทธิชัย เรียบร้อย

ทุกเช้าทางช่อง 8 เราจะได้ยินเสียงแจ่มใสชวนให้หายง่วงของนักข่าวหญิงมือดี ‘ก้อย’ บุญญิตา งามศัพพศิลป์ ที่คอยจัดรายการข่าว ตั้งแต่หกโมงเช้าจนถึงแปดโมงห้าสิบเป็นประจำ นอกจากนั้นเธอยังเป็นพิธีกรด้านสุขภาพในรายการ ‘ใส่ใจไกลโรค’ ของ RS Mall อีกด้วย เรียกว่างานแน่นทุกวัน แต่ยังมีพลังบวกได้เสมอ เพราะพลังใจสำคัญจากสามีคู่ชีวิต ‘ต้อย’ สิทธิชัย เรียบร้อย และลูกชายสุดหล่อน ‘ดราก้อน’ กตตน์ เรียบร้อย วันนี้เหยี่ยวข่าวคนขยันจะขอมารายงานข่าวรักฉบับพิเศษให้ ฮัก โดยเฉพาะ

 

 

ประเดิมข่าวรัก

“เข้ามาเป็นนักข่าวก็ได้แฟนเลย” คุณก้อยหัวเราะเสียงดังกังวาน ไม่ต่างจากตอนอ่านข่าวเลยสักนิด เมื่อเล่าย้อนหลังถึงการพบกันระหว่างนักข่าวสาวสายบันเทิงกับช่างภาพหนุ่มสายการเมืองที่กลายมาเป็นคู่ชีวิตกันได้

“พี่ต้อยเป็นคนจัดตารางงานให้ช่างภาพในทีม ส่วนเราเพิ่งจบมาทำงาน ก็ได้เจอกันบ่อยๆ”

“คงเป็นพรหมลิขิตมั้ง” คำตอบสั้นๆ ของคุณต้อยพร้อมด้วยรอยยิ้มบนหน้า กลบความเขินอายเล็กๆ บุคลิกพูดน้อยแต่ทำจริง ช่างแตกต่างจากภรรยาที่ร่าเริงตลอดเวลา และดูคล้ายพระนางในละครสักเรื่องจริงๆ

คุณต้อยเล่าเสริมว่าเพราะต่างคนต่างโสด ตัวคุณก้อยน่ารักจนสะดุดตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงหัวเราะของเธอ จึงอดใจไม่ได้ที่จะอยากสานสัมพันธ์ด้วย

“อยู่ๆ เขาก็พูดว่า พี่ชอบหนูนะ เรานึกในใจเอาแล้วโว้ย (หัวเราะทั้งคู่) พี่ต้อยมีความเป็นผู้ใหญ่ ตั้งแต่คบกันมา เขาสนับสนุนเราทุกเรื่อง หันมาเมื่อไรก็เจอเขา และในทุกวิกฤติของเรา หรือทุกเรื่องราวที่ต้องตัดสินใจ พี่ต้อยจะคอยหนุนหลังตลอด ถึงบางเรื่องไม่เคยพูดเลย แต่ก็ไม่เคยหายไปไหน ทำให้รู้สึกผูกพัน จนวันหนึ่งก็ตัดสินใจอยู่ร่วมกัน”

 

ใจประสานใจ

ทำงานอาชีพเดียวกันดูมีข้อดีที่เข้าใจกัน แม้ว่าตารางงานที่ยุ่งนั้นจะส่งผลกระทบอยู่ไม่น้อย แต่สองคนนี้กลับไม่มีปัญหาใดๆ

“ตอนที่พี่ต้อยต้องเดินทางตามนายกฯ ไปทำข่าว ก็หายไปนานๆ แต่ไม่ขาดการติดต่อ เรายังคุยกันอยู่ จะมีการแบ่งเวลาว่าเจอกันอาทิตย์ละครั้งนะ แต่ถ้ามีงานก็ไม่เป็นไร ตัวก้อยก็วิ่งข่าวและอ่านข่าวด้วย ช่วงนั้นจัดรายการตอนดึก ส่วนพี่ต้อยเป็นหัวหน้าซึ่งต้องจัดหมายงานให้นักข่าวตอนกลางคืน ถ้าเขาไม่ได้ออกไปไหนก็จะคอยรอรับเราตอนตีสองทุกวัน ในขณะที่เขาต้องตื่นไปทำงานตอนตีห้า แต่ไม่เคยหายไปเลย นอกจากไปทำงานที่ต่างจังหวัดหรือต่างประเทศเท่านั้น แต่ถ้าอยู่กรุงเทพฯ จะมารอเราที่ตึกอาร์เอสเสมอ (ยิ้ม)”

 

อาถรรพ์ตัวเลขที่ไม่มีจริง

ทั้งสองคบหากันถึงเจ็ดปีจึงค่อยแต่งงาน แต่ที่จริงแล้ว แผนอนาคตถูกวางเอาไว้ตั้งแต่ปีที่สี่ของการคบหาเป็นอีกสิ่งที่พิสูจน์ว่า ทั้งสองต้องการจะเป็นคู่ชีวิตกันจริงๆ ไม่ใช่แค่การคบหาอย่างเลื่อนลอยไปวันๆ

“คิดว่าถ้าคบได้สี่ปีแล้วไม่คืบหน้าก็ไม่เอาละ เราเป็นผู้หญิงไม่อยากเสียเวลา เลยคุยกันตรงๆ พี่ต้อยก็ให้เราเก็บเงินเดือนของเขา เรารู้สึกดีนะ ไม่ใช่เพราะเรื่องเงิน แต่เป็นการพิสูจน์ว่าเขาจริงจังจริงใจกับเรา ก้อยจึงเป็นคนดูแลเงินสำหรับแต่งงานและจัดสรรการใช้จ่าย วางแผนต่างๆ แล้วป๊าก้อยเกิดป่วย พี่ต้อยเลยไปคุยกับญาติผู้ใหญ่ ขอเลื่อนการแต่งงานให้เร็วขึ้นกว่าเดิม ทั้งหมดเริ่มจากการไว้วางใจ เขาไม่เคยหายไปไหน ไม่ใช่ผู้ชายขี้งก”

“ให้ดูที่ความเสมอต้นเสมอปลายของผู้ชาย ไม่ใช่แรกๆ ดี หลังๆ มาค่อยๆ ออกลาย ควรเข้าหาครอบครัวทั้งสองฝ่าย อย่างเราสองคนคือพาเข้าบ้านกันแต่แรก แนะนำให้รู้จักครอบครัวเราและครอบครัวเขา พอผมคิดว่าถึงเวลาแล้ว ประจวบกับป๊าก้อยป่วย ตอนนั้นทางบ้านก้อยยังไม่มีใครแต่งงาน และอยากทำเพื่อป๊าด้วยเลยตัดสินใจไม่ยาก (ยิ้ม)”

คุณก้อยยังเสริมถึงเรื่องความกังวลของผู้หญิงในสังคม ที่รีบแต่งงานจนกลายเป็นว่าตัดสินใจผิดพลาด ทั้งโดนหลอก หรือได้คู่ไม่ดี ตามข่าวที่ได้อ่านกันบ่อยครั้ง

“เข้าใจนะว่าผู้หญิงย่อมอยากฝากผีฝากไข้ไว้กับใครสักคน แต่ดูแค่ประวัติไม่พอหรอก ต้องไปถึงบ้าน ลงลึกในรายละเอียด ถ้ามันจะใช่ ถึงเวลาก็ใช่เอง จริงอยู่บางคนใจร้อนแล้วได้ดีก็มี แต่อาจเป็นคู่ของเขา ยังต้องระวัง ที่จริงแต่ละคนมีเซนส์นะ จะรู้เองว่าคนคนนี้สามารถอยู่ในชีวิตเราได้ยั่งยืนหรือเปล่า หรือแค่มาประเดี๋ยวประด๋าว มีวิธีการดูออกหลายอย่าง เช่น เขาเริ่มไม่เหมือนเดิม หรือเราจับโทรศัพท์เขาแป๊บหนึ่งแล้วเริ่มมีปัญหา หรือใครโทรมาหาเขาแล้วเขาเริ่มคุยเสียงเบามาก หรือหนีไปคุยที่ห้องน้ำทุกที มันก็น่าแปลกละ ของแบบนี้สอนไม่ได้ เพราะประสบการณ์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ไม่ต้องรีบ อะไรที่เป็นของเราก็เป็นของเรา อะไรที่ไม่ใช่ พยายามให้ตายก็ไม่ใช่”

 

เมื่อขอเลิกครั้งแรก

ทั้งสองยอมรับว่าตอนแต่งงานใหม่ๆ ตารางชีวิตยังวุ่นวายอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวคุณก้อยเองที่นอกจากงานประจำ ก็มีสอนหนังสือ เรียนหนังสือ จัดรายการวิทยุ เรียกว่าเจ็ดวันเต็มอัตรา สามีหมาดๆ คอยไปรับไปส่งเช่นเคย จนวันหนึ่งคุณต้อยพูดว่า ‘เราจะเป็นแบบนี้อีกนานไหม’ ภรรยาคนเก่งจึงตัดสินใจได้ในทันทีว่า

“เลิกเลยค่ะ (หัวเราะ) เลิกเรียน เลิกสอน เลิกจัดรายการวิทยุ เหลือแค่งานประจำอย่างเดียว เพราะติดสามี (หัวเราะร่วน) ไม่นานก็มีลูกพอดี ทุกอย่างเป็นจังหวะชีวิตนะ ทั้งที่ไม่ได้คิดถึงการมีลูกเลย แค่คิดว่าใช้ชีวิตด้วยกันบ้างดีกว่า ไปเที่ยวกันบ้าง”

“เป็นครั้งแรกที่เราสองคนได้หยุดเสาร์อาทิตย์ ตอนนั้นผมเป็นผู้จัดการอยู่ในออฟฟิศแล้ว ไม่ต้องไปทำข่าวข้างนอก ตามแค่เมียอย่างเดียว (หัวเราะ) กลายเป็นว่าอยู่ในสายตากันเสมอ เพราะทำงานที่เดียวกัน จากที่ไม่เคยมีเวลาให้กัน ก็อยู่ด้วยกันตลอดเวลาแทน”

ถึงจะพูดแบบนั้นแต่รอยยิ้มสุขใจบนใบหน้าส่งว่าคุณต้อยเองก็ดีใจไม่ใช่น้อย

 

มีลูกเมื่อพร้อม

ในยุคนี้การมีลูกสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะสภาพสังคม เศรษฐกิจ ความเครียด ฯลฯ ทำให้เกิดคำขวัญว่า ‘มีลูกเมื่อพร้อม’ รวมทั้งการเปรียบเทียบว่า มีพ่อแม่เมื่อพร้อมเช่นกัน ทั้งคู่คิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้

“คำว่า ‘พร้อม’ มันจำเป็นจริงนะ ไม่ใช่พร้อมแค่เรื่องเงินหรือหน้าที่การงาน แต่ยังเป็นเรื่องวุฒิภาวะของพ่อแม่ที่พร้อมดูแลเด็กคนหนึ่งให้มีคุณภาพ เราไม่ได้การันตีว่าลูกเราดีที่สุด แต่เชื่อว่าลูกมีความอบอุ่น ตอนนี้ดราก้อนอายุสิบสองแล้วยังกอดหอมพ่อแม่ พูดกับพวกเราได้เสมอ การมีลูกเมื่อพร้อมจริงๆ ทำให้รู้ว่าเรื่องใหญ่แค่ไหนเราสองคนก็ยอมฟ่อนปรนกันได้เพราะลูก (ยิ้ม) ก้อยมาจากครอบครัวไม่สมบูรณ์ แม่ตายแต่เด็ก พี่ต้อยก็พ่อตายแต่เด็ก อยากให้ลูกจดจำแต่เรื่องดีๆ หันมาก็มีพ่อแม่คอยสนับสนุนตลอดเวลา มันคือความพร้อมที่จะเลี้ยงคนคนหนึ่งให้มีคุณภาพ ไม่รู้สึกขาดอะไรอีกแล้ว”

“โชคดีมีคุณย่าช่วยด้วย พวกผมจ้างพี่เลี้ยง และให้ย่าคอยดูแลอีกที ให้ทำคนเดียวไม่ได้เพราะท่านแก่แล้ว ตอนเช้าเราสองคนไปทำงาน พอกลับบ้านตอนเย็นก็มาดูลูกต่อ เข้านอนพร้อมกัน ให้เวลากัน ในตอนนี้ก้อยต้องไปทำงานแต่เช้ามาก ส่วนผมมีบริษัทของตัวเอง เลยแบ่งหน้าที่กันทำว่า ผมขับรถไปรับส่งลูกนะ แต่ถ้าตอนเย็นก้อยว่างก็จะไปรับลูกพร้อมกัน”

“มีรุ่นพี่เคยแนะนำค่ะว่า ถ้าอยากให้เด็กรู้สึกอบอุ่นก็ไปรับส่ง แล้วเวลานั่งในรถ เขาจะบอกว่าวันนี้เจออะไรมาบ้าง ช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้เราได้รู้ว่าลูกไปเจออะไรมานะ ก็สามารถแก้ไขได้ รวมทั้งป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นทัน ที่บ้านเลยรับส่งลูกเป็นประจำ และก็กินข้าวด้วยกันเท่าที่มีโอกาสค่ะ ในเวลาที่พ่อไม่อยู่บ้าน แม่จะอ่อนแอขึ้นมาเลย (หัวเราะร่วน) บอกว่าทำไม่ได้ หรือขอแรงจากเขา ลูกก็จะวิญญาณพ่อเข้าสิง มาคอยหยิบนั่นจับนี่ทำนู่นให้ บอกคุณแม่ไม่ต้อง ดราก้อนทำเอง (ยิ้ม) เพราะเขารู้ว่าถ้าพ่อไม่อยู่ เขาต้องทำแทนได้”

สมเป็นมังกรน้อยที่เติบโตมาได้น่ารักจริงๆ

 

เติมน้ำตาลรสชาติเฉพาะ

ทั้งคู่เติมความหวานให้กันอย่างไร เราถามเพราะเห็นหลายคู่เมื่อมีลูกก็มักละเลยคนรักของตน ทุ่มเทให้ลูกจนลืมไปว่า บางครั้งชีวิตคู่ก็ต้องหาเวลาคลอเคลียกันสองต่อสองบ้าง ทั้งสองตอบว่าแทบไม่มีปัญหานี้ เพราะต่างใช้ทุกช่วงเวลาที่มีด้วยกันอยู่แล้ว เวลาไปไหนก็จูงมือกันตลอด จนมีบางคนทักว่าตัวติดกันเกินไปหรือเปล่า

“ผมไม่อึดอัดอะไรนะ และเราสองคนไม่มีความลับต่อกัน อย่างมือถือผมวางไว้ ก้อยหยิบดูได้เลย และบ้านเราไม่มีเซอร์ไพรส์ ไม่มีเทศกาล ใครอยากได้อะไรบอก จะไม่ห้ามกันด้วย (หัวเราะ) ทำงานมาเหนื่อยๆ เติมให้ตัวเองก็ได้ ไม่ต้องรอคนอื่นเติมความหวาน”

เพราะฉะนั้นเพื่อนบ้านอย่าแปลกใจที่มีกองพัสดุมาส่งบ้านหลังนี้อยู่เนืองๆ

ลดทิฐิเพื่อไปต่อ

“จะถูกหรือผิด ผมต้องขอโทษก่อน (หัวเราะ) เพราะขอโทษแล้วปัญหาคลี่คลาย เรื่องจบ”

คุณต้อยย้ำชัดหนักแน่นในกฎเหล็กของบ้าน ที่เขาเต็มใจทำแต่โดยดี เพราะรู้ว่ามันเป็นแค่สองคำสั้นๆ ที่ใช้เพื่อปิดประเด็นเรื่องราวเท่านั้น ตัวคุณก้อยเองหัวเราะและยอมรับในความยึดมั่นตรงนี้ แต่เหตุผลของเธอก็น่าฟังจนพอจะให้อภัยได้

“เป็นผู้ชายต้องขอโทษจริงไหม (ยิ้ม) บางครั้งที่เขาขอโทษ เรารู้นะว่าเราผิด ตอนเราเอ่ยปากก่อนว่าขอโทษหรือยัง นั่นคือการง้อในแบบของเราแล้ว เพราะคนโกรธกันจริงๆ หน้าก็ไม่อยากมอง ไม่อยากพูดก่อนหรอก เราเองก็อยากให้จบด้วยดี เมื่อก่อนเคยไม่ยอมถึงกับนอนขวางประตูห้องนอน ไม่ให้เขาออกไป พี่ต้อยก็เดินข้ามเราไปเลย (หัวเราะ)”

“ผมว่ายอมได้ก็ยอม อย่ายึดติดว่าเป็นผู้ชายต้องมีศักดิ์ศรีแบบนั้นแบบนี้ เมื่อเราใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว ต้องยอมๆ กัน ถูกบ้างผิดบ้างยอมไปเถอะ ไม่เสียหายอะไรหรอก ชีวิตคู่อย่าเอาแต่ถือทิฐิ”

ถึงวิธีนี้จะใช้ไม่ได้กับทุกคน คุณก้อยก็แนะให้ลองคิดในมุมอื่นดูบ้าง

“ทั้งหมดอยู่ที่ความเข้าใจในคู่ตัวเอง มันไม่ได้ราบรื่นทุกวันหรอก เรายังมีหลายอารมณ์ในหนึ่งวันเลย บางครั้งหัวเสียกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ถ้าอยู่ด้วยความเข้าใจกัน ก็จะโอเค และให้อภัยเยอะๆ คุณยังต้องมีเรื่องไม่ถูกใจกันอีกจนกว่าจะตายจากกัน แต่เมื่อเลือกเขาแล้ว ก็ต้องยอมรับมัน คนเรามีทั้งข้อดีข้อเสีย พี่ต้อยก็มี แต่เราไม่ให้ความสำคัญแก่ข้อเสียของเขามากไป และตัวเขายอมงดเว้นข้อเสียที่มีได้ด้วย บางครั้งข้อเสียของเขาก็เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นไม่ตัดเล็บ (หัวเราะ) สำหรับเราสาวๆ มันคือเรื่องใหญ่มากเลยนะ ชอบผู้ชายมือสะอาด พอโตก็รู้ว่าไม่ใช่ทั้งหมดของชีวิต ยอมบ้าง เพราะลงท้ายไม่ได้อยากให้เขาหายไปไหน ต่อให้โมโหแค่ไหนก็ต้องนั่งอยู่ด้วยกันตรงนี้ ไม่รู้จะทะเลาะไปเพื่ออะไร”

“ที่ไม่ตัดเพราะต้องถ่ายรูป ต้องหยิบของเล็กๆ ถ้าตัดก็หยิบไม่ถนัด จับนั่นนี่ไม่ได้ (โชว์ให้ภรรยาดู)”

 

หลักการเลือก ‘บ้าน’ ที่ดี

“เลือกคนที่อยู่ด้วยแล้วเหมือนอยู่บ้านค่ะ 1.มีความสบายใจ 2.อบอุ่น 3.ปลอดภัย ถ้าเจอแล้วไม่รู้สึกว่าต้องเกร็ง ไม่ต้องกังวลเวลาอยู่ด้วยกันว่าทำแบบนี้ เขาคิดอย่างไร จะว่าอะไรไหม ถ้าเจอคนที่เราอยู่ด้วยสบายใจให้รักษาเอาไว้ มันไม่ได้หวือหวา แต่สบายใจ ไม่ต้องระแวงใครอีกแล้ว”

“ผมคิดว่า เลือกคนที่อยู่ด้วยแล้วไม่ต้องเก๊ก สบายๆ รับสิ่งที่เราเป็นได้ และเรารับสิ่งที่เขาเป็นได้ ยิ่งถ้าคิดตรงกันก็โอเคเลย”

ส่วนใครที่ยังไม่เจอ ‘บ้าน’ ของตน ทั้งสองเห็นพ้องกันว่าไม่ผิด ในเมื่อยังไม่เจอคนที่ใช่ ก็ให้เลือกต่อไป ไม่จำเป็นต้องฝืนทน บางคนอาจอยู่คนเดียวแล้วมีความสุขสบายใจด้วยซ้ำ 

“เราสองคนถือว่าโชคดีเกิดมาเจอกันค่ะ เผอิญว่าเคมีเข้ากัน ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง ถ้าต้องเปลี่ยนจนขาดความเป็นตัวเอง และเกิดความไม่สบายใจ มันก็ไม่ใช่แล้วละ ไม่ต้องทนเพื่อสิ่งนี้”

 

 

เมื่อความเครียดครอบงำ

“ไม่ควรมีความลับครับ ผมบอกทุกเรื่อง อยากรู้อะไรถามได้” คุณต้อยตอบชัดเจนถึงคำถามในกรณีที่หัวหน้าครอบครัวต้องแบกภาระจนเครียดแล้วเก็บกดเอาไว้ ไม่อยากให้คนในบ้านพลอยเป็นกังวลด้วย ส่วนคุณก้อยมองว่า

“ในฐานะภรรยาเราก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น จะได้ช่วยกันคิดหาทางออก ดีที่บ้านเรามีอะไรคุยกันหมด จะรับรู้ปัญหาร่วมกันตลอด ที่พี่ต้อยบอกว่าอย่ามีความลับกับคู่ชีวิตนั้น ถูกต้องแล้ว เพราะถ้าตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว การที่ได้รับรู้ปัญหาของอีกฝ่าย ก็แสดงว่าเขาไว้ใจที่จะบอกเราซึ่งเป็นคนนอนอยู่ข้างๆ เขานะ แต่ถ้าได้รู้เป็นคนสุดท้ายหรือเมื่อสาย มันเจ็บปวดมาก อยากบอกทุกคู่ว่าอย่ามีความลับต่อกัน อย่าให้ต้องรู้สึกคลางแคลงใจ แต่ถ้าหมอบอกพี่ต้อยเป็นโรคอะไร ไม่ต้องมาบอกนะ (หัวเราะทั้งคู่) ไม่ขอรู้ดีกว่า กลัวทำใจไม่ได้”

“ผมว่าต้องปรึกษากัน คนอื่นไม่สนิท ไม่รู้ใจเท่าภรรยา คุยกับภรรยาดีกว่า ให้เขารู้จากปากผม ดีกว่ารู้จากปากคนอื่น”

“ตรงนี้เป็นข้อพิสูจน์ได้ด้วยว่า ถ้าเรื่องนี้ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ฉันควรไปต่อหรือพอแค่นี้ เพราะต้องเจอปัญหาอีกเยอะมาก เรื่องเล็กน้อยอาจบานปลายเป็นเรื่องใหญ่ในอนาคต เขาเป็นเพื่อนคู่คิดที่พร้อมหาทางออกด้วยกัน หรือให้คำแนะนำที่ดีได้ไหม ทุกคนเชื่อและคาดหวังกับคนในบ้านมากกว่าคนนอกบ้าน แต่ถ้าเมื่อไรที่เขาไปปรึกษาคนนอกบ้าน แสดงว่าความไว้ใจคนในบ้านไม่มีละ เพราะคิดว่าคนในบ้านช่วยเหลือเขาไม่ได้ แล้วจะให้ความสำคัญแก่คนในบ้านอีกทำไม”

 

รักที่ตรงไปตรงมา

“ผมเป็นคนมีอะไรก็บอกหมด บอกเขาตรงๆ หลายครั้ง ตอนแรกเจอกันก้อยตัวเล็กๆ น่ารักดี เดี๋ยวนี้ก็น่ารักอยู่ (หัวเราะ) เวลาขำจะตลกดี เป็นตัวของตัวเอง ตอนนั้นก้อยเป็นผู้ประกาศแล้วนะ ผมก็เป็นช่างภาพธรรมดา แต่เขาไม่วางท่าอะไรเลย”

“ตอนนั้นพี่ต้อยบอกว่าอยากมีเมียแล้ว (หัวเราะชอบใจ) เป็นไงล่ะ ทุกวันนี้ตั้งแต่ลืมตาตื่นจนเข้านอน ธุระลูกเมียทั้งนั้น มิหนำซ้ำมีแมวอีก ธุระแมวด้วย”

“สมน้ำหน้ามัน (ขำ) ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ผมยังรักก้อยเหมือนเดิมแหละ ยังคอยดูแลกันไปเรื่อยๆ ก้อยไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเท่าไร ต้องสะกิดบอกเสมอว่าทำดีแล้วนะ และเขาจะคอยถามว่ารักก้อยไหม ถามตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน แล้วยังหันไปถามลูกว่ารักแม่ไหม (พี่ก้อยหัวเราะ) เขาเป็นคนชอบความรัก ผมก็เลยให้เขาตลอด รักนะ (หันไปบอกภรรยา)”

“ถ้ากลับไปบอกช่างภาพคนนั้นได้ จะบอกว่าได้เมียดีนะรู้ไหม (ยิ้ม) ตอนนี้ที่ห่วงสุดคือเรื่องสุขภาพ ห่วงทั้งเขาและเรา ไม่อยากให้ใครเป็นอะไรก่อน พอเรามีลูกก็ตั้งเป้าหมายต่อไปเรื่อยๆ อยากเป็นคุณปู่คุณย่าที่แข็งแรงกัน”

ในไม่กี่อึดใจเราได้ยินคำบอกรักจากปากฝ่ายชายหลายครั้ง แต่ยังไม่ได้ยินจากปากฝ่ายหญิงเลย จึงขอฟังพอหอมปากหอมคอ ทำเอาคุณก้อยหัวเราะเขิน

“พี่ต้อยเคยถามว่าหนูรักพี่ไหม (หัวเราะ) คือก้อยเป็นคนถามอย่างเดียวแต่ไม่ค่อยบอกรักไง แต่เขาก็รู้ว่าเราขาดเขาไม่ได้แหละ ตอนนั้นพี่ต้อยต้องผ่าหัวไหล่ แถมออกจากห้องผ่าตัดเลยเวลาที่กำหนดด้วย พอออกมาก็สะลึมสะลือขอจับมือเรา รู้แล้วว่าเขาก็ขาดเราไม่ได้เช่นกัน ปกติพี่ต้อยเป็นคนที่แข็งแรงมากนะ ไม่เคยเห็นพี่ต้อยอ่อนแออย่างนี้ รู้เลยว่าใครบางคนอาจหายไปจากชีวิตเขาได้ แต่ก้อยต้องอยู่ เอ๊ะ หรือฉันคิดไปเอง (หันไปมองสามี)”

“ก็คิดเหมือนกันแหละ แล้วรักมั้ย”

“ก็รัก จะไม่รักได้ไงเล่า เลือกมาแล้วนี่”

คำรักที่ได้ยินชัดๆ จากภรรยาคนเก่งนี้ ทำเอาคุณสามียิ้มไม่หุบเลยทีเดียว ที่เขาว่าหวานจนน้ำตาลจืดนั้นน่าจะมีอยู่จริง เป็นรายงานข่าวที่ไม่ต้องเติมรสอะไรอีก เพราะรสพิเศษนี้จะทำคุณอิ่มใจโดยไม่รู้ตัว

ความรุนแรงไม่ใช่ความรัก

ข่าวมากมายตอนนี้มักรายงานความรุนแรงอันเนื่องด้วยความรักอยู่บ่อยครั้ง ทั้งสองจึงอยากฝากสารถึงคนที่กำลังจะก่อเหตุรุนแรงโดยอ้างว่าทำไปเพราะรัก

ต้อย: อยากให้คิดเยอะๆ คิดถึงเรื่องดีๆ ที่ผ่านมา ตอนดี เราดีกันยังไง อย่ามัวคิดแต่เรื่องร้ายๆ ต้องมีสติเอาไว้

ก้อย: ในหลายข่าวล้วนเกิดจากความหุนหันพลันแล่น คุณต้องมีวิธีรับมืออารมณ์ชั่ววูบนั้น ขาดสติตอนโมโหมีกันทุกคน อยู่ที่ดึงสติกลับมาได้อย่างไร บางคนมีภาพลูกลอยมาในหัว ก็จะฉุกใจได้ละ อะไรคือสิ่งที่เหนี่ยวรั้งสติคุณไว้ ให้ลองทำการบ้านฝึกเอาไว้ เชื่อว่าทุกคนสามารถควบคุมอารมณ์ได้ แล้วแต่ว่าคุณจะปล่อยให้มันเตลิดไปไหม จะต้องฝึกอยู่ทุกวัน

HUG Magazineคอลัมน์: รักไม่รู้จบเรื่อง: มาศวดี ถนอมพงษ์พันธ์ภาพ: อนุชา ศรีกรการ