รักไร้เงื่อนไข มีจริงหรือไม่?

รักไร้เงื่อนไข มีจริงหรือไม่?

เรื่อง : Wonder Wanners

รักไร้เงื่อนไข (unconditional love) เป็นหนึ่งในหัวข้อที่มีการกล่าวถึงมากในหมู่นักจิตวิทยาและในหมู่ผู้ที่เชื่อเรื่องจิตวิญญาณ หลายคนตั้งคำถามว่ารักโดยไม่มีเงื่อนไขเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เมื่อคอลัมน์ก่อนๆ Wonder Wanners ได้พูดถึงรักไร้เงื่อนไขฉบับหนังสืออารียา เมตายา แต่วันนี้จะมากล่าวถึงรักไร้เงื่อนไขในอีกมิติหนึ่งในแบบฉบับรักโรแมนติกที่ใกล้ตัวและจับต้องได้มากขึ้นค่ะ


     ความรักที่ไร้เงื่อนไข เป็นความรักประเภทหนึ่งที่ไม่ขึ้นอยู่กับเงื่อนไข พฤติกรรม หรือสถานการณ์เฉพาะใดๆ เป็นความรักที่ให้ไปด้วยใจจริง โดยไม่คำนึงว่าจะได้อะไรเป็นสิ่งตอบแทน ยอมรับในสิ่งที่คนนั้นเป็นโดยไม่คิดจะเปลี่ยนแปลง และให้อภัยเมื่อเขาทำผิด บางครั้งก็เรียกว่าเป็นความรักแบบเมตตา (compassionate love)

     ความรักประเภทนี้มักถูกมองว่าเป็นความรักที่บริสุทธิ์ที่สุดและเสียสละมากที่สุด เนื่องจากความรักไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวหรือแรงจูงใจที่เห็นแก่ตัว แม้ความรักประเภทนี้เป็นเรื่องไปได้ยากแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นมันเป็นไปไม่ได้ ส่วนหนึ่งของปัญหาเกี่ยวกับความรักที่ไร้เงื่อนไขคือการไม่เข้าใจความหมายของมัน

     ความรักแบบไร้เงื่อนไขสามารถพบเห็นได้ในความสัมพันธ์ต่างๆ มากมาย รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก คู่รักโรแมนติก และเพื่อนสนิท เมื่อเรารักใครสักคนอย่างไม่มีเงื่อนไข เรามักจะให้อภัยพวกเขาเมื่อพวกเขาทำผิดพลาดและให้กำลังใจพวกเขาผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก สิ่งนี้สร้างสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างคนสองคน ซึ่งสามารถช่วยฝ่าฟันมรสุมชีวิตที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อเขาได้ประสบการณ์ได้รับความรักอย่างไร้เงื่อนไข เขาจะรู้สึกว่าเป็นที่ยอมรับและมีคุณค่า นอกจากนี้รักไร้เงื่อนไขยังสามารถแสดงต่อตนเองผ่านการยอมรับตนเองและความเห็นอกเห็นใจตนเองได้เช่นกัน

ความรักไร้เงื่อนไขในบริบทความสัมพันธ์โรแมนติก

     การศึกษาพบว่าคู่รักที่มีประสบการณ์ความรักแบบไม่มีเงื่อนไขในความสัมพันธ์ของพวกเขามีแนวโน้มที่จะมีความพึงพอใจและความมั่นคงมากกว่า ความรักประเภทนี้ให้ความรู้สึกปลอดภัยและสนับสนุน ซึ่งช่วยสร้างความไว้วางใจและความใกล้ชิดระหว่างคู่รัก เมื่อทั้งคู่รู้สึกรักอย่างไม่มีเงื่อนไข พวกเขามักจะรู้สึกมั่นใจในความสัมพันธ์และรับมือกับความท้าทายด้วยทัศนคติเชิงบวก

     ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขยังมีบทบาทสำคัญในการเติบโตส่วนบุคคลและการค้นพบตนเอง เมื่อเรารู้สึกได้รับความรักโดยไม่มีเงื่อนไข เรามักจะรู้สึกสบายใจที่จะอ่อนแอและเปิดเผยกับคู่ของเรา ซึ่งจะนำไปสู่การตระหนักรู้ในตนเองและการแสดงออกมากขึ้น ความรักประเภทนี้ยังส่งเสริมการยอมรับตนเองและการรักตนเอง ซึ่งอาจเป็นสิ่งสำคัญในการเอาชนะการพูดถึงตนเองในเชิงลบและความนับถือตนเองต่ำ

     ความรักไร้เงื่อนไขมีบทบาทสำคัญในความสัมพันธ์ แต่มันไม่ง่ายเลยที่จะปฏิบัติตาม และไม่ได้หมายความว่าเป็นรักที่ไร้กฎเกณฑ์ รักที่ดีต้องมีขอบเขต ทั้งคู่ยังคงกำหนดขอบเขตและรับผิดชอบต่อการกระทำของตน ไม่ทำตัวนิสัยไม่ดีหรือมีพฤติกรรมที่บั่นทอนความสัมพันธ์ เช่น ดื่มเหล้ามากเกินไป ติดการพนัน เฉยชา นอกใจ แล้วนำเรื่องรักไร้เงื่อนไขยกมาเป็นข้ออ้างที่จะมีความสัมพันธ์กับคนอื่นๆหลายๆคน ความสัมพันธ์ที่ดีต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพและให้เกียรติซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ดำเนินความสัมพันธ์ในทัศนคติที่ว่า “คุณต้องทนกับฉันได้ทุกเรื่อง ไม่ว่าฉันจะทำอะไรก็ตาม”

วิธีแสดงความรักที่ไม่มีเงื่อนไข

1. ฝึกฝนการสื่อสารอย่างเปิดเผย
กล้าพูดในสิ่งที่คุณรู้สึกอย่างตรงไปตรงมา จงซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง และตั้งใจฟังเวลาคู่ของคุณเปิดใจคุย

2. สื่อสารแบบไม่ป้องกันตัว
แสดงความรู้สึกของคุณในขณะที่ฟังและคำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่าย อย่าคิดว่าใครเป็นผู้ชนะหรือเป็นคนผิด ในความสัมพันธ์ไม่มีผู้ชนะหรือผู้แพ้ และไม่มีอะไรถูกผิด

3. อย่าใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
อย่าให้เรื่องเล็กๆ กลายเป็นประเด็นที่ทำให้ทะเลาะกัน หัดมองข้ามบ้าง เพราะไม่มีใครสมบูรณ์แบบ ทุกคนมีทั้งด้านดีและด้านไม่ดีทั้งนั้น

4. แบ่งปันพลังในความสัมพันธ์
ในความสัมพันธ์ไม่มีใครเหนือกว่าใคร ทุกคนล้วนเท่าเทียมกัน อย่าทำตัวเหนือกว่าคนรักเพื่อข่มเขา แต่ให้เกียรติและพึงระลึกว่าเราสองคนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครควรได้ทุกสิ่งที่ต้องการ มิฉะนั้นจะทำให้อีกฝ่ายไม่พอใจ

5. ใส่ใจกับวิธีแสดงความรักของคุณ
ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเป็นความรักที่ให้ด้วยใจจริง โดยไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกว่าเป็นหนี้อะไรที่ต้องตอบแทน

     ความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเป็นพลังที่ทรงพลังและเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ที่โรแมนติก การให้ความรู้สึกปลอดภัย การสนับสนุน และการยอมรับ จะช่วยส่งเสริมความพึงพอใจ ความมั่นคง และการเติบโตส่วนบุคคลของทั้งคู่ได้มากขึ้น ไม่ว่าคุณกำลังมองหาความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับคู่ของคุณหรือต้องการสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความรักประเภทนี้มีพลังที่จะนำความสุขและความสมหวังมาสู่ชีวิตของคุณ

ภาพโดย StockSnap จาก Pixabay



P-PAC กับการบริหารทรัพยากรบุคคล

P-PAC กับการบริหารทรัพยากรบุคคล

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท ซีพี ออลล์ฯ ของเรา ได้ทดลองโครงการ“ศูนย์อพยพ” ซึ่งเป็นโครงการสำหรับช่วยค้นหาศักยภาพในตัวของพนักงาน เนื่องจากพนักงานบางคนอาจทำงานในหน้าที่หรือสายงานที่ตนไม่ถนัด ทำให้ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงขอให้ผู้บังคับบัญชาแต่ละหน่วยงาน เป็นคนส่งรายชื่อพนักงานในหน่วยที่เห็นควรส่งเข้า“ศูนย์อพยพ” นี้ โดยมีข้อแม้ว่าผู้บังคับบัญชาต้องไปคุยกับตัวพนักงานเองก่อนที่จะส่งรายชื่อครั้งแรกที่ประกาศโครงการ “ศูนย์อพยพ” นี้ออกไป ก็มีเสียงสะท้อนกลับมามากมาย ทั้งเสียงสนับสนุนและเสียงคัดค้าน ฝ่ายหนึ่งเห็นว่าเหมาะสม ควรทำตั้งนานแล้ว อีกฝ่ายเห็นต่างว่าเป็นการบั่นทอนกำลังใจของพนักงาน แต่เมื่อพิจารณาประโยชน์ของส่วนรวม ทั้งต่อองค์กรและตัวพนักงานเองแล้ว มีผลดีมากกว่าผลเสีย ฝ่ายพนักงานได้
รู้จักตนเองมากขึ้น ฝ่ายองค์กรก็ได้พนักงานอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมเปิดโอกาสให้พนักงานแสดงศักยภาพได้เต็มที่แต่เดิมในหน่วยงานต่างๆ มักจะมีบุคคลประเภท “มนุษย์เจ้าปัญหา”ที่ทำลายบรรยากาศการทำงานของทีมสร้างความอึดอัดใจให้แก่ผู้บังคับบัญชาที่ไม่รู้ว่าจะพัฒนาหรือจัดการ “มนุษย์เจ้าปัญหา” เหล่านี้ได้อย่างไรหัวหน้าบางคนพยายามเก็บซุกซ่อนไว้ใต้พรม บางคนก็โยนเผือกร้อนไปให้หน่วยงานอื่น องค์กรก็ต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายสูญเสียทรัพยากรโดยเปล่าประโยชน์ แต่เมื่อมี P-PAC เป็นเครื่องมือวัดศักยภาพอ้างอิงได้ด้วยหลักวิชาการ ทำให้สามารถสะสางปัญหาเหล่านี้ได้ง่ายขึ้นในกรณีที่ผู้บังคับบัญชามีความเห็นว่าพนักงานคนใดทำงานช้ามากๆ ผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจตามเป้าหมายของหน่วยงาน หรือบุคคลใดที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับคนอื่นได้เลย ทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในหน่วยงาน หรือกระทบต่อกระบวนการทำงานในลำดับถัดไป ก็จะส่ง
พนักงานผู้นั้นเข้าสู่ศูนย์อพยพ จากนั้น P-PAC จะช่วยวิเคราะห์ลายผิวของพนักงานคนดังกล่าวเพื่อจะทราบว่าปัญหาในการทำงานเกิดจากสาเหตุใด และหาวิธีพัฒนาพนักงานผู้นั้นตามความเหมาะสมต่อไปตัวอย่างแรกของ “ศูนย์อพยพ” ก็คือมีพนักงานผู้หนึ่งไม่ถนัดการทำงานในบรรยากาศที่เร่งรีบ ยิ่งเวลาถูกหัวหน้าตามงานบ่อยยิ่งประหม่าตื่นตระหนก ทำให้เกิดความผิดพลาดมากขึ้น ปัญหาของเขาไม่ได้เกิดจากทัศนคติหรือทักษะความสามารถ หากมีการปรับลักษณะงานและสภาพแวดล้อม น่าจะช่วยให้พนักงานมีแรงจูงใจในการทำงานได้ดียิ่งขึ้นและเป็นความโชคดีของพนักงานในกลุ่มซีพี ออลล์ฯ เนื่องจากมีหน่วยงานหลากหลายหน้าที่ สามารถส่งพนักงานไปทดลองงานในตำแหน่งอื่นได้จากนั้นก็คอยติดตามผลโดยกำหนดระยะเวลาทดลองงานไว้ระยะหนึ่ง
ให้พนักงานได้ปรับตัวในหน่วยงานใหม่ และจะให้หัวหน้าใหม่เป็นคนประเมินพนักงานอีกครั้ง เพื่อวัดผลว่าตัวพนักงานเองหลังจากที่ได้รับคำปรึกษาแล้ว สามารถปรับปรุงตัวเองได้มากน้อยเพียงใด
บางครั้งปัญหาก็ไม่ได้เกิดจากทักษะเพียงอย่างเดียว กรณีศึกษาที่สองของ “ศูนย์อพยพ” เราพบว่าแนวโน้มปัญญาหาของคู่กรณี น่าจะเกิดจากวิธีการทำงานที่แตกต่างกันระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องในขณะที่หัวหน้ามีสไตล์การทำงานเน้นกระบวนการที่เป็นมาตรฐาน ทุกอย่างต้องมีข้อมูลหลักฐานอ้างอิง และติดตามลงรายละเอียดทุกขั้นตอน แต่ลูกน้องกลับทำงานแบบฟรีสไตล์เพื่อบรรลุผลลัพธ์ ชอบทำงานด้วยความอิสระซึ่งอาจจะเหมาะในบางฟังก์ชันแต่ไม่ได้เหมาะสำหรับงานทุกประเภท “ศูนย์อพยพ” จึงได้จัดหาตำแหน่งหน้าที่ตามความเหมาะสมให้แก่พนักงานผู้นี้
และคอยติดตามเฝ้าดูผลงานอย่างใกล้ชิดพนักงานกลุ่มแรกที่ถูกส่งเข้าไปอยู่ใน“ศูนย์อพยพ”มีจำนวน 8 คนในขณะที่เขียนบทความนี้มีอยู่ 3 คนได้รับโอกาสทดลองงานกับผู้บังคับบัญชาคนใหม่ในหน่วยงานใหม่ที่มีลักษณะงานสอดคล้องกับพื้นฐานศักยภาพและอุปนิสัยของพวกเขามากขึ้น
พวกเขาดูมีความสุขกว่าเดิมที่ได้ค้นพบสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเองต่างจากช่วงแรกที่ห่อเหี่ยวหดหู่เมื่อรู้ว่าถูกคัดเลือกให้ไปอยู่ “ศูนย์อพยพ”เพราะนึกว่าคงจะหมดอนาคตเสียแล้ว แต่เหตุการณ์กลับตรงกันข้ามพวกเขาได้รู้จักหนทางใหม่ที่สดใสกว่าเก่า หลังจากที่เดินหลงทางมาเกือบครึ่งค่อนชีวิต พวกเขาขอบคุณ“ศูนย์อพยพ” ขอบคุณบริษัทที่ให้โอกาสพวกเขาอยู่ตลอดเวลา แม้ในช่วงที่คนบางคนอาจจะเห็นว่า พวกเขาไม่มีคุณค่าใดๆ สำหรับองค์กรอีกต่อไปแล้ว
ส่วนลดพิเศษ 25 % !! เพียงลงทะเบียนผ่านลิงก์ด้านล่างได้เลย
https://forms.gle/YawsdP5GGo58X86Q9
คัดลอกมาจากหนังสือ CEO กับความรัก บทที่ 14


กว่าจะมาเป็น P-PAC

กว่าจะมาเป็น P-PAC

หลายคนคงยังสงสัยและตั้งคำถามในใจว่าการวิเคราะห์ด้วยลายนิ้วมือ จะเหมือนกับหมอดูลายมือหรือเปล่า ลายนิ้วมือหรือลายผิวที่นูนขึ้นมาบนฝ่ามือและฝ่าเท้าของคนเรานั้นมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า“Dermatoglyphics” เป็นศาสตร์ที่ผ่านการค้นคว้าทางการแพทย์มากว่าร้อยปีแล้ว แม้แต่หน่วยงาน Federal Bureau of Investigation (FBI)ในสหรัฐอเมริกาก็ยังมีการศึกษาลายนิ้วกับแนวโน้มพฤติกรรมในอาชญากร จึงต่างจากวิชาโหราศาสตร์อย่างสิ้นเชิงก่อนที่ ซีพี ออลล์ จะตัดสินใจตั้ง “P-PAC” ขึ้นมานั้น เราได้ศึกษาข้อมูลกันอย่างจริงจัง ซึ่งในปัจจุบัน“Dermatoglyphics” เป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีรายงานผลการศึกษาด้านการแพทย์หลายฉบับที่ยืนยันความเชื่อมโยงของลายผิวที่ฝ่ามือ กับโรคทางสมองและทางโรคพันธุกรรมได้ นอกจากนี้การใช้ลายนิ้วมือยังสามารถระบุตัวบุคคลได้ชัดเจนกว่า DNA เสียอีก เพราะคู่แฝดแท้หรือฝาแฝดที่เกิดจากไข่ใบเดียวกันจะมี DNA เหมือนกัน แต่โอกาสที่คนสองคนจะมีลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้วเหมือนกันนั้น มีความเป็นไปได้เพียง 1 ส่วน64,000,000,000 เท่านั้นอาจารย์เหลียนเล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนที่เริ่มศึกษาลายนิ้วมือใหม่ๆเทคโนโลยียังไม่ทันสมัย จึงใช้วิธีเดียวกับสถานีตำรวจพิมพ์นิ้วทำประวัติผู้ต้องหา ใช้หมึกดำพิมพ์ทีละนิ้วจนมือลูกค้าเลอะเทอะไปหมด เท่านั้นยังไม่พอ เมื่อได้ตัวอย่างมาแล้วเวลาจะแยกแยะรูปร่างของแต่ละนิ้วก็ต้องใช้แว่นขยายมาส่องดูกัน เจอลูกค้ามือใหญ่ก็ดีหน่อย เจอลูกค้าเด็กๆหรือมือเล็กๆ ก็ส่องกันจนหน้ามืดทีเดียว แต่เดี๋ยวนี้สบาย ใช้เครื่องสแกนส่งเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ จะขยายเท่าไหร่ก็ได้ ดูง่ายดายไปหมดแต่แม้ว่าเทคโนโลยีจะสร้างความสะดวกเพียงใด หัวใจของการวิเคราะห์ก็ต้องอาศัยความชำนาญของนักวิเคราะห์อยู่ดีกระบวนการตั้งศูนย์วิเคราะห์ศักยภาพนั้น Software และHardware เตรียมได้ไม่ยาก ที่ยากที่สุดเห็นจะเป็นการเตรียม Humanwareเพื่อให้ได้นักวิเคราะห์ที่มีทั้งทักษะความรู้ มีบุคลิกที่เหมาะสมและยึดมั่นในจริยธรรม ทีมงานได้ประกาศสรรหาจากบุคลากรภายใน ตอนแรกมีคนสนใจมากมายขอเข้าอบรมกว่าร้อยคน บางคนยังคิดว่าเป็นโหราศาสตร์สมัครเพราะอยากเป็นหมอดูก็มี แต่พอรู้ว่าต้องย้ายหน่วยงานทิ้งหน้าที่เดิม บางคนก็เริ่มลังเลใจ ในสุดท้ายมีผู้กล้าหาญยื่นใบสมัครมาสามสิบกว่าคนจากอาสาสมัครทั้งสามสิบคน ทีมงานได้คัดเลือกเฟ้นหาผู้ที่มีคุณสมบัติและบุคลิกเหมาะสมเพื่อเข้าสู่ด่านที่สอง ผู้ผ่านการคัดเลือกไม่ว่าเคยทำงานในหน้าที่ใดตำแหน่งไหนก็ตาม ต้องกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง เพื่อศึกษาวิชาหลักสูตรลายผิววิทยากันอย่างละเอียด เรียกว่ากว่าจะสอบผ่านด่านที่สองได้ก็เล่นเอาเหนื่อยทั้งผู้เรียนและผู้สอนสุดท้ายมาถึงด่านที่สามที่เป็นการฝึกในภาคปฏิบัติ ฝึกการเชื่อมโยงข้อมูลจากรายงานผลการวิเคราะห์ในแต่ละกรณี ที่สำคัญต้องวิเคราะห์และสอบ “Oral Exam” กับอาจารย์เหลียนแบบตัวต่อตัว เล่นเอานักเรียนเหงื่อตกไปตามๆ กัน ใครเตรียมตัวมาไม่ดีอย่าหวังอาศัยชั้นเชิงผ่านด่านอาจารย์เหลียนได้ง่าย ๆ และเมื่อผ่านด่านทดสอบต่างๆ นักเรียนทั้งหลายจึงได้เข้าสู่ขั้นแรกของนักวิเคราะห์ศักยภาพ คือเป็นนักวิเคราะห์ฝึกหัดที่ยังต้องฝึกประสบการณ์วิเคราะห์ลูกค้าจริงภายใต้การดูแลของอาจารย์ไม่ต่ำกว่า 20 รายเมื่อฝึกวิชาจนเป็นที่พอใจของอาจารย์เหลียนแล้ว ถึงจะปล่อยให้บินเดี่ยวพบลูกค้าได้ ใช้เวลาเตรียมการทั้งหมดเกือบปี จึงได้นักวิเคราะห์ประจำศูนย์ “P-PAC” รุ่นบุกเบิกจำนวน 9 คน และเริ่มเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการแก่ทั้งภายในและภายนอกองค์กรเมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา(พ.ศ. 2552) ปัจจุบันมีลูกค้าสะสมกว่าพันราย และยังมีคิวจองยาวจนต้องเปิดให้บริการในวันเสาร์เว้นเสาร์เพิ่มอีกเดือนละสองวันและคาดว่าในอนาคตเมื่อได้นักวิเคราะห์รุ่นสองมาสนับสนุน คงต้องพิจารณาเปิดรอบเสาร์-อาทิตย์ตามคำเรียกร้องของลูกค้ากันแล้วส่วนลดพิเศษ 25 % !! เพียงลงทะเบียนผ่านลิงก์ด้านล่างได้เลยhttps://forms.gle/YawsdP5GGo58X86Q9คัดลอกมาจากหนังสือ CEO กับความรัก บทที่ 14


P-PAC เทคโนโลยีที่น่าทึ่ง

P-PAC เทคโนโลยีที่น่าทึ่ง

ปลายปี พ.ศ.2550 ช่วงระหว่างการแข่งขันหมากล้อมอุดมศึกษา และเอเชี่ยนโกะทัวร์นาเม้นท์ที่จังหวัดขอนแก่น อาจารย์หมากล้อมชาวไต้หวันได้แนะนำให้ผมรู้จักกับสุภาพสตรีสองท่าน โดยสุภาพสตรีทั้งสองมาขออนุญาตเก็บตัวอย่างลายนิ้วมือของนักหมากล้อมเยาวชนทั้งหมดที่เข้าร่วมการแข่งขัน นัยว่าต้องการเก็บตัวอย่างศึกษาหาลักษณะร่วมของลายนิ้วมือนักหมากล้อม ด้วยความเคลือบแคลงสงสัย ผมจึงได้ขอให้ทดลองกับตัวผมเองก่อนขั้นตอนการเก็บตัวอย่างก็ไม่ยาก เพียงแค่สแกนลายนิ้วมือทั้งสิบนิ้ว และพิมพ์ลายฝ่ามือ ส่งข้อมูลเข้าคอมพิวเตอร์ตีพิมพ์ออกมาเป็นรายงานเหมือนโปรแกรมทั่ว ๆ ไป แต่เมื่อสุภาพสตรีทั้งสองนำรายงานมาสรุปให้ฟังก็เกิดความพิศวง เพราะสามารถวิเคราะห์ความเป็นตัวตนของผม ทั้งอุปนิสัย แรงจูงใจ และวิธีการทำงานของผมได้ถึง 80-90% ทั้งที่เพิ่งเจอกันเป็นครั้งแรกด้วยความสนใจผสมกับยังต้องการข้อพิสูจน์ ผมจึงได้ให้ทดลองโดยสุ่มตัวอย่างจากผู้บริหารในบริษัท ผลปรากฏว่าแต่ละคนต่างรู้สึกทึ่ง ยอมรับในความแม่นยำ และคิดต่อยอดกันไปว่า จะนำมาเป็นเครื่องมือในงานบุคคลได้ แต่ก็ยังสงสัยกันอยู่ว่าจะเป็นพวกโปรแกรมหมอดูหรือเปล่า เพื่อให้ได้คำตอบที่ชัดเจนจึงได้มอบหมายให้ทีมงานไปท้าพิสูจน์กันถึงถิ่นที่ไต้หวัน ศึกษาลงรายละเอียดกันอย่างจริงจัง และการเดินทาง

ครั้งนั้น ทำให้ได้พบกับอาจารย์เหลียนอี้ว์ซิง (连裕兴) ผู้ก่อตั้งบริษัทฯ ซึ่งมีประสบการณ์ในด้านการค้นคว้าวิจัยเรื่องลายผิววิทยากับศักยภาพของมนุษย์มาสิบกว่าปี สะสมฐานข้อมูลจากการวิจัยกรณีศึกษามากกว่าสามแสนราย อาจารย์เหลียนเล่าให้ฟังว่า ตนเองนั้นจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า เดิมเป็นอาจารย์สอนคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเมืองเกาสงในไต้หวัน ขณะเดียวกันก็รับผิดชอบด้านงานบุคคลขององค์กร เมื่อได้สัมผัสงานบุคคลมากขึ้นอาจารย์เหลียนก็พบว่าในการสัมภาษณ์แต่ละครั้ง หรือแม้แต่การทดสอบด้วย Questionnaire ก็ตาม ผู้ถูกสัมภาษณ์มักจะตอบคำถามโดยมีวัตถุประสงค์แอบแฝงเพราะไม่กล้าตอบตามความต้องการที่แท้จริง หรือตอบคำถามเอาใจผู้สัมภาษณ์เพื่อให้ได้งาน ผลลัพธ์ก็คือได้คนที่ไม่ตรงตามความต้องการขององค์กรอย่างแท้จริง บางคนเข้ามาแล้วไม่สามารถปรับตัวเข้ากับองค์กรได้ ทำงานอยู่ไม่นานก็ลาออกไป หรือบางคนแย่ยิ่งกว่านั้นคือสร้างความเสียหายให้แก่องค์กร ด้วยเหตุนี้ อาจารย์เหลียนจึงได้ศึกษาคันคว้าเพื่อหาเครื่องมือที่จะแยกแยะตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคน โดยขจัดปัจจัยทั้งภายใน และภายนอก เช่น อคติ รูปร่างหน้าตา (ของทั้งผู้สัมภาษณ์และผู้ถูกสัมภาษณ์) ออกไปให้มากที่สุด และได้พบว่าในโลกนี้สิ่งที่สามารถแยกแยะตัวบุคคลแต่ละคนได้ชัดเจนที่สุดมีอยู่สองอย่าง นั่นคือ DNA (Deoxyribonucleic Acid) และลายนิ้วมือ (Finger Print) ของแต่ละคน ซึ่งในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวาง แต่เมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้นยังเป็นเรื่องใหม่พอสมควร อาจารย์เหลียนได้เลือกศึกษาเรื่องลายผิววิทยา (Dermatoglyphics) ซึ่งครอบคลุมลายผิวทั้งบนนิ้วมือ ฝ่ามือ รวมถึงฝ่าเท้าของมนุษย์ เนื่องจากมีรายงานผลการศึกษาด้านการแพทย์หลายฉบับที่ยืนยันความเชื่อมโยงของลายผิวที่ฝ่ามือกับโรคทางสมอง และทางพันธุกรรม

ในสิบกว่าปีที่ผ่านมา อาจารย์เหลียนศึกษาวิจัยด้านลายผิววิทยาเปรียบเทียบกับการทำงานของระบบประสาท จิตวิทยา และพฤติกรรมศาสตร์ รวมถึงได้ศึกษาลึกลงถึงความเชื่อมโยงของลายผิววิทยากับความบกพร่องของการทำงานระบบประสาท เช่น ในกลุ่มโรคออทิสซึ่ม (Autism) และกลุ่มที่มีความบกพร่องในทักษะการเรียนรู้เฉพาะด้าน (Learning Disabilities) นอกจากขยายผลในด้านงานบุคคลแล้ว อาจารย์ยังได้ขยายผลในด้านแนะแนวการศึกษาสำหรับเยาวชนอีกด้วยปัจจุบัน อาจารย์เหลียนเดินสายบรรยายถ่ายทอดความรู้ให้แก่บุคคลทั่วไปที่สนใจ

และเมื่อปี ค.ศ. 2002 อาจารย์เหลียนได้แต่งหนังสือชื่อ “Extra-ordinary Advice” แนะนำความรู้เบื้องต้นด้านลายผิววิทยา หนังสือเล่มนี้ติดอันตับหนึ่งของหนังสือขายดีในไต้หวัน และเป็นหนังสือแนะนำให้อ่านโดยหอสมุดแห่งชาติไต้หวัน ขณะที่อาจารย์เหลียนเองก็ยังเป็นที่ปรึกษาด้านงานบุคคลให้แก่องค์กรหลายแห่ง และไม่ได้จำกัดแต่เพียงในไต้หวันเท่านั้น ยังเป็นที่ยอมรับทั้งในสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง และประเทศจีน จึงเป็นการพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของการวิเคราะห์ด้วยลายผิววิทยาหรือที่ฝรั่งเรียกว่า “Dermatoglyphics”

ในวันที่เราบุกไปเยี่ยมสำนักงานของอาจารย์เหลียนถึงเกาะไต้หวันอาจารย์เหลียนได้สาธิตการวิเคราะห์รายงานให้แก่คณะที่ร่วมเดินทางอย่างลงลึกถึงความลับของแต่ละคน ด้วยความเป็นเจ้าสำนักผู้ก่อตั้ง จึงมีวิชาลึกล้ำกว่าสุภาพสตรีสองท่านที่มาเมืองไทยก่อนหน้า อย่างทีมงานคนหนึ่งที่ทุกวันนี้ยังเอ้อระเหยลอยชายสนุกสนานกับความเป็นชายโสดอาจารย์เหลียนวิเคราะห์บุคลิกไว้ว่าเป็นคนประเภทประนีประนอม จะหาช่องว่างหลีกเลี่ยงการตัดสินใจเลือกข้าง ถ้าถามว่าจะเลือกน้ำชา หรือกาแฟ เจ้าตัวก็จะเอาน้ำอัดลมซะนี่ การรับมือกับบุคคลในลักษณะเช่นนี้ทำได้ไม่ยาก แค่จำกัดเงื่อนไข และอย่าให้เขาคิดนาน ยิ่งปล่อยให้มีทางเลือกมากก็จะคิดเปรียบเทียบหาทางออกไปเรื่อย เป็นพวกคิดตรึกตรองมากเกินเหตุ แต่ข้อดีของคนที่คิดมากเช่นนี้ก็มีอยู่ เพราะสามารถให้ดูแลงานที่ต้องการความรอบคอบ เช่น วางแผนกลยุทธ์ ศึกษาความเสี่ยงทางธุรกิจ เป็นต้น หนึ่งวันเต็มที่ทีมงานลงรายละเอียด และพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของลายผิววิทยาผ่านการนำเสนอของอาจารย์เหลียน ทำให้เกิดมุมมองมิติใหม่ต่อศาสตร์ในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ ประโยชน์เชื่อมโยงกับการฝึกอบรมพนักงาน การบริหาร และการสื่อสารในองค์กร จึงเป็นที่มาของ “ศูนย์วิเคราะห์ศักยภาพปัญญธารา” หรือ “P-PAC” (Panyatara Potential Analysis Centre) ในวันนี้

ส่วนลดพิเศษ 25 % !! เพียงลงทะเบียนผ่านลิงก์ด้านล่างได้เลย

 https://forms.gle/YawsdP5GGo58X86Q9

คัดลอกมาจากหนังสือ CEO กับความรัก บทที่ 14


Hug magazine 15 กันยายน 2563

Issue 140 ไม่ผูกมัด แค่ผูกพัน

‘บูม’ สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง
15 Sep-14 Nov 2020

คุณรู้สึกอย่างไร ยามที่คนรักถามว่า “อยู่ไหน ทำอะไรอยู่ เย็นนี้กลับบ้านกี่โมง”

บางคนอาจคิดว่า ถ้อยคำเช่นนั้นเกิดจากความรักปนความห่วงใย มีคนคอยถามไถ่ดีกว่าไม่มีใครห่วงใยเลย

แล้วถ้าคนรักเปิดจีพีเอสติดตามตัวคุณ หรือขับรถตามคุณไปยังสถานที่ที่ไม่ได้บอกล่ะ

หากเป็นเช่นนั้นอาจคิดได้สองแง่ ถ้าเขาหรือเธอไม่ “เป็นห่วงมาก” ก็คง “หวาดระแวงมาก” ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมก่อนหน้านั้นของคุณ

 

ฉะนั้นความรักจะ “ผูกมัดหรือผูกพัน” จึงเกี่ยวโยงกับการกระทำ และความรู้สึกนึกคิด

ระหว่างความรักแบบ “ผูกพัน” กับ “ผูกมัด” คุณต้องการอยู่ในความสัมพันธ์แบบไหน

เชื่อว่าคงไม่มีใครเลือกรักแบบผูกมัด เพราะแค่คิดก็รู้สึกอึดอัดเสียแล้ว อาจกล่าวได้ว่าผูกมัดเป็นความสัมพันธ์ที่ยิ่งกว่าผูกพัน แม้ระคนด้วยรักแต่หากต้องอยู่ในความสัมพันธ์เช่นนั้นคงไร้ซึ่งความสบายใจ

แม้มองอย่างผิวเผินรักน่าจะผูกมัดคล้ายๆ กัน แค่รู้สึกอัดอัดไม่เท่ากัน เพราะทุกคนมีความต่าง ความรักของแต่ละคู่ก็เช่นกัน

 

ฮักฉบับนี้ว่าด้วยเรื่องรักที่ “ไม่ผูกมัด แค่ผูกพัน” ของนางเอกสาวแกร่ง ‘บูม’ สุภาพร และอีกหลากหลายเรื่องราวให้คุณได้ติดตาม

 

“รัก” จุดเริ่มของทั้งผูกมัด-ผูกพัน

Hug magazine


Hug magazine 15 กรกฎาคม 2563

Issue 139 รักแบบ New Normal

‘ใบเฟิร์น’ อัญชสา มงคลสมัย
15 Jul-14 Sep 2020

“มีเรื่องใดในชีวิตที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้บ้าง”

คำตอบอันเป็นสัจธรรมที่ทุกชีวิตต้องเผชิญคือ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย”

แล้ว “จิตใจ” ก็คือด่านแรกที่ต้องรองรับทุกอารมณ์ความรู้สึกที่ดาหน้าถาโถมเข้ามาในแต่ละช่วงชีวิต จิตใจที่เข้มแข็งต้องผ่านการเคี่ยวกรำหรือเผชิญเรื่องราวที่หนักหนามามากน้อยเพียงใด เพราะชีวิตล้วนต้องมีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตาหมุนเวียนเปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำอีก

อาจเป็นโอกาสดีในยุค new normal หรือความปกติใหม่ที่เราจะได้พัฒนาตนเอง ฝึกใจให้เข้มแข็งหนักแน่น เรียนรู้การยอมรับและปรับตัว พร้อมกับบอกตนเองว่า “อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงใครหรือสิ่งใด จงเริ่มปรับเปลี่ยนที่ใจของเราเอง”

เมื่อโรคภัยส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความรัก การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ชีวิตและความรักอยู่รอดปลอดภัยในยุค New Normal หรือความปกติในรูปแบบใหม่ ‘ใบเฟิร์น’ อัญชสา ก็ต้องปรับตัวปรับใจให้ก้าวผ่านความเหงาในช่วงกักตัวเช่นกัน ฮักขอชวนคุณเรียนรู้เรื่องรักผ่านประสบการณ์ชีวิตของเธอคนนี้

แอบหวังเล็กๆ ว่าเรื่องราวใน Hug magazine จะช่วยเติมกำลังให้หัวใจคุณมีเรี่ยวแรงก้าวข้ามอุปสรรคปัญหาไปได้

ปรับใจรับชีวิตปกติใหม่

Hug magazine


เธอคือบทเพลงรักของชีวิต: ปาล์ม-นิติภูมิ ภู่กฤษณา & ปิงปอง-กชกร คุณาลังการ

เธอคือบทเพลงรักของชีวิต
ปาล์ม-นิติภูมิ ภู่กฤษณา & ปิงปอง-กชกร คุณาลังการ

“ฉันจะไปกับเธอจนวันสุดท้าย ต้องพบเรื่องราวมากมาย หนักแค่ไหนก็ไม่หวั่น จะมีฉันคอยเคียงข้างเธอตลอดไป ไม่ว่าจะอย่างไรใจฉันนั้นไม่เปลี่ยน
….ท่อนหนึ่งจากบทเพลง “จะไม่มีวันเปลี่ยน” ของวงสโลโจขับร้องและร่วมแต่งคำร้องโดยปาล์ม-นิติภูมิ เจ้าของเรื่องราวความรักฉบับนี้สะท้อนภาพความรักของปาล์มและปิงปองได้เป็นอย่างดีว่าไม่ว่ากาลเวลา ระยะทาง หรืออะไรก็ตาม “ขอให้เธอได้โปรดมั่นใจ” ในความรักที่เขามอบให้


บทเพลงเมื่อแรกเจอ

ย้อนเวลาถึงวันแรกพบสบตา เมื่อครั้งปาล์มยังไว้ผมยาว เล่นดนตรีกับเพื่อนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง กระทั่งเขาสนิทกับกลุ่มเพื่อนของเพื่อนที่มาเป็นประจำ และหนึ่งในนั้นมีพี่ชายของปิงปองที่พาคุณแม่และเธอมาฟังเพลง ปาล์มเล่าว่า “ผมสะดุดตาเพราะหน้าเขาสวยโฉบเฉี่ยว เพียงแค่เริ่มบทสนทนาก็รู้สึกว่าทุกอย่างนั้นง่าย เพราะท่าทีของเขาไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามีกำแพงกั้นหรือไม่เป็นมิตร ปองเป็นคนที่เปิดใจและยิ้มแย้ม อัธยาศัยดีมาก ผมไม่รู้สึกประหม่าเวลาที่คุยกับเขา กลับผ่อนคลายด้วยซ้ำ เห็นครั้งแรกก็ปิ๊งเลย แต่ตอนนั้นไม่ได้จีบเพราะปองมีแฟนแล้ว แต่ก็จำหน้าเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน”

ระหว่างนั้นทั้งคู่สานสัมพันธ์กันเพียงแค่เป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊ก ปิงปองรู้ว่าปาล์มเป็นนักร้องซึ่งคุณแม่ชื่นชอบและเป็นเพื่อนกับพี่ชายเท่านั้น ทั้งคู่ไม่เคยคุยกันเลย กระทั่งสี่ปีผ่านไปจึงมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งที่ร้านอาหารอีกแห่งซึ่งฝ่ายชายเล่นดนตรีอยู่ “ปองจำได้ว่าพี่ปาล์มเป็นนักร้องที่แม่ชอบ แล้วปองก็เล่าให้แม่ฟังว่าเจอพี่ปาล์ม แม่ก็คอมเม้นท์ในเฟซบุ๊กพี่ปาล์มว่า ปิงปองเจอปาล์มมาเหรอ แม่เหมือนเป็นตัวเชื่อมระหว่างปองกับพี่ปาล์ม หลังจากนั้นก็มีโอกาสเจอกันอีกเพราะเป็นร้านประจำที่เพื่อนๆ ชอบไป บังเอิญว่าวันนั้นที่นั่งข้างเราว่าง พอเขาเล่นดนตรีเสร็จก็มานั่งเพราะมีเพื่อนๆ ที่เขาสนิท” ปิงปองเล่าด้วยรอยยิ้มเขินๆ ฝ่ายชายเสริมทันทีว่า “จริงๆ ผมเล็งไว้แล้วว่าจะไปนั่งข้างเขา”

ปิงปองบอกว่ามีเรื่องหนึ่งที่ยังจำได้และรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกในความซื่อของผู้ชายคนนี้ “คืนนั้นเราไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก แต่พี่ปาล์มอาสาเดินมาส่งที่รถ และมีเพื่อนพี่ชายอีกคนที่เข้ามาคุยกับปองก็ขอเดินไปส่งด้วย สุดท้ายก็เดินไปด้วยกันสามคน พอปองกลับถึงบ้านพี่ปาล์มก็ไลน์มา ตอนนั้นเรางงว่าเขามีไลน์เราได้ยังไง ความซื่อของเขาคือขอไลน์จากผู้ชายคนที่เดินมาด้วยกันนั่นละ ก็เป็นเรื่องตลกที่เกิดขึ้น (หัวเราะ) แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะปองเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ และเป็นช่วงที่ต้องไปอยู่กับพี่ชายที่เนเธอร์แลนด์ จู่ๆ เขาก็ไลน์มาช่วงปีใหม่ ตอนนั้นเราต่างคนต่างโสดเลยคุยกันมาเรื่อยๆ เราเริ่มคุยกันจากความชอบฟังเพลง จึงรู้สึกว่าคุยเรื่องเดียวกัน เราคุยกันทุกวันและส่งเพลงแลกกันวันละเพลง” นับเป็นจุดเริ่มต้นที่น่ารักของคู่รักคู่นี้

ท่วงทำนองชีวิตที่ลงตัว

ทั้งคู่เริ่มทำความรู้จักกันในช่วงที่ฝ่ายหญิงใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ด้วยระยะทางที่ห่างไกลแล้วเหตุอันใดความสัมพันธ์ครั้งนี้จึงสามารถเริ่มต้นได้อย่างสวยงาม ความโชคดีที่แสนลงตัวอย่างหนึ่งคือ อาชีพนักร้องนักดนตรีของฝ่ายชาย ณ เวลานั้นเอื้อต่อความสัมพันธ์ระยะไกลครั้งนี้ เพราะเวลาที่เขากลับถึงบ้านตอนเที่ยงคืน นั่นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มของประเทศเนเธอร์แลนด์ เวลาของเขาและเธอจึงตรงกันพอดี

“ช่วงที่เราตัดสินใจจีบเขาเพราะมีความรู้สึกลึกๆ ในใจว่าตอนนี้เขาน่าจะโสด เพราะเขาไปเรียนต่างประเทศ ถ้ามีแฟนก็น่าจะอยู่ไกลกัน ผมจึงเริ่มคุยและรีบทำคะแนน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเพราะไลฟ์สไตล์ของเราคล้ายกัน มีความชอบเหมือนๆ กัน ชอบฟังเพลงแนวเดียวกัน เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับผม และเป็นเรื่องที่ประทับใจตั้งแต่โทร.หาเขาครั้งแรก เพราะแค่เสียงรอสายของเขาก็เป็นเพลงที่เราชอบแล้ว เขาชอบเพลงของค่ายเบเกอรี่ มิวสิคและเลิฟอีสมาตลอด ผมก็ชอบเหมือนกัน ส่วนเพลงสากลเราฟังอาร์แอนด์บีเหมือนกัน ยิ่งรู้จักเขามากเท่าไหร่ยิ่งประทับใจมากขึ้นเท่านั้น ถามถึงเพลงไหนเขาก็รู้จัก เราจีบกันด้วยเพลงคือส่งเพลงแลกกันวันละเพลง ฟังไปก็ยิ้มเขินไปเพราะเราอยู่ไกลกัน เรียกว่าใช้เพลงเป็นสื่อรัก”

ระหว่างที่กำลังฟังฝ่ายชายเล่าก็หันไปเห็นสาวปิงปองยิ้มแล้วบอกว่า “ตอนเราจีบกันเหมือน puppy love ทั้งที่จริงๆ ก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่ความรู้สึกเหมือนเด็กจีบกัน (หัวเราะ)” หนุ่มปาล์มให้เหตุผลของการจีบแบบน่ารักๆ ว่า “ผมมีประสบการณ์ความรักไม่มากนัก มีแฟนหนึ่งคนที่คบกันมาหนึ่งปี หลังจากนั้นก็ไม่มีแฟนเลยจนมาเจอปอง สำหรับผมจึงยังเป็น puppy love เวลาผมรักใครจะให้เกียรติผู้หญิงคนนั้นมากๆ ไม่ได้มีระยะเวลากำหนดว่าเราคบกันมาสองเดือนแล้วสามารถจับมือเธอได้ สำหรับผมแม้เวลาผ่านไปนานเป็นปีแล้วก็ยังไม่จับมือ เพราะผมมองว่าเรื่องนี้สำคัญ เป็นการให้เกียรติในตอนที่เราเริ่มทำความรู้จักกัน เริ่มจีบกัน เพื่อสะท้อนให้เขาเห็นว่าเราเป็นคนยังไง” ขอบอกว่าประเด็นนี้หนุ่มๆ ควรนำไปใช้นะ

ปิงปองเล่าให้ฟังต่อว่า “ตอนนั้นเราคุยกับเขามาตลอดและรู้สึกว่าเขาเป็นคนคุยสนุก โดยส่วนตัวปองไม่คิดว่าเขาจะจีบเรา เพราะเขาเป็นเพื่อนกับพี่ชาย อีกประเด็นคือพี่ปาล์มเคยเป็นแฟนเก่าของเพื่อนเรา แต่พอเราเริ่มคุยกันทุกวันจนถึงวันที่ปองกลับจากเนเธอร์แลนด์ ถึงเมืองไทยประมาณตี 5 พอตอนเที่ยงพี่ปาล์มส่งข้อความมาว่า ‘วันนี้กินข้าวที่ไหน ไปกินข้าวด้วยกันไหม’ ทั้งๆ ที่เป็นวันแรกที่เราเพิ่งกลับมาและเราไม่ได้เจอหน้ากันมานาน หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆ สานต่อกันมาเรื่อยๆ เรากลับมาเมืองไทยแค่ 1-2 เดือน แต่ไปกินข้าวด้วยกันทุกวันเหมือนเป็นช่วงโปรโมชั่น พอถึงเวลา 11 โมงของทุกวันก็มีข้อความส่งมาว่า ‘วันนี้กินข้าวที่ไหน’ กระทั่งรู้สึกดีต่อกันมากขึ้น ปองจึงตัดสินใจบอกแม่”

ด้วยความที่ฝ่ายหญิงละเอียดอ่อนและใส่ใจในคนรอบข้าง การที่เธอจะคบกับแฟนเก่าของเพื่อนที่แม้เลิกรากันมานาน 3-4 ปี แต่ปิงปองก็อยากเปิดใจคุยกับเพื่อนของเธอ แต่ไม่ทันไรเรื่องราวของปิงปองและปาล์มก็ถูกนำมาปะติดปะต่อโดยเพื่อนๆ ที่ติดตามผ่านโลกโซเชียล “วันวาเลนไทน์ปี 2013 ก่อนตกลงคบกัน พี่ปาล์มนัดปองไปทานอาหารฝีมือเขา ปองก็โพสต์รูปลงไอจี กลุ่มเพื่อนเลยใช้รูปนั้นไปโมเมเอาว่าปองกับพี่ปาล์มนัดกัน กระทั่งเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพื่อนหลายคนพูดกันว่าเราจะคบกับแฟนเก่าของเพื่อนไม่ได้ แต่ด้วยความที่เรารู้จักแฟนเก่าของพี่ปาล์มเป็นอย่างดี ก็บอกเพื่อนคนนั้นไปว่าเราเข้าใจถ้าเธอรู้สึกไม่ดี เราให้เกียรติเธอ เขาบอกว่าไม่เป็นไร แต่เพื่อความสบายใจของคนรอบข้างขอไม่เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กสักพักนะ ปองบอกว่าเรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็กลับมา หลังจากนั้นหนึ่งปีเราก็กลับมาคุยกันและสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมอีก” ปิงปองร่วมแชร์ประสบการณ์ที่อาจเป็นแง่คิดสำหรับใครได้บ้าง

ปาล์ม-นิติภูมิ ภู่กฤษณา & ปิงปอง-กชกร คุณาลังการ


จังหวะรักระยะไกล

เกือบครึ่งทางของสัมพันธ์รักระหว่างปาล์มกับปิงปองนั้นทั้งคู่คบหากันระยะไกล เพราะฝ่ายหญิงใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ สาวปิงปองเล่าว่า “ตอนนั้นเราคบกันแค่ 6 เดือน ปองก็ไปเรียนต่อที่อิตาลี คิดเหมือนกันว่าความสัมพันธ์จะไปรอดไหม แต่เราก็คุยกันว่าลองดูสักตั้งแล้วกัน เพราะถ้าเราผ่านความสัมพันธ์ระยะไกลครั้งนี้ไปได้ ไม่ว่าปัญหาอะไรต่อจากนี้คงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป กลายเป็นว่าการคบกันของเราไม่มีปัญหาเลย คู่เราโชคดีที่พี่ปาล์มทำงานตอนกลางคืน เวลาของเราเลยตรงกัน เขาเลิกงานตี 2 ซึ่งตรงกับเวลาที่อิตาลีตอน 2 ทุ่มพอดี ทำให้มีเวลาคุยกันทุกวัน ใช้ระบบการไว้เนื้อเชื่อใจกันล้วนๆ”

แต่เรื่องราวความรักระยะไกลของปาล์มและปิงปองนั้น ไม่ใช่แค่ที่เนเธอร์แลนด์ อิตาลี แต่มีที่อังกฤษด้วย เพราะปิงปองตัดสินใจไปเรียนต่อด้าน Marketing Management เพื่อกลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัว ปิงปองเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นว่า “ปองยังสนุกกับการเรียนจึงขอไปเรียนต่อ และตัดสินใจบอกคุณพ่อว่าถ้าสอบ IELTS ผ่านแล้วยื่น portfolio ไปที่มหาวิทยาลัยแล้วผ่าน ปองขอหมั้นกับพี่ปาล์มไว้ก่อน คุณพ่อก็ตกลงตามนั้น ปองคิดว่าก่อนที่เราจะทำการใหญ่ต้องพิสูจน์ให้ทั้งครอบครัวเราและเขาเห็นก่อน สุดท้ายปองก็ได้ไปเรียนและแต่งงานเมื่อปี 2017 เรียกว่าเป็นงานหมั้นกึ่งแต่งงานเพราะเราทั้งคู่ไม่อยากจัดงานแต่งงานใหญ่โต เราไม่ชอบปาร์ตี้ และไม่ได้มีเพื่อนเยอะ เราอยากมีแค่งานเล็กๆ พอให้ผู้ใหญ่และเพื่อนสนิทรับรู้ เราไม่จัดงานแต่ง ไม่มีการจดทะเบียนสมรส ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เปิดกว้างมาก หลังจากนั้นสองเดือนก็ไปเรียนต่อที่อังกฤษเลย ตอนคบกันช่วงนั้นราบรื่นดีเหมือนเคย มีครั้งหนึ่งที่พี่ปาล์มตัดสินใจบินเดี่ยวไปอังกฤษครั้งแรกในชีวิต จึงได้เจอกันบ้าง อีกอย่างหนึ่งเพราะเรามีประสบการณ์จากการคบกันตอนที่ปองไปอิตาลีแล้ว”

ปาล์มเล่าย้อนหลังถึงช่วงที่ต้องอยู่ไกลกันว่า “เราเห็นคู่อื่นๆ มีปัญหากัน เพื่อแฟนไปอยู่ต่างประเทศแล้วเลิกรากัน แต่เหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับคู่ของเรา เราไม่เคยมีปัญหาจนถึงขั้นต้องเลิกรา ผมรู้สึกว่าเราโชคดีที่ใส่ใจกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การพูดจากันดีๆ เติมเต็มด้วยการบอกรัก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมและปองมาก เราจึงหมั่นเติมเต็มความรักให้แก่กันเสมอ เลยรู้สึกว่าไม่มีอะไรขาดหายหรือขาดตกบกพร่อง”

ปาล์ม-นิติภูมิ ภู่กฤษณา & ปิงปอง-กชกร คุณาลังการ

เมื่อถามถึงวิธีบริหารจัดการรักระยะไกล เพื่อส่งต่อประสบการณ์ให้ผู้อ่านที่อาจอยู่ในความสัมพันธ์ลักษณะเดียวกันนี้ได้นำไปปรับใช้ ปิงปองเล่าว่า “เราใช้แอพพลิเคชั่นที่ดูได้ว่าแต่ละคนเดินทางไปที่ไหน กลับถึงบ้านหรือยัง ปองลองใช้แอพฯ นี้ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองไทยเพราะเดินทางคนเดียวบ่อย เคยขับรถไปหาเพื่อนที่พัทยาแล้วโดนเจาะยางรถยนต์ เราใช้แอพฯ นี้เพื่อจะได้รู้ว่าตอนนี้เราและเขาอยู่ที่ไหน ซึ่งใช้ได้ดีกับคู่เราตอนที่ปองอยู่ต่างประเทศ เพราะตั้งแจ้งเตือนได้ว่ากลับถึงบ้านแล้ว ช่วยให้เขาไม่เป็นห่วงมากนัก และยิ่งสร้างความไว้ใจกันยิ่งขึ้นเพราะเราไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังกัน วิธีนี้สะดวกสำหรับความสัมพันธ์ระยะไกลในเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจ ปองบอกกับเพื่อนเสมอว่าความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าเราคิดว่าจะร่วมชีวิตกับคนคนนี้จริงๆ มันไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ปองมองว่าความไว้เนื้อเชื่อใจสำคัญมาก เขาทำงานร้องเพลง พอเลิกงานแล้วตรงกลับบ้านเลย หรือมีคนมาขอไลน์เขาก็เล่าให้เราฟัง ฉะนั้นถ้าเราไม่มีอะไรปิดบังกันเราก็คบกันด้วยความสบายใจ”

แต่งเติมท่วงทำนองรัก

เมื่อถามถึงบางปัญหาของความรักในวันที่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน ฝ่ายภรรยาคนสวยบอกว่าไม่มีปัญหาใหญ่โต มีเพียงลักษณะนิสัยบางอย่างที่ต้องปรับ “อาจเพราะพี่ปาล์มเรียนโรงเรียนชายล้วนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาเป็นผู้ชายที่ห่ามมาก (หัวเราะ) ส่วนปองเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวง่ายมาก ช่วงแรกที่คบกันมีบ้างที่รู้สึกว่าทำไมเขาพูดไม่รักษาน้ำใจกันเลย ไม่เข้าใจการใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงสักเท่าไหร่ แต่บางครั้งการถกเถียงหรือทะเลาะกันก็เนื่องจากนิสัยบางอย่างของปองเองด้วย พอเราเริ่มมาอยู่ด้วยกัน ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตของเขามากขึ้น ก็พยายามช่วยจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตเขาให้ดียิ่งขึ้น อีกหนึ่งวิธีปรับตัวคือเรียนรู้การหลับหูหลับตาบ้าง (หัวเราะ) หรือเวลาที่เขาต้องไปงานอีเว้นท์ก็คอยถาม เพราะบางทีเขาจำงานสลับกัน ล่าสุดพี่ปาล์มให้ปองเข้ากรุ๊ปเรื่องงานแล้ว ปองก็จดตารางงานลงสมุดไว้คอยเตือนเขา”

เมื่อหันมาทางฝ่ายชายเพื่อฟังคำตอบของคำถามเดียวกัน เขาเล่าว่า “ผมเองก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน เพราะในแต่ละวันเราไม่ค่อยได้คิดอะไรมาก อยู่กับเพื่อนผู้ชาย พูดอะไรทำอะไรก็ห่ามๆ เมื่อต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน ก่อนพูดหรือทำอะไรก็ไตร่ตรองมากขึ้น บอกตัวเองตลอดว่าเราพูดแบบนี้ไม่ได้นะเพราะมันทำร้ายจิตใจเขา ขนาดผมคิดก่อนพูดแล้วนะ เมื่อคืนยังทะเลาะกันเรื่องนี้อยู่เลย (หัวเราะ) ถึงจะเป็นเรื่องเดิมแต่ก็ดีขึ้นเพราะเราคิดก่อนพูดมากขึ้น ที่สำคัญคือเขาเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ผมไม่มี ทำให้ชีวิตเรามีระเบียบขึ้นและเขาก็ยังไม่เบื่อที่ต้องดูแลเรา”

ส่วนเรื่องการเติมเต็มความหวานให้ชีวิตคู่ ทั้งเขาและเธอตอบเหมือนกันว่าภาษารักของทั้งคู่นั้นตรงกันอย่างลงตัว ปาล์มบอกทันทีว่า “เห็นภายนอกผมเป็นแบบนี้แต่ที่จริงเป็นคนขี้อ้อนนะ ผมรู้สึกว่าภาษากายของเราทั้งคู่เข้ากันอย่างลงตัว คือเราชอบเหมือนกัน ชอบจับมือ ชอบกอดกัน ชอบแสดงความรักแบบใกล้ชิดกันตลอดเวลา บางทีอยู่ด้วยกันสองคนก็บอก ‘I love you.’ คือขอแค่ได้พูดเพราะไม่ชอบให้อยู่กันแบบเงียบๆ ปองชอบให้ผมบอกรัก ผมเองก็เช่นกัน จึงช่วยให้ความรักของเรายังคงเบ่งบานอยู่ตลอดแม้แต่ในตอนที่เราต้องอยู่ไกลกัน ผมคิดว่าภาษารักของเราสองคนเหมือนกันซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการสื่อสารในเรื่องความรักนั้นบางคนไม่ชอบให้แตะตัวทั้งๆ ที่ผู้ชายอาจจะชอบ บางคนไม่ชอบให้บอกรักตลอดแต่อีกฝ่ายหนึ่งชอบ แต่คู่เรามีภาษารักที่ตรงกันพอดี ผมมองว่านี่คือโชคดีและเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คลิกกันที่สุด”

ปิงปองยิ้มเขินก่อนเล่าว่า “ปองคิดว่าเราเป็นคู่ที่บอกรักกันบ่อยจนเคยถามกันว่า ‘เธอคิดว่าเราพูดคำว่ารักฟุ่มเฟือยเกินไปไหม’ ส่วนใหญ่คู่เราใช้ภาษากาย เช่น ชอบจับมือไม่ว่าจะไปที่ไหน อย่างขับรถก็จับมือกัน เหมือนกับว่าถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องสัมผัสกัน ก่อนไปทำงานก็บอกรักกัน ปองมองว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ช่วยหล่อเลี้ยงให้หัวใจชุ่มชื้น เพราะบางวันเขาไปทำงานทั้งวันก็ไม่ได้คุยกันเลย กว่าพี่ปาล์มจะกลับบ้านก็ตี 1 ตี 2 อีกอย่างคือเรายังไม่รำคาญกัน ชอบแสดงความรักกันแบบนี้ ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วเงียบเกินสิบนาที รู้เลยว่าทะเลาะกันอยู่แน่นอน รู้เลยว่าใครคนใดคนหนึ่งกำลังอารมณ์ไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นปอง เขาก็คอยถามว่า ‘เธอเป็นอะไรหรือเปล่า’

นอกจากนี้ทั้งคู่ยังเผยถึงส่วนสำคัญที่ช่วยเติมเต็มความรักคือ “ครอบครัว” หนุ่มปาล์มบอกว่า “สำหรับความรักของเรา ผมมองว่า ครอบครัวทั้งสองฝ่ายมีส่วนสำคัญมาก เพราะผมมีโอกาสรู้จักคนในครอบครัวของปองก็รู้สึกเลยว่าโชคดีมาก ทุกคนน่ารักมาก อาจด้วยความที่ทุกคนมีความเป็นศิลปินเหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่ปองเป็นดีไซเนอร์ ชอบฟังเพลง พี่ชายเขาก็เล่นดนตรี ทำให้ทุกคนมีความเข้าใจในเรื่องอาชีพการงานและชีวิตความเป็นอยู่ของผม เข้าใจความรู้สึกของศิลปิน ผมมองว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ท่านเปิดกว้างทุกอย่าง สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ของปองน่ารักมาก” ปิงปองกล่าวเสริมว่า “คุณพ่อของปองบอกว่าทุกอาชีพมีคุณค่าเท่ากันหมด แค่คุณขยันและเป็นคนดี อาชีพไม่ใช่ตัวชี้วัด ปองคิดว่าองค์ประกอบความรักของคู่เราไม่ใช่แค่เราสองคนที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน แต่ครอบครัวของเราก็ช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ด้วยเหมือนกัน”

บทเพลงรัก “จะไม่มีวันเปลี่ยน”

เมื่อให้ทั้งคู่บอกความในใจ สามีให้เกียรติภรรยาบอกความรู้สึกที่อยากบอกกันในวันนี้ก่อน ขอให้คุณผู้อ่านร่วมเป็นสักขีพยาน “เราสองคนเวลามีปัญหาก็เปิดใจพูดจากัน ปองพูดอยู่เสมอว่าถึงแม้เราจะทะเลาะกัน แต่ปองก็รักพี่ปาล์มมากจนเรารู้สึกว่าข้อเสียของเขาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับชีวิตครอบครัวของเรา เขาเป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แค่นี้ปองก็รู้สึกโชคดีมากๆ ที่ได้ใช้ชีวิตกับผู้ชายคนนี้ ปองสบายใจที่ได้อยู่กับคนคนนี้ มีบ้างที่คนอื่นมองว่าเขาธรรมดาเกินไป แต่สำหรับเรานั้นพี่ปาล์มคือคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด เขาเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ปองพาไปเจอครอบครัว คุณพ่อไม่มีข้อสงสัยอะไรในตัวพี่ปาล์มเลย ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าพี่ปาล์มคือคนที่ใช่สำหรับเราจริงๆ แบบเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ ปองบอกเขาเสมอว่า ถ้าไม่รักกันแล้วให้บอกเพราะปองรับได้มากกว่าการไปมีคนอื่น ขออย่างเดียวคืออย่าโกหก ขอให้พูดตรงๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเราจะก้าวข้ามไปได้หรือไม่ค่อยว่ากัน”

ปาล์มมองภรรยาด้วยแววตาเป็นประกายก่อนเอ่ยว่า “ปองเป็นคนอ่อนไหวง่ายมาก ผมเป็นห่วงแต่ทำได้แค่ให้กำลังใจ มีบางครั้งที่เขาน้อยใจตัวเอง ผมไม่อยากให้เขาคิดมากเพราะทุกคนรักเขา ผมโชคดีมากที่มีปองเข้ามาในชีวิตและใช้ชีวิตร่วมกัน ด้วยบทบาทหน้าที่ของเราที่เป็นนักร้องนักดนตรีทำให้ต้องพบปะผู้คนมากมาย ถ้าเราเริ่มมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นเราก็รู้สึกผิดต่อปองแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะไม่มีทางเริ่มต้นความสัมพันธ์กับหญิงอื่นหรือตัดสัมพันธ์ของเราลง เพราะผมคิดว่าไม่สามารถหาผู้หญิงที่ดีแบบปองได้อีกแล้ว” ปาล์มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอ แล้วการสัมภาษณ์ก็จบลงเพียงเท่านี้ แต่บทเพลงรักของเขาและเธอยังคงบรรเลงต่อไป


" ปองชอบให้ผมบอกรัก ผมเองก็เช่นกัน จึงช่วยให้ความรักของเรายังคงเบ่งบานอยู่ตลอดแม้แต่ในตอนที่เราต้องอยู่ไกลกัน ผมคิดว่าภาษารักของเราสองคนเหมือนกันซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ "

— ปาล์ม-นิติภูมิ ภู่กฤษณา


รักหลากทางเลือก


รักหลากทางเลือก
ยิ่งชีวิต มีทางเลือกมากเท่าไร
ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
ชีวิตยิ่งมีทางเลือกน้อยเท่านั้น
ก็ยิ่งไร้ความสุข
ถ้าชีวิตวันนี้คุณเลือกได้ จะกินข้าวนอกบ้านหรือกินที่บ้าน
กินข้าวหรือกินก๋วยเตี๋ยว กินอาหารจีน ไทย ญี่ปุ่น
เวลาไปทานอาหารบุฟเฟ่ต์ ยิ่งมีให้เลือกมากยิ่งมีความสุขกับการกินมาก
เคยเห็นร้านอาหารบางร้าน เมนูหนาอย่างกับวิทยานิพนธ์ เปิดแล้วเปิดอีกก็ไม่หมด นั่นก็น่ากิน นี่ก็น่าลอง
แต่ถ้าไปเจอบางร้าน เปิดเมนูมีแผ่นเดียว พอสั่งไป
ข้าวหมด ก๋วยเตี๋ยวหมด แกงหมด สลัดหมด ผัดหมด
ตอนนี้เหลือ 2 อย่างให้เลือก
อะไร?
จะแดก หรือ ไม่แดก
อย่างนี้ ชีวิตคงไม่มีความสุขสักเท่าไร
วันหยุดเราอยากไปไหน หรืออยากนอนสบายๆ อยู่ที่บ้านก็ไม่มีใครว่า เพราะเรามีทางเลือก
นั่นคือสาเหตุที่ คนที่อยู่ในเรือนจำ มีความสุขน้อยกว่าคนอยู่ข้างนอก
เพราะต้องตื่นพร้อมกัน นอนพร้อมกัน ออกกำลังกายพร้อมกัน กินพร้อมกัน เลือกไม่ได้ต้องกินเหมือนๆ กัน
ความสุขจึงน้อยลงไป ตามทางเลือกที่แคบลงๆ
ในเรื่องของความรักก็เช่นกัน ถ้าทางเลือกมีน้อย ความสุขจะมีมากได้ยังไง
เช่น ถ้าคิดว่ารักกันต้องได้แต่งงานกันเท่านั้น จึงจะมีความสุข
แต่งงานกันแล้วต้องมีลูกด้วยกัน จึงจะมีความสุข
ลูกต้องเรียนเก่งๆ เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ คณะยอดนิยมเท่านั้น จึงจะมีความสุข
เมื่อมีลูกสาวสวย สามีต้องหล่อจะได้โชว์คนอื่นได้ ถ้าไม่ได้ไม่มีความสุข
งานแต่งต้องจัดใหญ่ เชิญแขกเหรื่อสัก 3,000 คน จะได้ไม่น้อยหน้าใคร จะได้มีความสุข
สินสอดต้องไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน ถ้าน้อยกว่านั้น ไม่มีความสุข
สามีต้องไม่เจ้าชู้ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน รักครอบครัว อุทิศตัวให้ลูกเมียตลอดเวลา ธรรมะธัมโม หาเงินให้ใช้ไม่ขาดมือ
ถ้ากำหนดทางเลือกไว้เท่านี้ รับประกันได้เลยว่า ไม่มีความสุข
เพราะถ้าคิดว่าคนรักกันต้องได้แต่งงานกันเท่านั้น จึงจะมีความสุข
คือกำหนดความสุขไว้ทางเดียวคือ ไม่ได้แต่งงานไม่มีความสุข
พอไม่ได้แต่งก็ทุกข์ใจ
แต่ความสุขควรเริ่มจากทางเลือกแต่งงานกันก็ได้ ไม่แต่งก็ไม่เป็นไร เรายังรักกันได้เหมือนเดิม
เรารักเขาเราก็สุข แม้เขาจะไปแต่งงานกับคนอื่น ความสุขของเขาก็เหมือนความสุขของเรา อย่างนี้ก็สุขได้
จากคนเคยรัก วันนี้เป็นแค่คนรู้จัก ก็มีความสุขได้
ความรักควรมีทางเลือกที่หลากหลาย ไม่มีทางไหนที่ดีและมีความสุขที่สุด
แอบรักเขาก็สุขได้
รักเขาข้างเดียวก็สุขได้
รักเพราะเขาเป็นเขาก็สุขได้
เขาไม่ต้องดีสมบูรณ์แบบมากก็รักเขาได้
ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ ก็รักเขาได้
รักเขาไม่ต้องอยู่ร่วมกันก็ได้
ต่อให้อยู่คนละฝั่งโลกแสนไกล ก็ยังรักกันได้
ถ้ารักได้หลากหลายแบบนี้ จะมีแต่คนอิจฉา เพราะเป็นความรักที่ผาสุก
ถ้าใครบอกว่า รักที่สมบูรณ์ต้องแต่งงานอยู่กินด้วยกันเท่านั้น
คู่ที่แต่งงานอยู่กินกัน ก็ไม่ได้มีความสุขทุกคู่ บางคู่ทะเลาะแยกทาง จากเป็นจากตายกันมากมายหลายคู่
ต้องมีสามีภรรยายอดดี ถึงจะมีความสุข ก็ไม่แน่เสมอไป
สามีแสนดีถูกทิ้งเป็นพ่อหม้าย ภรรยาที่เพียบพร้อมกุลสตรี ถูกทิ้งให้เป็นแม่หม้ายอยู่เกลื่อนกลาดไป
ต่อให้ดีแค่ไหน คนจะไปมันก็ไป
ชั่วร้ายอย่างหาตัวจับไม่ได้ คนจะไม่ไปก็ได้อยู่กันต่อไป
ความรักหลากทางเลือก เป็นที่มาของความรักที่มีความสุข
สุขเพราะได้เลือกว่าจะรักกันแบบไหน
และสุขกว่าสุขใดๆ คือ เลือกได้ว่าจะรักหรือไม่รัก

คอลัมน์ผู้ชายขั้วลบ : จตุพล ชมภูนิช


ความรักควรมีทางเลือกที่หลากหลาย ไม่มีทางไหนที่ดีและมีความสุขที่สุด


อ.จตุพล ชมภูนิช


กล้ามเนื้อลายสลาย อันตรายใกล้ตัวคุณ

เทรนด์การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนต่างก็สรรหาวิธีต่างๆ เพื่อผลักดันตนเองให้หมั่นออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคอร์สออกกำลังกาย การเข้าร่วมรายการแข่งขัน การตั้งเป้าหมายให้สูงและมุ่งข้ามขีดจำกัดของตนเอง ในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องดีที่เราสามารถออกกำลังได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกันก็ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ คือเกิดความเสียหายของกล้ามเนื้อ

กล้ามเนื้อลายสลายตัวเป็นอาการที่กล้ามเนื้อเกิดความบาดเจ็บเสียหาย ซึ่งหากถึงขั้นรุนแรงหรือปล่อยให้เป็นนานเกินไป ก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายจนถึงแก่ชีวิตหรือต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน แต่หากตระหนักและระวังภาวะนี้เอาไว้ก่อน เมื่อเกิดขึ้นก็จะสามารถลดความรุนแรงในภายหลังได้

กล้ามเนื้อลายสลายตัวอันตรายอย่างไร

เมื่อพูดถึงกล้ามเนื้อสลายตัว ฟังดูก็ไม่น่าจะมีอะไรมากนอกจากอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ แต่ที่จริงแล้วมันอันตรายกว่านั้นครับ เมื่อกล้ามเนื้อเกิดความเสียหายไม่ว่าด้วยสาเหตุใด เซลล์กล้ามเนื้อที่เสียหายจะแตกตัวออก สารต่างๆ ที่อยู่ภายในเซลล์นั้นจึงถูกปล่อยออกมา เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และมัยโอโกลบิน ในกรณีที่กล้ามเนื้อเสียหายไม่มาก ร่างกายก็มีกลไกเพื่อขับสารเหล่านี้ออกจากร่างกายอยู่แล้ว แต่ถ้ากล้ามเนื้อเสียหายมากๆ จนร่างกาย ไม่อาจเยียวยาปัญหาก็จะเกิดขึ้น

มัยโอโกลบินเป็นสารซึ่งร่างกายใช้จับออกซิเจนให้แก่กล้ามเนื้อ หากมีปริมาณมากเกินไปเราก็จะเริ่มเห็นสีปัสสาวะเป็นสีแดง จากนั้นจะเกิดการตกตะกอนภายในท่อไต และเกิดไตวายได้

โพแทสเซียมและฟอสฟอรัสที่สูงขึ้น หากเกิดร่วมกับการทำงานของไตที่ลดลงก็อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้


สาเหตุ

สาเหตุของกล้ามเนื้อลายสลายตัวมีหลายอย่าง
1. การบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อโดยตรง เช่น เกิดอุบัติเหตุแล้วกล้ามเนื้อถูกกระแทกแรงๆ เช่น ตกจากที่สูง ถูกรถชน ถูกทุบตี หรือกล้ามเนื้อถูกกดทับเป็นเวลานานๆ เช่น หมดสติแล้วแขนขาอยู่ในท่าที่ถูกกดทับ
2. เส้นเลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อเสียหาย เช่น การบาดเจ็บที่เส้นเลือดโดยตรง การเกิดลิ่มเลือดอุดตัน หรือหมดสติแล้วเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อถูกกดทับ
3. กล้ามเนื้อถูกใช้งานอย่างรุนแรงหนักหน่วง เช่น ออกกำลังกายหักโหมด้วยการวิ่งระยะไกลเป็นเวลานานๆ ยกน้ำหนักที่หนักอึ้ง ปั่นจักรยานที่ใช้แรงต้านมากๆ ปั่นเร็วๆ การชักเกร็งเป็นเวลานาน การถูกไฟฟ้าช็อต การเกร็งจากโรคบาดทะยัก
4. อุณหภูมิร่างกายผิดปกติ เช่น ในภาวะลมแดดหรือความหนาวเย็นรุนแรงจนกล้ามเนื้อมีอาการบาดเจ็บ
5. ถูกพิษจากงู แมลง เห็ด และพืชหลายชนิดทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อลายสลายตัวได้
6. ภาวะเกลือแร่และกรดด่างของร่างกายผิดปกติ ในภาวะที่เกลือแร่ต่ำ น้ำตาลสูง หรือเลือดมีความเป็นกรดสูง กระบวนการแลกเปลี่ยนน้ำและเกลือแร่ของเซลล์ที่ผิดปกติไปทำให้กล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บและสลายตัวได้
7. ยาและสารเคมี เช่น ยาบ้า เฮโรอีน ยาลดไขมันในเส้นเลือด และยาจิตเวชบางชนิด ยาที่ใช้ในการดมยาสลบ
8. การติดเชื้อ การติดเชื้อทั้งแบคทีเรียและไวรัสที่เห็นว่ามีปวดๆ กล้ามเนื้อนั้น ในบางกรณีที่เป็นรุนแรงก็อาจถึงขั้นภาวะกล้ามเนื้อสลายตัวได้


อาการ

สำหรับอาการหลักของกล้ามเนื้อลายสลายตัวนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดและอ่อนล้ากล้ามเนื้อในตำแหน่งที่ผิดปกติ เราอาจสังเกตได้จากปัสสาวะสีแดงเข้มหรือสีน้ำตาลอันเกิดจากมัยโอโกลบินที่หลุดออกมาในปัสสาวะ

นอกจากนี้ยังอาจเกิดอาการไม่จำเพาะอื่นๆ ด้วย เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน มึนงงสับสน หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะออกน้อยกว่าปกติ ความดันผิดปกติ หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาให้แน่ชัด


แล้วจะตรวจวินิจฉัยอย่างไร

หากมีประวัติ อาการ สภาพร่างกาย และปัจจัยเสี่ยงที่น่าสงสัยว่าเป็นโรคนี้ ก็จะมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจค่าของสารครีตีนไคเนส (อันเป็นสารที่พบในกล้ามเนื้อที่เสียหาย คนซึ่งกล้ามเนื้อลายสลายตัวนั้นพบค่านี้สูงกว่าคนปกติถึง 10 เท่า) การตรวจค่าการทำงานของไต ตรวจปัสสาวะ

ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือความเสี่ยงสูง ก็จะมีการตรวจค่าที่เกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนจากภาวะกล้ามเนื้อสลายตัว เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสเฟต ค่าความเป็นกรดด่างของเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ


การรักษา

เนื่องจากภาวะกล้ามเนื้อสลายตัวชนิดรุนแรงมีโอกาสเกิดไตวายหรือเสียชีวิตได้ การรักษาตั้งแต่แรกที่ยังเป็นไม่มากจึงมีส่วนช่วยให้อัตราการตายลดลงและร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

1. กำจัดสาเหตุ หากหาสาเหตุได้ การจัดการกับสาเหตุจะช่วยยับยั้งกล้ามเนื้อที่เหลือไม่ให้สลายตัวมาซ้ำเติมร่างกายที่กำลังป่วยได้

2. ให้สารน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยขับของเสียออกทางปัสสาวะและป้องกันไตวาย

3. รักษาระดับของของเสียและเกลือแร่ในเลือด มักมีการเจาะตรวจเลือดเป็นระยะตามความรุนแรงของโรค เพื่อป้องกันภาวะเกลือแร่ผิดปกติรุนแรงอันจะส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ

4. การฟอกเลือดล้างไต ในรายที่มีไตวายหรือเกลือแร่ผิดปกติรุนแรงซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่น อาจจะมีการฟอกเลือดล้างไตเพื่อจัดการกับของเสียหรือเกลือแร่ผิดปกตินั้น

อ่านดูแล้วอาจจะน่ากลัว ทั้งนี้ในกรณีที่อาการไม่ชัดเจนหรือเป็นไม่มาก อาจจะไม่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่เป็นการกลับไปพักที่บ้าน ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงสาเหตุที่สงสัยแล้วนัดกลับมาตรวจเป็นระยะๆ ภายหลัง


การป้องกันและเฝ้าระวัง

ผู้ป่วยกล้ามเนื้อลายสลายตัวส่วนใหญ่มักมีอาการรุนแรงจนต้องไปโรงพยาบาลตั้งแต่แรก จึงขอพูดถึงการป้องกันระวัง การออกกำลังกายและการใช้ยา อันเป็นสาเหตุที่หลายคนอาจจะไม่ทันระวังตัวครับ

1. การออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายให้เหมาะสม ไม่หักโหมจนเกินไป ค่อยๆ ปรับระดับความเข้มข้นในการออกกำลังกาย มีการสลับสับเปลี่ยนกล้ามเนื้อส่วนที่ใช้ออกกำลัง เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักและซ่อมแซมตนเอง

2.ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในสภาพอากาศร้อนจัด อุณหภูมิที่สูงเกินไปของร่างกายย่อมเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อบาดเจ็บ อีกทั้งการขาดน้ำจะทำให้เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง อาการของภาวะนี้จึงรุนแรงขึ้น การได้น้ำที่เพียงพอจะช่วยลดความรุนแรงได้

3.หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดต้านการอักเสบหลังออกกำลังกายหรือในผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อสลายตัว บางคนเมื่อมีอาการปวดกล้ามเนื้อมากๆ ก็ใช้ยาต้านการอักเสบเพื่อบรรเทาปวด แต่นอกจากจะบดบังอาการแล้ว ยาต้านการอักเสบหลายชนิดยังลดเลือดที่ไปเลี้ยงไต ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดไตวายเฉียบพลันได้มากกว่าปกติ

4.ในผู้ที่ใช้ยาหรือสารที่มีความเสี่ยงต่อภาวะนี้ หากมีอาการปวดกล้ามเนื้อรุนแรง ล้า หรือปัสสาวะสีเข้ม ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วการดูแลรักษาตั้งแต่ต้นจะช่วยให้ความรุนแรงของโรคลดลงและมีโอกาสฟื้นตัวเป็นปกติได้ง่ายขึ้นครับ

ขอบคุณบทความจาก : หมอแมว
คอลัมน์รักษ์สุขภาพ
Hug Magazine 


ปัตตานี เมืองงามสามวัฒนธรรม

ปัตตานี เมืองงามสามวัฒนธรรม

“บ้านเราเราก็รัก บ้านเราเราก็ห่วง” ปัตตานีไม่ได้มีเพียงแค่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อีกหนึ่งความโดดเด่นของเมืองปัตตานี คือความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมซึ่งผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างงดงาม เราจึงตั้งใจไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญของแต่ละวัฒนธรรมในเมืองปัตตานี


เริ่มกันที่ศูนย์รวมจิตใจพุทธศาสนิกชนในภาคใต้ “วัดราษฎร์บูรณะ” หรือที่รู้จักกันว่า “วัดช้างให้” วัดเก่าแก่กว่า 300 ปี ตามตำนานเล่าว่าเจ้าเมืองไทรบุรีได้ทำพิธีเสี่ยงทายปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า เพื่อหาสถานที่สำหรับการสร้างเมืองแห่งใหม่ให้แก่น้องสาว ช้างเชือกนั้นเดินมาหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องดังขึ้นสามครั้งอันถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เจ้าเมืองไทรบุรีจึงสร้างเมืองขึ้นในบริเวณนี้ แต่ไม่เป็นที่พอใจแก่น้องสาว เจ้าเมืองไทรบุรีจึงได้สร้างวัดไว้แทนให้ชื่อว่า “วัดช้างให้” และนิมนต์ “สมเด็จพะโคะ” หรือ “หลวงปู่ทวดเหยียบทะเลน้ำจืด” มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ต่อมาเมื่อท่านมรณภาพลงและมีการฌาปนกิจแล้วบรรจุอัฐิไว้ที่วัดแห่งนี้ พุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาหลวงปู่ทวดจึงหลั่งไหลกันมาสักการะหลวงปู่ที่วัดช้างให้กันไม่ขาดสาย

หลวงปู่ทวด

จากนั้นเราเดินทางไปยัง “มัสยิดกรือเซะ” หรือ “มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์” สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หน้าต่างก่ออิฐเป็นซุ้มโค้ง ทางเข้าออกเป็นซุ้มโค้งปลายแหลม มีเสากลมก่ออิฐรองรับ โดมหลังคาอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ได้รับการซ่อมแซมให้สามารถประกอบศาสนกิจได้ คาดว่าเป็นมัสยิดในศิลปะแบบเปอร์เซีย สวยงามดูมีมนต์ขลังมาก

มัสยิดกรือเซะในบริเวณเดียวกันกับมัสยิดเป็นที่ตั้งของ “สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” เป็นที่รู้จักกันดีของพี่น้องชาวจีนในประเทศไทยและมาเลเซีย ตามตำนานเล่าว่า “ลิ้มกอเหนี่ยว” สาวชาวจีนฮกเกี้ยนลงเรือสำเภาไปยัง “เมืองตานี” เพื่อตามหา “ลิ้มโต๊ะเคี่ยม” ผู้เป็นพี่ชาย และขอให้เดินทางกลับเมืองจีนตามความประสงค์ของมารดา แต่นางพบว่าพี่ชายได้แต่งงานกับลูกสาวของพระยาตานี และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม จึงไม่สามารถเดินทางกลับไปเมืองจีน ลิ้มกอเหนี่ยวได้ให้คำสัตย์ไว้กับมารดา หากไม่สามารถตามพี่ชายกลับไปได้จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ นางจึงผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้ฝังศพนางไว้ที่หมู่บ้านกรือเซะ บริเวณนอกเมืองตานี ชาวบ้านเชื่อว่าดวงวิญญาณของลิ้มกอเหนี่ยวยังคงวนเวียนอยู่ คอยให้โชคลาภแก่ผู้ที่ไปบนบานศาลกล่าว การค้าขายที่เคยซบเซากลับรุ่งเรือง ทำให้เกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงได้นำกิ่งมะม่วงหิมพานต์มาแกะสลักเป็นรูปเหมือนนาง และได้สร้างศาลเล็กๆ ขึ้นใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์แห่งนั้น

ต่อมาชาวจีนในจังหวัดปัตตานีเห็นว่า ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธานั้น ตั้งอยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ไม่สะดวกแก่การประกอบพิธี จึงร่วมกันสร้างศาลเจ้าแห่งใหม่ในเมืองปัตตานี ชื่อ “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” และได้อัญเชิญรูปสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประดิษฐาน ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ รู้จักกันในชื่อ “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ของทุกปีมี “งานประเพณีแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” เป็นงานสมโภชที่ยิ่งใหญ่ มีการแสดงมหรสพ 7 วัน 7 คืน ชาวจีนทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านต่างหลั่งไหลมาสักการะเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกันอย่างหนาแน่น



บนถนนอาเนาะรู ถนนสายเดียวกับที่ตั้งของศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นย่านเมืองเก่าปัตตานี เรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า “กือดาจีนอ” ที่แปลว่า “ตลาดจีน” แต่เดิมเป็นย่านการค้าสำคัญ มีท่าเทียบเรือสำหรับชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยน มีด่านเก็บภาษี ย่านนี้จึงมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก สถาปัตยกรรมในย่านนี้มีทั้งบ้านเรือนย้อนยุค อาคารพาณิชย์แบบจีนดั้งเดิม บ้านกงสี บ้านที่เคยเปิดเป็นโรงเตี๊ยม บ้านเลขที่ 1 ของเมืองปัตตานีก็ตั้งอยู่ในย่านนี้ ปัจจุบันย่านเมืองเก่าปัตตานีได้รับการฟื้นฟูให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยการเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สามารถเข้าเยี่ยมชมบ้านเรือนสำคัญในย่านเพื่อเรียนรู้ความเป็นมา หรือจะเดินเล่นถ่ายภาพชิคๆ ก็เพลิดเพลินอีกแบบ


นาซิฆูลา

อีกสิ่งที่ไม่ควรพลาดหากได้มาเยือนปัตตานี คืออาหารพื้นเมือง เริ่มด้วยอาหารจานหลักที่เป็นข้าวแกงเรียกว่า “นาซิฆูลา” มีลักษณะเป็นข้าวมัน ราดด้วยแกงหรือปลาทอดไก่ทอด เมนูที่ต้องแนะนำคือข้าวมันมลายูเรียกว่า “นาซิลือเมาะ” เป็นข้าวมันราดน้ำพริกราดแกง พร้อมกับเครื่องเคียงเป็นไก่ทอดปลาขนาดเล็กทอดและไข่ต้ม ตามด้วยของหวานและชาร้อน ฟินอย่าบอกใครเลย อิ่มท้องแล้วต่อด้วยการเยี่ยมชม “มัสยิดกลางปัตตานี” สถานที่ประกอบศาสนกิจสำคัญของพี่น้องมุสลิมในภาคใต้ มัสยิดได้รับฉายาว่า “ทัชมาฮาลเมืองไทย” เนื่องจากรูปแบบสถาปัตยกรรมได้รับแรงบันดาลใจทัชมาฮาล มัสยิดกลางปัตตานีเป็นมัสยิดขนาดใหญ่ มีทางเดินทอดยาวมุ่งเข้าสู่มัสยิด สองข้างทางปลูกต้นไม้และจัดสวนไว้อย่างสวยงาม ด้านหน้ามัสยิดมีสระน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ สะท้อนภาพของมัสยิดได้อย่างตรึงตา ตัวมัสยิดสีขาวสลับส้ม มีโดมขนาดใหญ่สีเขียวอลังการกับฉายาทัชมาฮาลเมืองไทยเลยจริงๆ

 

มัสยิดกลางปัตตานี

 

เราปิดทริปนี้ที่ “Patani Art Space” ตามความคิดริเริ่มของ “อาจารย์เจะ-ผศ.เจะอับดุลเลาะ เจ๊ะสอเหาะ” ผู้ต้องการให้ลูกศิษย์มีพื้นที่ทำงานศิลปะตามอุดมการณ์ คนส่วนใหญ่รู้จักปัตตานีอยู่แล้ว แต่อาจรู้จักเพียงด้านลบ อาจารย์ตั้งใจแสดงให้คนรู้จักในด้านบวกมากขึ้น จึงเปิดโอกาสให้เยาวชนและศิลปินชายแดนใต้ ได้แสดงฝีมือด้านศิลปะเพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ประยุกต์ใช้วัสดุและเทคนิคจากท้องถิ่นเอง ก่อเกิดงานศิลปะร่วมสมัย แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นแกลเลอรีหมุนเวียนแสดงงานศิลปะ เพื่อให้เยาวชนศิลปินท้องถิ่นได้ทำงาน อีกส่วนหนึ่งเป็นร้านกาแฟสำหรับนั่งเสพบรรยากาศ ตั้งอยู่ท่ามกลางท้องทุ่งนาเขียวขจี มีลมโชยชายเย็นสบาย

ทั้งที่ทริปนี้เรามีเวลามาเยือนปัตตานีเพียงน้อยนิด แต่เราก็ได้รู้จักปัตตานีอีกแง่มุมหนึ่งที่เราไม่เคยรู้จัก ก่อนหน้านี้คำว่า “สามจังหวัดชายแดนใต้” เป็นพื้นที่อันตราย เป็นคำที่แบ่งแยกความเป็นเขาและเรา แต่การเดินทางครั้งนี้ทำให้เราตระหนักว่าที่นี่ยังมีชีวิต มีพ่อแม่ พี่น้อง ลุงป้าน้าอา ที่นี่มีครอบครัว ที่นี่ยังมีความรู้สึกนึกคิด เหมือนกับคนจังหวัดอื่นๆ และที่สำคัญ “ที่นี่มีความสุข”