My Personal trainer    เทรนเธอกลับเจอรัก                                    แนนนี่ ภัทรนันท์ & กัน ปวินท์

‘สวัสดีค่ะ’ เสียงสดใสจากหญิงสาวรูปร่างดี หน้าตาน่ารักนามว่า ‘แนนนี่’ ภัทรนันท์ หนึ่งในสมาชิกวงเกิร์ลลี่เบอร์รี่ อดีตเกิร์ลกรุ๊ปชื่อดังยุค ’90 ขณะเดินเข้ามาทักทายทีมฮักที่โต๊ะเล็กๆ ในร้านกาแฟ เธอควงคู่มากับสามีหนุ่มเทรนเนอร์ผมยาวมาดเซอร์ ‘กัน’ ปวินท์ ก่อนจะนั่งลงเพื่อให้สัมภาษณ์ถึงความรัก และการเริ่มต้นบทบาทใหม่ของการเป็นสามีภรรยา

 

The Beginning of love 

จุดเริ่มต้นของความรักครั้งนี้ สิ่งแรกที่นึกถึงคือ ‘ยิม’ สถานที่ออกกำลังกายสำหรับคนรักสุขภาพ หนุ่มกันรับหน้าที่เป็นโค้ชในยิมแห่งนี้ สาวสวยอย่างแนนนี่ผู้มีไลฟ์สไตล์คล้ายกันก็มีโอกาสมาทำกิจกรรมที่นี่ด้วย

แนนนี่เล่าว่า “ตอนแรกที่ไปคือเป็นยิมของเพื่อนที่เขาเป็นหุ้นส่วน เรารู้จักกันแล้วเขาชวนมาหลายรอบแต่ไม่ได้ไป จนวันหนึ่งมีอีเว้นต์แข่งกีฬาสปาร์ตัน เรซ เราเลยไปกับแก๊งพี่ ‘บีม’ ศรัณยู แล้วเจอกันที่นั่น เราคิดว่าคนนี้น่าจะคุยด้วยยาก ตอนนั้นเขาเป็นโค้ชและทำหน้าที่ management คอยแสตนบายอยู่ข้างหน้า จากนั้นมาเจอตอนเข้าคลาสก็เริ่มเพราะเพื่อนของเขามาร่วมด้วยและได้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ตอนแรกเขาเชียร์เราให้เพื่อน แต่เผอิญเราไม่ชอบต่างชาติ เราชอบคนเอเชีย และเราซื้อคลาสออกกำลังกายไปแล้วหนึ่งปี เพราะเราค่อนข้างจริงจังกับการเล่นสปาร์ตัน เรซ เลยเจอกันเรื่อยๆ ที่ฟิตเนสหรือเวลามาเข้าคลาส ตอนนั้นเราเห็นว่าเขาไม่ได้กินข้าวก็ทำโจ๊กไข่ขาวไปให้” การส่งอาหารให้หนุ่มเทรนเนอร์ครั้งนั้นได้เพาะความรู้สึกดีขึ้นทีละน้อย ช่วงแรกหนุ่มกันมองว่าแนนนี่คือลูกค้าคนหนึ่งและเป็นรุ่นพี่ที่มีความน่ารัก กระทั่งค่อยๆ ทำความรู้จักกันมากขึ้น 

 

 

นักร้องสาวเล่าถึงรูปแบบการใช้ชีวิตกับแฟนหนุ่มที่อายุห่างกันว่า “ตอนโสด เราชอบเล่นกีฬาโฟลว์ไรเดอร์ แนนนี่ไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน ชอบออกนอกบ้านมานั่งคนเดียว ใช้ชีวิตอย่างนี้จนวันหนึ่งรู้สึกเหนื่อย เริ่มอยากอยู่นิ่งๆ แล้วจังหวะตรงกับช่วงที่เจอกันพอดี ส่วนเรื่องไลฟ์สไตล์เรามีความเหมือนกัน เช่น ชอบไปพิพิธภัณฑ์ สวนสนุก สวนสัตว์ ดูแอนิเมชัน เราจึงจูนกันติดและไม่รู้สึกถึงความต่างเรื่องอายุ”

The Beginning of love 

จุดเริ่มต้นของความรักครั้งนี้ สิ่งแรกที่นึกถึงคือ ‘ยิม’ สถานที่ออกกำลังกายสำหรับคนรักสุขภาพ หนุ่มกันรับหน้าที่เป็นโค้ชในยิมแห่งนี้ สาวสวยอย่างแนนนี่ผู้มีไลฟ์สไตล์คล้ายกันก็มีโอกาสมาทำกิจกรรมที่นี่ด้วย

แนนนี่เล่าว่า “ตอนแรกที่ไปคือเป็นยิมของเพื่อนที่เขาเป็นหุ้นส่วน เรารู้จักกันแล้วเขาชวนมาหลายรอบแต่ไม่ได้ไป จนวันหนึ่งมีอีเว้นต์แข่งกีฬาสปาร์ตัน เรซ เราเลยไปกับแก๊งพี่ ‘บีม’ ศรัณยู แล้วเจอกันที่นั่น เราคิดว่าคนนี้น่าจะคุยด้วยยาก ตอนนั้นเขาเป็นโค้ชและทำหน้าที่ management คอยแสตนบายอยู่ข้างหน้า จากนั้นมาเจอตอนเข้าคลาสก็เริ่มเพราะเพื่อนของเขามาร่วมด้วยและได้อยู่ในกลุ่มเดียวกัน ตอนแรกเขาเชียร์เราให้เพื่อน แต่เผอิญเราไม่ชอบต่างชาติ เราชอบคนเอเชีย และเราซื้อคลาสออกกำลังกายไปแล้วหนึ่งปี เพราะเราค่อนข้างจริงจังกับการเล่นสปาร์ตัน เรซ เลยเจอกันเรื่อยๆ ที่ฟิตเนสหรือเวลามาเข้าคลาส ตอนนั้นเราเห็นว่าเขาไม่ได้กินข้าวก็ทำโจ๊กไข่ขาวไปให้” การส่งอาหารให้หนุ่มเทรนเนอร์ครั้งนั้นได้เพาะความรู้สึกดีขึ้นทีละน้อย ช่วงแรกหนุ่มกันมองว่าแนนนี่คือลูกค้าคนหนึ่งและเป็นรุ่นพี่ที่มีความน่ารัก กระทั่งค่อยๆ ทำความรู้จักกันมากขึ้น 

 

 

นักร้องสาวเล่าถึงรูปแบบการใช้ชีวิตกับแฟนหนุ่มที่อายุห่างกันว่า “ตอนโสด เราชอบเล่นกีฬาโฟลว์ไรเดอร์ แนนนี่ไม่ค่อยชอบอยู่บ้าน ชอบออกนอกบ้านมานั่งคนเดียว ใช้ชีวิตอย่างนี้จนวันหนึ่งรู้สึกเหนื่อย เริ่มอยากอยู่นิ่งๆ แล้วจังหวะตรงกับช่วงที่เจอกันพอดี ส่วนเรื่องไลฟ์สไตล์เรามีความเหมือนกัน เช่น ชอบไปพิพิธภัณฑ์ สวนสนุก สวนสัตว์ ดูแอนิเมชัน เราจึงจูนกันติดและไม่รู้สึกถึงความต่างเรื่องอายุ”

Mind and body

คู่รักสายเฮลตี้คู่นี้บอกเป็นเสียงเดียวกันว่า การมีไลฟ์สไตล์ที่ตรงกันส่งผลให้ความสัมพันธ์ดีขึ้นกว่าเดิม นอกจากผู้ชายคนนี้มีความเป็นสุภาพบุรุษมาก การันตีโดยแฟนสาวอย่างแนนนี่ที่กล่าวว่า เขาเป็นโค้ชที่ดี 

ขึ้นชื่อว่าการออกกำลังกายย่อมมีบางจังหวะที่ผิดพลาดจนเกิดการฟกช้ำ สร้างความเจ็บปวดให้เราซึ่งจะนานแค่ไหนขึ้นอยู่กับรอยแผลนั้นเล็กหรือใหญ่ เฉกเช่นความรักที่ระหว่างทางรังแต่จะปวดใจจากปัญหาความขัดแย้งที่สั่งสมไว้

แนนนี่อธิบาย “จริงๆ มีปัญหาเรื่องหนึ่งแต่ความรักยังสามารถไปต่อได้ คือแนนนี่เป็นคนค่อนข้างซีเรียสเรื่องเวลามาก ถ้านัดหมายกันไปไหน เราจะเคลียร์ตารางทุกอย่างเรียบร้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลานัดเขา แต่เขากลับต้องไปเทรนกะทันหัน เราจึงถามว่าทำไมไม่บอกอีกฝ่ายว่าวันนี้มีนัดแล้ว พอบ่อยขึ้นก็เริ่มโมโหเพราะเราเป็นคนแบบนี้ การที่เราล็อกเวลาแล้วเกิดการผิดนัดสำหรับเราหมายถึงการไม่ให้เกียรติ ทุกวันนี้ยังมีปัญหาบ้างแต่เขาก็พยายามปรับตัว แต่ข้อดีของเขาคือเป็นคนไว้ใจได้ในทุกเรื่อง ข้อเสียคือเขาไม่ค่อยแอคทีฟ ต่างจากเราเลยพยายามปรับให้เข้ากันได้” 

 

 

เทรนรักให้มัดใจ

เพราะกันและแนนนี่ผ่านช่วงเวลาเข้าคอร์สเทรนการใช้ชีวิตร่วมกันมาแล้ว ชีวิตคู่หลังจากนี้จึงยังคงเป็นเช่นเคย “เราใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมาสักพักแล้วหลังจากที่เราคบกัน ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ แฮปปี้ แม้แต่งงานแล้วชีวิตของเราก็เหมือนเดิม แค่เปลี่ยนสถานะและเป็นการให้เกียรติครอบครัว เรารู้สึกว่าอยู่ด้วยกันนั้นดี ไม่มีอะไรต้องปรับเพราะปรับหมดแล้วตั้งแต่ช่วงปีแรก”

สำหรับการดูแลกันและกัน “เราดูแลเรื่องอาหารว่าเขากินอะไรหรือยัง รวมถึงเรื่องปกติทั่วไป ไปฟิตเนสก็ให้คุณกันดูแล หรือกลับมาก็เตรียมวิตามินให้เขา” นักร้องสาวกล่าวสั้นๆ ส่วนหนุ่มเทรนเนอร์เล่าอย่างเขินๆ ว่า “ผมชอบที่ได้เห็นเขามีความสุข เวลาที่ผมเซอร์ไพรส์เขาก็ไม่ได้จัดอะไรยิ่งใหญ่มาก เช่นซื้อดอกไม้ให้ ช่วยให้ความสัมพันธ์ของเรามีสีสัน การที่เราคบกันนานแล้วไม่ใช่ว่าไม่ต้องพยายาม เราก็พยายามต่อไปให้ชีวิตคู่มีสีสันอยู่ตลอดครับ”

 

 

อีกเรื่องหนึ่งที่ทั้งคู่วางแผนไว้คือ ‘การสร้างครอบครัว’ เพราะเป็นเรื่องใหม่ที่ค่อนข้างท้าทายในการเริ่มต้นบทบาท ‘พ่อแม่’ ซึ่งต้องปรึกษาหารือกันเพื่อจัดสรรหน้าที่ของแต่ละคนว่าทำอะไรบ้างหากมีลูก รวมถึงการวางแผนชีวิตของลูกในอนาคต ซึ่งเราคิดว่าทั้งคู่สามารถดูแลลูกน้อยได้อย่างมีคุณภาพและมอบความรักให้อย่างเต็มเปี่ยมแน่นอน

อย่าหลงลืมการชื่นชม

ระหว่างการสัมภาษณ์เราแอบเห็นหนุ่มกันและสาวแนนนี่ส่งสายตาหวานซึ้งให้กันอยู่ตลอด จนอดถามไม่ได้ว่าทั้งสองคนประทับใจซึ่งกันและกันในด้านไหนบ้าง ฝ่ายชายอาสาตอบก่อน “เขาดูแลผมเป็นอย่างดี เป็นคนน่ารัก นิสัยของเราคล้ายกัน ยิ่งอยู่ด้วยกันก็ยิ่งรักกันมากขึ้น ไม่เจอกันก็คิดถึง ผมมีความสุขที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันกับเขา ไม่ใช่เพราะเขาเป็นแบบนี้ฉันถึงรักเธอ แต่คือภาพรวมที่เขาเป็นคนดีและคอยดูแลเอาใจใส่เราและสวยมาก (เน้นเสียง)”

ฝ่ายหญิงหันไปยิ้มให้ฝ่ายชายแล้วกล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เราเคยเห็นคนรอบข้างหรือคนที่เขารู้จักมักไม่ภูมิใจแฟนตัวเอง คำถามคือแล้วจะคบไปทำไม นั่นเป็นสิ่งที่อยู่ในใจของเรามาตลอด เราเองก็เคยเจอคนที่บอกว่า เธอไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สำหรับกันเขารู้สึกว่าเราดีพอทุกอย่าง ไม่ต้องเปลี่ยน เราชื่นชมกันเป็นประจำตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ เราต่างก็มั่นใจเพราะรู้สึกว่าคนคนนี้คือคนที่เราเลือกจะอยู่ด้วย นั่นหมายความว่าเราให้เกียรติตัวเองกับสิ่งที่เลือก แล้วถ้าไม่รู้สึกดีต่อกันจะอยู่ด้วยกันทำไม เป็นธรรมชาติที่เราชื่นชมกัน ช่วยให้ความสัมพันธ์ของเราดีอยู่เสมอ

 

พื้นที่ปลอดภัย

 

 

หากถามว่าคุณสมบัติของคนรักที่ดีคืออะไร แนนนี่ตอบแบบไม่ลังเล “เราชอบความเป็นเขาและคิดว่าเขามีคุณสมบัติที่ใช่ เพราะเขาให้เกียรติเรามาก ชื่นชมตัวตนของเรา ส่วนคำว่าให้เกียรติคือ เราสามารถไว้ใจเขาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าคนคนนี้ไม่มีทางทำเรื่องแย่ๆ เป็นคนที่เราอยู่ด้วยได้ตลอดชีวิต เราควรเป็นพื้นที่สบายใจให้เขาอยากกลับมาหา ไม่ใช่เป็นพื้นที่ที่ทำให้เขารู้สึกว่า อย่ามายุ่งกับฉัน” เธอหัวเราะหลังจากพูดจบ

ปิดท้ายด้วยคำตอบของหนุ่มกันที่เล่าไปยิ้มไป “ตามที่แนนนี่บอกคือรักของเรามีแต่ความเชื่อใจ อย่างผมเล่นโทรศัพท์เขาก็ไม่เคยขอเช็คข้อความ หรือต้องล็อคโทรศัพท์ คือทุกอย่างโปร่งใส ส่วนเรื่องอื่นๆ ทั่วไปในการใช้ชีวิตเราก็ตามใจเขา เพราะเวลาเขาโกรธนั้นน่ากลัวมาก เราต้องทำให้ happy wife, happy life ครับ