Hug magazine 15 กันยายน 2563

Issue 140 ไม่ผูกมัด แค่ผูกพัน
‘บูม’ สุภาพร วงษ์ถ้วยทอง
15 Sep-14 Nov 2020
คุณรู้สึกอย่างไร ยามที่คนรักถามว่า “อยู่ไหน ทำอะไรอยู่ เย็นนี้กลับบ้านกี่โมง”
บางคนอาจคิดว่า ถ้อยคำเช่นนั้นเกิดจากความรักปนความห่วงใย มีคนคอยถามไถ่ดีกว่าไม่มีใครห่วงใยเลย
แล้วถ้าคนรักเปิดจีพีเอสติดตามตัวคุณ หรือขับรถตามคุณไปยังสถานที่ที่ไม่ได้บอกล่ะ
หากเป็นเช่นนั้นอาจคิดได้สองแง่ ถ้าเขาหรือเธอไม่ “เป็นห่วงมาก” ก็คง “หวาดระแวงมาก” ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมก่อนหน้านั้นของคุณ
ฉะนั้นความรักจะ “ผูกมัดหรือผูกพัน” จึงเกี่ยวโยงกับการกระทำ และความรู้สึกนึกคิด
ระหว่างความรักแบบ “ผูกพัน” กับ “ผูกมัด” คุณต้องการอยู่ในความสัมพันธ์แบบไหน
เชื่อว่าคงไม่มีใครเลือกรักแบบผูกมัด เพราะแค่คิดก็รู้สึกอึดอัดเสียแล้ว อาจกล่าวได้ว่าผูกมัดเป็นความสัมพันธ์ที่ยิ่งกว่าผูกพัน แม้ระคนด้วยรักแต่หากต้องอยู่ในความสัมพันธ์เช่นนั้นคงไร้ซึ่งความสบายใจ
แม้มองอย่างผิวเผินรักน่าจะผูกมัดคล้ายๆ กัน แค่รู้สึกอัดอัดไม่เท่ากัน เพราะทุกคนมีความต่าง ความรักของแต่ละคู่ก็เช่นกัน
ฮักฉบับนี้ว่าด้วยเรื่องรักที่ “ไม่ผูกมัด แค่ผูกพัน” ของนางเอกสาวแกร่ง ‘บูม’ สุภาพร และอีกหลากหลายเรื่องราวให้คุณได้ติดตาม
“รัก” จุดเริ่มของทั้งผูกมัด-ผูกพัน
Hug magazine
Hug magazine 15 กรกฎาคม 2563

Issue 139 รักแบบ New Normal
‘ใบเฟิร์น’ อัญชสา มงคลสมัย
15 Jul-14 Sep 2020
“มีเรื่องใดในชีวิตที่เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้บ้าง”
คำตอบอันเป็นสัจธรรมที่ทุกชีวิตต้องเผชิญคือ “เกิด แก่ เจ็บ ตาย”
แล้ว “จิตใจ” ก็คือด่านแรกที่ต้องรองรับทุกอารมณ์ความรู้สึกที่ดาหน้าถาโถมเข้ามาในแต่ละช่วงชีวิต จิตใจที่เข้มแข็งต้องผ่านการเคี่ยวกรำหรือเผชิญเรื่องราวที่หนักหนามามากน้อยเพียงใด เพราะชีวิตล้วนต้องมีทั้งรอยยิ้มและคราบน้ำตาหมุนเวียนเปลี่ยนไปซ้ำแล้วซ้ำอีก
อาจเป็นโอกาสดีในยุค new normal หรือความปกติใหม่ที่เราจะได้พัฒนาตนเอง ฝึกใจให้เข้มแข็งหนักแน่น เรียนรู้การยอมรับและปรับตัว พร้อมกับบอกตนเองว่า “อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงใครหรือสิ่งใด จงเริ่มปรับเปลี่ยนที่ใจของเราเอง”
เมื่อโรคภัยส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความรัก การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ชีวิตและความรักอยู่รอดปลอดภัยในยุค New Normal หรือความปกติในรูปแบบใหม่ ‘ใบเฟิร์น’ อัญชสา ก็ต้องปรับตัวปรับใจให้ก้าวผ่านความเหงาในช่วงกักตัวเช่นกัน ฮักขอชวนคุณเรียนรู้เรื่องรักผ่านประสบการณ์ชีวิตของเธอคนนี้
แอบหวังเล็กๆ ว่าเรื่องราวใน Hug magazine จะช่วยเติมกำลังให้หัวใจคุณมีเรี่ยวแรงก้าวข้ามอุปสรรคปัญหาไปได้
ปรับใจรับชีวิตปกติใหม่
Hug magazine
เธอคือบทเพลงรักของชีวิต: ปาล์ม-นิติภูมิ ภู่กฤษณา & ปิงปอง-กชกร คุณาลังการ
เธอคือบทเพลงรักของชีวิต
ปาล์ม-นิติภูมิ ภู่กฤษณา & ปิงปอง-กชกร คุณาลังการ
“ฉันจะไปกับเธอจนวันสุดท้าย ต้องพบเรื่องราวมากมาย หนักแค่ไหนก็ไม่หวั่น จะมีฉันคอยเคียงข้างเธอตลอดไป ไม่ว่าจะอย่างไรใจฉันนั้นไม่เปลี่ยน ”
….ท่อนหนึ่งจากบทเพลง “จะไม่มีวันเปลี่ยน” ของวงสโลโจขับร้องและร่วมแต่งคำร้องโดยปาล์ม-นิติภูมิ เจ้าของเรื่องราวความรักฉบับนี้สะท้อนภาพความรักของปาล์มและปิงปองได้เป็นอย่างดีว่าไม่ว่ากาลเวลา ระยะทาง หรืออะไรก็ตาม “ขอให้เธอได้โปรดมั่นใจ” ในความรักที่เขามอบให้

บทเพลงเมื่อแรกเจอ
ย้อนเวลาถึงวันแรกพบสบตา เมื่อครั้งปาล์มยังไว้ผมยาว เล่นดนตรีกับเพื่อนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง กระทั่งเขาสนิทกับกลุ่มเพื่อนของเพื่อนที่มาเป็นประจำ และหนึ่งในนั้นมีพี่ชายของปิงปองที่พาคุณแม่และเธอมาฟังเพลง ปาล์มเล่าว่า “ผมสะดุดตาเพราะหน้าเขาสวยโฉบเฉี่ยว เพียงแค่เริ่มบทสนทนาก็รู้สึกว่าทุกอย่างนั้นง่าย เพราะท่าทีของเขาไม่ได้ทำให้รู้สึกว่ามีกำแพงกั้นหรือไม่เป็นมิตร ปองเป็นคนที่เปิดใจและยิ้มแย้ม อัธยาศัยดีมาก ผมไม่รู้สึกประหม่าเวลาที่คุยกับเขา กลับผ่อนคลายด้วยซ้ำ เห็นครั้งแรกก็ปิ๊งเลย แต่ตอนนั้นไม่ได้จีบเพราะปองมีแฟนแล้ว แต่ก็จำหน้าเขาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอกัน”
ระหว่างนั้นทั้งคู่สานสัมพันธ์กันเพียงแค่เป็นเพื่อนทางเฟซบุ๊ก ปิงปองรู้ว่าปาล์มเป็นนักร้องซึ่งคุณแม่ชื่นชอบและเป็นเพื่อนกับพี่ชายเท่านั้น ทั้งคู่ไม่เคยคุยกันเลย กระทั่งสี่ปีผ่านไปจึงมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งที่ร้านอาหารอีกแห่งซึ่งฝ่ายชายเล่นดนตรีอยู่ “ปองจำได้ว่าพี่ปาล์มเป็นนักร้องที่แม่ชอบ แล้วปองก็เล่าให้แม่ฟังว่าเจอพี่ปาล์ม แม่ก็คอมเม้นท์ในเฟซบุ๊กพี่ปาล์มว่า ปิงปองเจอปาล์มมาเหรอ แม่เหมือนเป็นตัวเชื่อมระหว่างปองกับพี่ปาล์ม หลังจากนั้นก็มีโอกาสเจอกันอีกเพราะเป็นร้านประจำที่เพื่อนๆ ชอบไป บังเอิญว่าวันนั้นที่นั่งข้างเราว่าง พอเขาเล่นดนตรีเสร็จก็มานั่งเพราะมีเพื่อนๆ ที่เขาสนิท” ปิงปองเล่าด้วยรอยยิ้มเขินๆ ฝ่ายชายเสริมทันทีว่า “จริงๆ ผมเล็งไว้แล้วว่าจะไปนั่งข้างเขา”
ปิงปองบอกว่ามีเรื่องหนึ่งที่ยังจำได้และรู้สึกว่าเป็นเรื่องตลกในความซื่อของผู้ชายคนนี้ “คืนนั้นเราไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก แต่พี่ปาล์มอาสาเดินมาส่งที่รถ และมีเพื่อนพี่ชายอีกคนที่เข้ามาคุยกับปองก็ขอเดินไปส่งด้วย สุดท้ายก็เดินไปด้วยกันสามคน พอปองกลับถึงบ้านพี่ปาล์มก็ไลน์มา ตอนนั้นเรางงว่าเขามีไลน์เราได้ยังไง ความซื่อของเขาคือขอไลน์จากผู้ชายคนที่เดินมาด้วยกันนั่นละ ก็เป็นเรื่องตลกที่เกิดขึ้น (หัวเราะ) แต่หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยได้คุยกันเพราะปองเตรียมตัวไปเรียนต่อต่างประเทศ และเป็นช่วงที่ต้องไปอยู่กับพี่ชายที่เนเธอร์แลนด์ จู่ๆ เขาก็ไลน์มาช่วงปีใหม่ ตอนนั้นเราต่างคนต่างโสดเลยคุยกันมาเรื่อยๆ เราเริ่มคุยกันจากความชอบฟังเพลง จึงรู้สึกว่าคุยเรื่องเดียวกัน เราคุยกันทุกวันและส่งเพลงแลกกันวันละเพลง” นับเป็นจุดเริ่มต้นที่น่ารักของคู่รักคู่นี้
ท่วงทำนองชีวิตที่ลงตัว
ทั้งคู่เริ่มทำความรู้จักกันในช่วงที่ฝ่ายหญิงใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ ด้วยระยะทางที่ห่างไกลแล้วเหตุอันใดความสัมพันธ์ครั้งนี้จึงสามารถเริ่มต้นได้อย่างสวยงาม ความโชคดีที่แสนลงตัวอย่างหนึ่งคือ อาชีพนักร้องนักดนตรีของฝ่ายชาย ณ เวลานั้นเอื้อต่อความสัมพันธ์ระยะไกลครั้งนี้ เพราะเวลาที่เขากลับถึงบ้านตอนเที่ยงคืน นั่นเป็นเวลาหนึ่งทุ่มของประเทศเนเธอร์แลนด์ เวลาของเขาและเธอจึงตรงกันพอดี
“ช่วงที่เราตัดสินใจจีบเขาเพราะมีความรู้สึกลึกๆ ในใจว่าตอนนี้เขาน่าจะโสด เพราะเขาไปเรียนต่างประเทศ ถ้ามีแฟนก็น่าจะอยู่ไกลกัน ผมจึงเริ่มคุยและรีบทำคะแนน ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเพราะไลฟ์สไตล์ของเราคล้ายกัน มีความชอบเหมือนๆ กัน ชอบฟังเพลงแนวเดียวกัน เรื่องนี้สำคัญมากสำหรับผม และเป็นเรื่องที่ประทับใจตั้งแต่โทร.หาเขาครั้งแรก เพราะแค่เสียงรอสายของเขาก็เป็นเพลงที่เราชอบแล้ว เขาชอบเพลงของค่ายเบเกอรี่ มิวสิคและเลิฟอีสมาตลอด ผมก็ชอบเหมือนกัน ส่วนเพลงสากลเราฟังอาร์แอนด์บีเหมือนกัน ยิ่งรู้จักเขามากเท่าไหร่ยิ่งประทับใจมากขึ้นเท่านั้น ถามถึงเพลงไหนเขาก็รู้จัก เราจีบกันด้วยเพลงคือส่งเพลงแลกกันวันละเพลง ฟังไปก็ยิ้มเขินไปเพราะเราอยู่ไกลกัน เรียกว่าใช้เพลงเป็นสื่อรัก”
ระหว่างที่กำลังฟังฝ่ายชายเล่าก็หันไปเห็นสาวปิงปองยิ้มแล้วบอกว่า “ตอนเราจีบกันเหมือน puppy love ทั้งที่จริงๆ ก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่ความรู้สึกเหมือนเด็กจีบกัน (หัวเราะ)” หนุ่มปาล์มให้เหตุผลของการจีบแบบน่ารักๆ ว่า “ผมมีประสบการณ์ความรักไม่มากนัก มีแฟนหนึ่งคนที่คบกันมาหนึ่งปี หลังจากนั้นก็ไม่มีแฟนเลยจนมาเจอปอง สำหรับผมจึงยังเป็น puppy love เวลาผมรักใครจะให้เกียรติผู้หญิงคนนั้นมากๆ ไม่ได้มีระยะเวลากำหนดว่าเราคบกันมาสองเดือนแล้วสามารถจับมือเธอได้ สำหรับผมแม้เวลาผ่านไปนานเป็นปีแล้วก็ยังไม่จับมือ เพราะผมมองว่าเรื่องนี้สำคัญ เป็นการให้เกียรติในตอนที่เราเริ่มทำความรู้จักกัน เริ่มจีบกัน เพื่อสะท้อนให้เขาเห็นว่าเราเป็นคนยังไง” ขอบอกว่าประเด็นนี้หนุ่มๆ ควรนำไปใช้นะ
ปิงปองเล่าให้ฟังต่อว่า “ตอนนั้นเราคุยกับเขามาตลอดและรู้สึกว่าเขาเป็นคนคุยสนุก โดยส่วนตัวปองไม่คิดว่าเขาจะจีบเรา เพราะเขาเป็นเพื่อนกับพี่ชาย อีกประเด็นคือพี่ปาล์มเคยเป็นแฟนเก่าของเพื่อนเรา แต่พอเราเริ่มคุยกันทุกวันจนถึงวันที่ปองกลับจากเนเธอร์แลนด์ ถึงเมืองไทยประมาณตี 5 พอตอนเที่ยงพี่ปาล์มส่งข้อความมาว่า ‘วันนี้กินข้าวที่ไหน ไปกินข้าวด้วยกันไหม’ ทั้งๆ ที่เป็นวันแรกที่เราเพิ่งกลับมาและเราไม่ได้เจอหน้ากันมานาน หลังจากนั้นเราก็ค่อยๆ สานต่อกันมาเรื่อยๆ เรากลับมาเมืองไทยแค่ 1-2 เดือน แต่ไปกินข้าวด้วยกันทุกวันเหมือนเป็นช่วงโปรโมชั่น พอถึงเวลา 11 โมงของทุกวันก็มีข้อความส่งมาว่า ‘วันนี้กินข้าวที่ไหน’ กระทั่งรู้สึกดีต่อกันมากขึ้น ปองจึงตัดสินใจบอกแม่”
ด้วยความที่ฝ่ายหญิงละเอียดอ่อนและใส่ใจในคนรอบข้าง การที่เธอจะคบกับแฟนเก่าของเพื่อนที่แม้เลิกรากันมานาน 3-4 ปี แต่ปิงปองก็อยากเปิดใจคุยกับเพื่อนของเธอ แต่ไม่ทันไรเรื่องราวของปิงปองและปาล์มก็ถูกนำมาปะติดปะต่อโดยเพื่อนๆ ที่ติดตามผ่านโลกโซเชียล “วันวาเลนไทน์ปี 2013 ก่อนตกลงคบกัน พี่ปาล์มนัดปองไปทานอาหารฝีมือเขา ปองก็โพสต์รูปลงไอจี กลุ่มเพื่อนเลยใช้รูปนั้นไปโมเมเอาว่าปองกับพี่ปาล์มนัดกัน กระทั่งเป็นเรื่องราวใหญ่โต เพื่อนหลายคนพูดกันว่าเราจะคบกับแฟนเก่าของเพื่อนไม่ได้ แต่ด้วยความที่เรารู้จักแฟนเก่าของพี่ปาล์มเป็นอย่างดี ก็บอกเพื่อนคนนั้นไปว่าเราเข้าใจถ้าเธอรู้สึกไม่ดี เราให้เกียรติเธอ เขาบอกว่าไม่เป็นไร แต่เพื่อความสบายใจของคนรอบข้างขอไม่เป็นเพื่อนในเฟซบุ๊กสักพักนะ ปองบอกว่าเรายังเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม ถ้าพร้อมเมื่อไหร่ก็กลับมา หลังจากนั้นหนึ่งปีเราก็กลับมาคุยกันและสนิทกันมากขึ้นกว่าเดิมอีก” ปิงปองร่วมแชร์ประสบการณ์ที่อาจเป็นแง่คิดสำหรับใครได้บ้าง

จังหวะรักระยะไกล
เกือบครึ่งทางของสัมพันธ์รักระหว่างปาล์มกับปิงปองนั้นทั้งคู่คบหากันระยะไกล เพราะฝ่ายหญิงใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ สาวปิงปองเล่าว่า “ตอนนั้นเราคบกันแค่ 6 เดือน ปองก็ไปเรียนต่อที่อิตาลี คิดเหมือนกันว่าความสัมพันธ์จะไปรอดไหม แต่เราก็คุยกันว่าลองดูสักตั้งแล้วกัน เพราะถ้าเราผ่านความสัมพันธ์ระยะไกลครั้งนี้ไปได้ ไม่ว่าปัญหาอะไรต่อจากนี้คงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป กลายเป็นว่าการคบกันของเราไม่มีปัญหาเลย คู่เราโชคดีที่พี่ปาล์มทำงานตอนกลางคืน เวลาของเราเลยตรงกัน เขาเลิกงานตี 2 ซึ่งตรงกับเวลาที่อิตาลีตอน 2 ทุ่มพอดี ทำให้มีเวลาคุยกันทุกวัน ใช้ระบบการไว้เนื้อเชื่อใจกันล้วนๆ”
แต่เรื่องราวความรักระยะไกลของปาล์มและปิงปองนั้น ไม่ใช่แค่ที่เนเธอร์แลนด์ อิตาลี แต่มีที่อังกฤษด้วย เพราะปิงปองตัดสินใจไปเรียนต่อด้าน Marketing Management เพื่อกลับมาช่วยธุรกิจของครอบครัว ปิงปองเล่าถึงเหตุการณ์ช่วงนั้นว่า “ปองยังสนุกกับการเรียนจึงขอไปเรียนต่อ และตัดสินใจบอกคุณพ่อว่าถ้าสอบ IELTS ผ่านแล้วยื่น portfolio ไปที่มหาวิทยาลัยแล้วผ่าน ปองขอหมั้นกับพี่ปาล์มไว้ก่อน คุณพ่อก็ตกลงตามนั้น ปองคิดว่าก่อนที่เราจะทำการใหญ่ต้องพิสูจน์ให้ทั้งครอบครัวเราและเขาเห็นก่อน สุดท้ายปองก็ได้ไปเรียนและแต่งงานเมื่อปี 2017 เรียกว่าเป็นงานหมั้นกึ่งแต่งงานเพราะเราทั้งคู่ไม่อยากจัดงานแต่งงานใหญ่โต เราไม่ชอบปาร์ตี้ และไม่ได้มีเพื่อนเยอะ เราอยากมีแค่งานเล็กๆ พอให้ผู้ใหญ่และเพื่อนสนิทรับรู้ เราไม่จัดงานแต่ง ไม่มีการจดทะเบียนสมรส ซึ่งคุณพ่อคุณแม่เปิดกว้างมาก หลังจากนั้นสองเดือนก็ไปเรียนต่อที่อังกฤษเลย ตอนคบกันช่วงนั้นราบรื่นดีเหมือนเคย มีครั้งหนึ่งที่พี่ปาล์มตัดสินใจบินเดี่ยวไปอังกฤษครั้งแรกในชีวิต จึงได้เจอกันบ้าง อีกอย่างหนึ่งเพราะเรามีประสบการณ์จากการคบกันตอนที่ปองไปอิตาลีแล้ว”
ปาล์มเล่าย้อนหลังถึงช่วงที่ต้องอยู่ไกลกันว่า “เราเห็นคู่อื่นๆ มีปัญหากัน เพื่อแฟนไปอยู่ต่างประเทศแล้วเลิกรากัน แต่เหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้นกับคู่ของเรา เราไม่เคยมีปัญหาจนถึงขั้นต้องเลิกรา ผมรู้สึกว่าเราโชคดีที่ใส่ใจกันในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การพูดจากันดีๆ เติมเต็มด้วยการบอกรัก ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมและปองมาก เราจึงหมั่นเติมเต็มความรักให้แก่กันเสมอ เลยรู้สึกว่าไม่มีอะไรขาดหายหรือขาดตกบกพร่อง”

เมื่อถามถึงวิธีบริหารจัดการรักระยะไกล เพื่อส่งต่อประสบการณ์ให้ผู้อ่านที่อาจอยู่ในความสัมพันธ์ลักษณะเดียวกันนี้ได้นำไปปรับใช้ ปิงปองเล่าว่า “เราใช้แอพพลิเคชั่นที่ดูได้ว่าแต่ละคนเดินทางไปที่ไหน กลับถึงบ้านหรือยัง ปองลองใช้แอพฯ นี้ตั้งแต่ตอนอยู่เมืองไทยเพราะเดินทางคนเดียวบ่อย เคยขับรถไปหาเพื่อนที่พัทยาแล้วโดนเจาะยางรถยนต์ เราใช้แอพฯ นี้เพื่อจะได้รู้ว่าตอนนี้เราและเขาอยู่ที่ไหน ซึ่งใช้ได้ดีกับคู่เราตอนที่ปองอยู่ต่างประเทศ เพราะตั้งแจ้งเตือนได้ว่ากลับถึงบ้านแล้ว ช่วยให้เขาไม่เป็นห่วงมากนัก และยิ่งสร้างความไว้ใจกันยิ่งขึ้นเพราะเราไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังกัน วิธีนี้สะดวกสำหรับความสัมพันธ์ระยะไกลในเรื่องความไว้เนื้อเชื่อใจ ปองบอกกับเพื่อนเสมอว่าความสัมพันธ์แบบนี้ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ถ้าเราคิดว่าจะร่วมชีวิตกับคนคนนี้จริงๆ มันไม่มีอะไรน่ากลัวหรอก ปองมองว่าความไว้เนื้อเชื่อใจสำคัญมาก เขาทำงานร้องเพลง พอเลิกงานแล้วตรงกลับบ้านเลย หรือมีคนมาขอไลน์เขาก็เล่าให้เราฟัง ฉะนั้นถ้าเราไม่มีอะไรปิดบังกันเราก็คบกันด้วยความสบายใจ”
แต่งเติมท่วงทำนองรัก
เมื่อถามถึงบางปัญหาของความรักในวันที่ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน ฝ่ายภรรยาคนสวยบอกว่าไม่มีปัญหาใหญ่โต มีเพียงลักษณะนิสัยบางอย่างที่ต้องปรับ “อาจเพราะพี่ปาล์มเรียนโรงเรียนชายล้วนมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาเป็นผู้ชายที่ห่ามมาก (หัวเราะ) ส่วนปองเป็นผู้หญิงที่อ่อนไหวง่ายมาก ช่วงแรกที่คบกันมีบ้างที่รู้สึกว่าทำไมเขาพูดไม่รักษาน้ำใจกันเลย ไม่เข้าใจการใช้ชีวิตร่วมกับผู้หญิงสักเท่าไหร่ แต่บางครั้งการถกเถียงหรือทะเลาะกันก็เนื่องจากนิสัยบางอย่างของปองเองด้วย พอเราเริ่มมาอยู่ด้วยกัน ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตของเขามากขึ้น ก็พยายามช่วยจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตเขาให้ดียิ่งขึ้น อีกหนึ่งวิธีปรับตัวคือเรียนรู้การหลับหูหลับตาบ้าง (หัวเราะ) หรือเวลาที่เขาต้องไปงานอีเว้นท์ก็คอยถาม เพราะบางทีเขาจำงานสลับกัน ล่าสุดพี่ปาล์มให้ปองเข้ากรุ๊ปเรื่องงานแล้ว ปองก็จดตารางงานลงสมุดไว้คอยเตือนเขา”
เมื่อหันมาทางฝ่ายชายเพื่อฟังคำตอบของคำถามเดียวกัน เขาเล่าว่า “ผมเองก็ต้องปรับตัวเหมือนกัน เพราะในแต่ละวันเราไม่ค่อยได้คิดอะไรมาก อยู่กับเพื่อนผู้ชาย พูดอะไรทำอะไรก็ห่ามๆ เมื่อต้องมาใช้ชีวิตร่วมกัน ก่อนพูดหรือทำอะไรก็ไตร่ตรองมากขึ้น บอกตัวเองตลอดว่าเราพูดแบบนี้ไม่ได้นะเพราะมันทำร้ายจิตใจเขา ขนาดผมคิดก่อนพูดแล้วนะ เมื่อคืนยังทะเลาะกันเรื่องนี้อยู่เลย (หัวเราะ) ถึงจะเป็นเรื่องเดิมแต่ก็ดีขึ้นเพราะเราคิดก่อนพูดมากขึ้น ที่สำคัญคือเขาเข้ามาเติมเต็มในส่วนที่ผมไม่มี ทำให้ชีวิตเรามีระเบียบขึ้นและเขาก็ยังไม่เบื่อที่ต้องดูแลเรา”
ส่วนเรื่องการเติมเต็มความหวานให้ชีวิตคู่ ทั้งเขาและเธอตอบเหมือนกันว่าภาษารักของทั้งคู่นั้นตรงกันอย่างลงตัว ปาล์มบอกทันทีว่า “เห็นภายนอกผมเป็นแบบนี้แต่ที่จริงเป็นคนขี้อ้อนนะ ผมรู้สึกว่าภาษากายของเราทั้งคู่เข้ากันอย่างลงตัว คือเราชอบเหมือนกัน ชอบจับมือ ชอบกอดกัน ชอบแสดงความรักแบบใกล้ชิดกันตลอดเวลา บางทีอยู่ด้วยกันสองคนก็บอก ‘I love you.’ คือขอแค่ได้พูดเพราะไม่ชอบให้อยู่กันแบบเงียบๆ ปองชอบให้ผมบอกรัก ผมเองก็เช่นกัน จึงช่วยให้ความรักของเรายังคงเบ่งบานอยู่ตลอดแม้แต่ในตอนที่เราต้องอยู่ไกลกัน ผมคิดว่าภาษารักของเราสองคนเหมือนกันซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะการสื่อสารในเรื่องความรักนั้นบางคนไม่ชอบให้แตะตัวทั้งๆ ที่ผู้ชายอาจจะชอบ บางคนไม่ชอบให้บอกรักตลอดแต่อีกฝ่ายหนึ่งชอบ แต่คู่เรามีภาษารักที่ตรงกันพอดี ผมมองว่านี่คือโชคดีและเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คลิกกันที่สุด”
ปิงปองยิ้มเขินก่อนเล่าว่า “ปองคิดว่าเราเป็นคู่ที่บอกรักกันบ่อยจนเคยถามกันว่า ‘เธอคิดว่าเราพูดคำว่ารักฟุ่มเฟือยเกินไปไหม’ ส่วนใหญ่คู่เราใช้ภาษากาย เช่น ชอบจับมือไม่ว่าจะไปที่ไหน อย่างขับรถก็จับมือกัน เหมือนกับว่าถ้าอยู่ด้วยกันก็ต้องสัมผัสกัน ก่อนไปทำงานก็บอกรักกัน ปองมองว่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้ช่วยหล่อเลี้ยงให้หัวใจชุ่มชื้น เพราะบางวันเขาไปทำงานทั้งวันก็ไม่ได้คุยกันเลย กว่าพี่ปาล์มจะกลับบ้านก็ตี 1 ตี 2 อีกอย่างคือเรายังไม่รำคาญกัน ชอบแสดงความรักกันแบบนี้ ถ้าอยู่ด้วยกันแล้วเงียบเกินสิบนาที รู้เลยว่าทะเลาะกันอยู่แน่นอน รู้เลยว่าใครคนใดคนหนึ่งกำลังอารมณ์ไม่ดี ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นปอง เขาก็คอยถามว่า ‘เธอเป็นอะไรหรือเปล่า’”
นอกจากนี้ทั้งคู่ยังเผยถึงส่วนสำคัญที่ช่วยเติมเต็มความรักคือ “ครอบครัว” หนุ่มปาล์มบอกว่า “สำหรับความรักของเรา ผมมองว่า ครอบครัวทั้งสองฝ่ายมีส่วนสำคัญมาก เพราะผมมีโอกาสรู้จักคนในครอบครัวของปองก็รู้สึกเลยว่าโชคดีมาก ทุกคนน่ารักมาก อาจด้วยความที่ทุกคนมีความเป็นศิลปินเหมือนกัน คุณพ่อคุณแม่ปองเป็นดีไซเนอร์ ชอบฟังเพลง พี่ชายเขาก็เล่นดนตรี ทำให้ทุกคนมีความเข้าใจในเรื่องอาชีพการงานและชีวิตความเป็นอยู่ของผม เข้าใจความรู้สึกของศิลปิน ผมมองว่าเรื่องนี้สำคัญมาก ท่านเปิดกว้างทุกอย่าง สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องจริงๆ คุณพ่อคุณแม่ของปองน่ารักมาก” ปิงปองกล่าวเสริมว่า “คุณพ่อของปองบอกว่าทุกอาชีพมีคุณค่าเท่ากันหมด แค่คุณขยันและเป็นคนดี อาชีพไม่ใช่ตัวชี้วัด ปองคิดว่าองค์ประกอบความรักของคู่เราไม่ใช่แค่เราสองคนที่เติมเต็มซึ่งกันและกัน แต่ครอบครัวของเราก็ช่วยเติมเต็มในส่วนนี้ด้วยเหมือนกัน”
บทเพลงรัก “จะไม่มีวันเปลี่ยน”
เมื่อให้ทั้งคู่บอกความในใจ สามีให้เกียรติภรรยาบอกความรู้สึกที่อยากบอกกันในวันนี้ก่อน ขอให้คุณผู้อ่านร่วมเป็นสักขีพยาน “เราสองคนเวลามีปัญหาก็เปิดใจพูดจากัน ปองพูดอยู่เสมอว่าถึงแม้เราจะทะเลาะกัน แต่ปองก็รักพี่ปาล์มมากจนเรารู้สึกว่าข้อเสียของเขาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามเป็นเรื่องเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับชีวิตครอบครัวของเรา เขาเป็นคนดี ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร แค่นี้ปองก็รู้สึกโชคดีมากๆ ที่ได้ใช้ชีวิตกับผู้ชายคนนี้ ปองสบายใจที่ได้อยู่กับคนคนนี้ มีบ้างที่คนอื่นมองว่าเขาธรรมดาเกินไป แต่สำหรับเรานั้นพี่ปาล์มคือคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด เขาเป็นผู้ชายคนแรกและคนเดียวที่ปองพาไปเจอครอบครัว คุณพ่อไม่มีข้อสงสัยอะไรในตัวพี่ปาล์มเลย ยิ่งทำให้เรารู้สึกว่าพี่ปาล์มคือคนที่ใช่สำหรับเราจริงๆ แบบเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ ปองบอกเขาเสมอว่า ถ้าไม่รักกันแล้วให้บอกเพราะปองรับได้มากกว่าการไปมีคนอื่น ขออย่างเดียวคืออย่าโกหก ขอให้พูดตรงๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นเราจะก้าวข้ามไปได้หรือไม่ค่อยว่ากัน”
ปาล์มมองภรรยาด้วยแววตาเป็นประกายก่อนเอ่ยว่า “ปองเป็นคนอ่อนไหวง่ายมาก ผมเป็นห่วงแต่ทำได้แค่ให้กำลังใจ มีบางครั้งที่เขาน้อยใจตัวเอง ผมไม่อยากให้เขาคิดมากเพราะทุกคนรักเขา ผมโชคดีมากที่มีปองเข้ามาในชีวิตและใช้ชีวิตร่วมกัน ด้วยบทบาทหน้าที่ของเราที่เป็นนักร้องนักดนตรีทำให้ต้องพบปะผู้คนมากมาย ถ้าเราเริ่มมีสัมพันธ์กับหญิงอื่นเราก็รู้สึกผิดต่อปองแล้ว เพราะฉะนั้นผมจะไม่มีทางเริ่มต้นความสัมพันธ์กับหญิงอื่นหรือตัดสัมพันธ์ของเราลง เพราะผมคิดว่าไม่สามารถหาผู้หญิงที่ดีแบบปองได้อีกแล้ว” ปาล์มพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและน้ำตาคลอ แล้วการสัมภาษณ์ก็จบลงเพียงเท่านี้ แต่บทเพลงรักของเขาและเธอยังคงบรรเลงต่อไป
" ปองชอบให้ผมบอกรัก ผมเองก็เช่นกัน จึงช่วยให้ความรักของเรายังคงเบ่งบานอยู่ตลอดแม้แต่ในตอนที่เราต้องอยู่ไกลกัน ผมคิดว่าภาษารักของเราสองคนเหมือนกันซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญ "
— ปาล์ม-นิติภูมิ ภู่กฤษณา

รักหลากทางเลือก
รักหลากทางเลือก
ยิ่งชีวิต มีทางเลือกมากเท่าไร
ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น
ชีวิตยิ่งมีทางเลือกน้อยเท่านั้น
ก็ยิ่งไร้ความสุข
ถ้าชีวิตวันนี้คุณเลือกได้ จะกินข้าวนอกบ้านหรือกินที่บ้าน
กินข้าวหรือกินก๋วยเตี๋ยว กินอาหารจีน ไทย ญี่ปุ่น
เวลาไปทานอาหารบุฟเฟ่ต์ ยิ่งมีให้เลือกมากยิ่งมีความสุขกับการกินมาก
เคยเห็นร้านอาหารบางร้าน เมนูหนาอย่างกับวิทยานิพนธ์ เปิดแล้วเปิดอีกก็ไม่หมด นั่นก็น่ากิน นี่ก็น่าลอง
แต่ถ้าไปเจอบางร้าน เปิดเมนูมีแผ่นเดียว พอสั่งไป
ข้าวหมด ก๋วยเตี๋ยวหมด แกงหมด สลัดหมด ผัดหมด
ตอนนี้เหลือ 2 อย่างให้เลือก
อะไร?
จะแดก หรือ ไม่แดก
อย่างนี้ ชีวิตคงไม่มีความสุขสักเท่าไร
วันหยุดเราอยากไปไหน หรืออยากนอนสบายๆ อยู่ที่บ้านก็ไม่มีใครว่า เพราะเรามีทางเลือก
นั่นคือสาเหตุที่ คนที่อยู่ในเรือนจำ มีความสุขน้อยกว่าคนอยู่ข้างนอก
เพราะต้องตื่นพร้อมกัน นอนพร้อมกัน ออกกำลังกายพร้อมกัน กินพร้อมกัน เลือกไม่ได้ต้องกินเหมือนๆ กัน
ความสุขจึงน้อยลงไป ตามทางเลือกที่แคบลงๆ
ในเรื่องของความรักก็เช่นกัน ถ้าทางเลือกมีน้อย ความสุขจะมีมากได้ยังไง
เช่น ถ้าคิดว่ารักกันต้องได้แต่งงานกันเท่านั้น จึงจะมีความสุข
แต่งงานกันแล้วต้องมีลูกด้วยกัน จึงจะมีความสุข
ลูกต้องเรียนเก่งๆ เข้ามหาวิทยาลัยดีๆ คณะยอดนิยมเท่านั้น จึงจะมีความสุข
เมื่อมีลูกสาวสวย สามีต้องหล่อจะได้โชว์คนอื่นได้ ถ้าไม่ได้ไม่มีความสุข
งานแต่งต้องจัดใหญ่ เชิญแขกเหรื่อสัก 3,000 คน จะได้ไม่น้อยหน้าใคร จะได้มีความสุข
สินสอดต้องไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน ถ้าน้อยกว่านั้น ไม่มีความสุข
สามีต้องไม่เจ้าชู้ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน รักครอบครัว อุทิศตัวให้ลูกเมียตลอดเวลา ธรรมะธัมโม หาเงินให้ใช้ไม่ขาดมือ
ถ้ากำหนดทางเลือกไว้เท่านี้ รับประกันได้เลยว่า ไม่มีความสุข
เพราะถ้าคิดว่าคนรักกันต้องได้แต่งงานกันเท่านั้น จึงจะมีความสุข
คือกำหนดความสุขไว้ทางเดียวคือ ไม่ได้แต่งงานไม่มีความสุข
พอไม่ได้แต่งก็ทุกข์ใจ
แต่ความสุขควรเริ่มจากทางเลือกแต่งงานกันก็ได้ ไม่แต่งก็ไม่เป็นไร เรายังรักกันได้เหมือนเดิม
เรารักเขาเราก็สุข แม้เขาจะไปแต่งงานกับคนอื่น ความสุขของเขาก็เหมือนความสุขของเรา อย่างนี้ก็สุขได้
จากคนเคยรัก วันนี้เป็นแค่คนรู้จัก ก็มีความสุขได้
ความรักควรมีทางเลือกที่หลากหลาย ไม่มีทางไหนที่ดีและมีความสุขที่สุด
แอบรักเขาก็สุขได้
รักเขาข้างเดียวก็สุขได้
รักเพราะเขาเป็นเขาก็สุขได้
เขาไม่ต้องดีสมบูรณ์แบบมากก็รักเขาได้
ไม่เคยเจอตัวเป็นๆ ก็รักเขาได้
รักเขาไม่ต้องอยู่ร่วมกันก็ได้
ต่อให้อยู่คนละฝั่งโลกแสนไกล ก็ยังรักกันได้
ถ้ารักได้หลากหลายแบบนี้ จะมีแต่คนอิจฉา เพราะเป็นความรักที่ผาสุก
ถ้าใครบอกว่า รักที่สมบูรณ์ต้องแต่งงานอยู่กินด้วยกันเท่านั้น
คู่ที่แต่งงานอยู่กินกัน ก็ไม่ได้มีความสุขทุกคู่ บางคู่ทะเลาะแยกทาง จากเป็นจากตายกันมากมายหลายคู่
ต้องมีสามีภรรยายอดดี ถึงจะมีความสุข ก็ไม่แน่เสมอไป
สามีแสนดีถูกทิ้งเป็นพ่อหม้าย ภรรยาที่เพียบพร้อมกุลสตรี ถูกทิ้งให้เป็นแม่หม้ายอยู่เกลื่อนกลาดไป
ต่อให้ดีแค่ไหน คนจะไปมันก็ไป
ชั่วร้ายอย่างหาตัวจับไม่ได้ คนจะไม่ไปก็ได้อยู่กันต่อไป
ความรักหลากทางเลือก เป็นที่มาของความรักที่มีความสุข
สุขเพราะได้เลือกว่าจะรักกันแบบไหน
และสุขกว่าสุขใดๆ คือ เลือกได้ว่าจะรักหรือไม่รัก
คอลัมน์ผู้ชายขั้วลบ : จตุพล ชมภูนิช
ความรักควรมีทางเลือกที่หลากหลาย ไม่มีทางไหนที่ดีและมีความสุขที่สุด
อ.จตุพล ชมภูนิช

กล้ามเนื้อลายสลาย อันตรายใกล้ตัวคุณ
เทรนด์การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คนที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อนต่างก็สรรหาวิธีต่างๆ เพื่อผลักดันตนเองให้หมั่นออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเข้าคอร์สออกกำลังกาย การเข้าร่วมรายการแข่งขัน การตั้งเป้าหมายให้สูงและมุ่งข้ามขีดจำกัดของตนเอง ในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องดีที่เราสามารถออกกำลังได้มากขึ้น แต่ในทางกลับกันก็ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ คือเกิดความเสียหายของกล้ามเนื้อ
กล้ามเนื้อลายสลายตัวเป็นอาการที่กล้ามเนื้อเกิดความบาดเจ็บเสียหาย ซึ่งหากถึงขั้นรุนแรงหรือปล่อยให้เป็นนานเกินไป ก็จะเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายจนถึงแก่ชีวิตหรือต้องพักฟื้นเป็นเวลานาน แต่หากตระหนักและระวังภาวะนี้เอาไว้ก่อน เมื่อเกิดขึ้นก็จะสามารถลดความรุนแรงในภายหลังได้
กล้ามเนื้อลายสลายตัวอันตรายอย่างไร
เมื่อพูดถึงกล้ามเนื้อสลายตัว ฟังดูก็ไม่น่าจะมีอะไรมากนอกจากอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ แต่ที่จริงแล้วมันอันตรายกว่านั้นครับ เมื่อกล้ามเนื้อเกิดความเสียหายไม่ว่าด้วยสาเหตุใด เซลล์กล้ามเนื้อที่เสียหายจะแตกตัวออก สารต่างๆ ที่อยู่ภายในเซลล์นั้นจึงถูกปล่อยออกมา เช่น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส และมัยโอโกลบิน ในกรณีที่กล้ามเนื้อเสียหายไม่มาก ร่างกายก็มีกลไกเพื่อขับสารเหล่านี้ออกจากร่างกายอยู่แล้ว แต่ถ้ากล้ามเนื้อเสียหายมากๆ จนร่างกาย ไม่อาจเยียวยาปัญหาก็จะเกิดขึ้น
มัยโอโกลบินเป็นสารซึ่งร่างกายใช้จับออกซิเจนให้แก่กล้ามเนื้อ หากมีปริมาณมากเกินไปเราก็จะเริ่มเห็นสีปัสสาวะเป็นสีแดง จากนั้นจะเกิดการตกตะกอนภายในท่อไต และเกิดไตวายได้
โพแทสเซียมและฟอสฟอรัสที่สูงขึ้น หากเกิดร่วมกับการทำงานของไตที่ลดลงก็อาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
สาเหตุ
สาเหตุของกล้ามเนื้อลายสลายตัวมีหลายอย่าง
1. การบาดเจ็บต่อกล้ามเนื้อโดยตรง เช่น เกิดอุบัติเหตุแล้วกล้ามเนื้อถูกกระแทกแรงๆ เช่น ตกจากที่สูง ถูกรถชน ถูกทุบตี หรือกล้ามเนื้อถูกกดทับเป็นเวลานานๆ เช่น หมดสติแล้วแขนขาอยู่ในท่าที่ถูกกดทับ
2. เส้นเลือดที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อเสียหาย เช่น การบาดเจ็บที่เส้นเลือดโดยตรง การเกิดลิ่มเลือดอุดตัน หรือหมดสติแล้วเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อถูกกดทับ
3. กล้ามเนื้อถูกใช้งานอย่างรุนแรงหนักหน่วง เช่น ออกกำลังกายหักโหมด้วยการวิ่งระยะไกลเป็นเวลานานๆ ยกน้ำหนักที่หนักอึ้ง ปั่นจักรยานที่ใช้แรงต้านมากๆ ปั่นเร็วๆ การชักเกร็งเป็นเวลานาน การถูกไฟฟ้าช็อต การเกร็งจากโรคบาดทะยัก
4. อุณหภูมิร่างกายผิดปกติ เช่น ในภาวะลมแดดหรือความหนาวเย็นรุนแรงจนกล้ามเนื้อมีอาการบาดเจ็บ
5. ถูกพิษจากงู แมลง เห็ด และพืชหลายชนิดทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อลายสลายตัวได้
6. ภาวะเกลือแร่และกรดด่างของร่างกายผิดปกติ ในภาวะที่เกลือแร่ต่ำ น้ำตาลสูง หรือเลือดมีความเป็นกรดสูง กระบวนการแลกเปลี่ยนน้ำและเกลือแร่ของเซลล์ที่ผิดปกติไปทำให้กล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บและสลายตัวได้
7. ยาและสารเคมี เช่น ยาบ้า เฮโรอีน ยาลดไขมันในเส้นเลือด และยาจิตเวชบางชนิด ยาที่ใช้ในการดมยาสลบ
8. การติดเชื้อ การติดเชื้อทั้งแบคทีเรียและไวรัสที่เห็นว่ามีปวดๆ กล้ามเนื้อนั้น ในบางกรณีที่เป็นรุนแรงก็อาจถึงขั้นภาวะกล้ามเนื้อสลายตัวได้
อาการ
สำหรับอาการหลักของกล้ามเนื้อลายสลายตัวนั้น ผู้ป่วยจะมีอาการปวดและอ่อนล้ากล้ามเนื้อในตำแหน่งที่ผิดปกติ เราอาจสังเกตได้จากปัสสาวะสีแดงเข้มหรือสีน้ำตาลอันเกิดจากมัยโอโกลบินที่หลุดออกมาในปัสสาวะ
นอกจากนี้ยังอาจเกิดอาการไม่จำเพาะอื่นๆ ด้วย เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน มึนงงสับสน หัวใจเต้นเร็ว ปัสสาวะออกน้อยกว่าปกติ ความดันผิดปกติ หากมีอาการดังกล่าวเกิดขึ้นก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาให้แน่ชัด
แล้วจะตรวจวินิจฉัยอย่างไร
หากมีประวัติ อาการ สภาพร่างกาย และปัจจัยเสี่ยงที่น่าสงสัยว่าเป็นโรคนี้ ก็จะมีการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจค่าของสารครีตีนไคเนส (อันเป็นสารที่พบในกล้ามเนื้อที่เสียหาย คนซึ่งกล้ามเนื้อลายสลายตัวนั้นพบค่านี้สูงกว่าคนปกติถึง 10 เท่า) การตรวจค่าการทำงานของไต ตรวจปัสสาวะ
ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือความเสี่ยงสูง ก็จะมีการตรวจค่าที่เกี่ยวข้องกับภาวะแทรกซ้อนจากภาวะกล้ามเนื้อสลายตัว เช่น โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสเฟต ค่าความเป็นกรดด่างของเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ
การรักษา
เนื่องจากภาวะกล้ามเนื้อสลายตัวชนิดรุนแรงมีโอกาสเกิดไตวายหรือเสียชีวิตได้ การรักษาตั้งแต่แรกที่ยังเป็นไม่มากจึงมีส่วนช่วยให้อัตราการตายลดลงและร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
1. กำจัดสาเหตุ หากหาสาเหตุได้ การจัดการกับสาเหตุจะช่วยยับยั้งกล้ามเนื้อที่เหลือไม่ให้สลายตัวมาซ้ำเติมร่างกายที่กำลังป่วยได้
2. ให้สารน้ำอย่างเพียงพอ เพื่อช่วยขับของเสียออกทางปัสสาวะและป้องกันไตวาย
3. รักษาระดับของของเสียและเกลือแร่ในเลือด มักมีการเจาะตรวจเลือดเป็นระยะตามความรุนแรงของโรค เพื่อป้องกันภาวะเกลือแร่ผิดปกติรุนแรงอันจะส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ
4. การฟอกเลือดล้างไต ในรายที่มีไตวายหรือเกลือแร่ผิดปกติรุนแรงซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่น อาจจะมีการฟอกเลือดล้างไตเพื่อจัดการกับของเสียหรือเกลือแร่ผิดปกตินั้น
อ่านดูแล้วอาจจะน่ากลัว ทั้งนี้ในกรณีที่อาการไม่ชัดเจนหรือเป็นไม่มาก อาจจะไม่ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาล แต่เป็นการกลับไปพักที่บ้าน ดื่มน้ำให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงสาเหตุที่สงสัยแล้วนัดกลับมาตรวจเป็นระยะๆ ภายหลัง
การป้องกันและเฝ้าระวัง
ผู้ป่วยกล้ามเนื้อลายสลายตัวส่วนใหญ่มักมีอาการรุนแรงจนต้องไปโรงพยาบาลตั้งแต่แรก จึงขอพูดถึงการป้องกันระวัง การออกกำลังกายและการใช้ยา อันเป็นสาเหตุที่หลายคนอาจจะไม่ทันระวังตัวครับ
1. การออกกำลังกาย ควรออกกำลังกายให้เหมาะสม ไม่หักโหมจนเกินไป ค่อยๆ ปรับระดับความเข้มข้นในการออกกำลังกาย มีการสลับสับเปลี่ยนกล้ามเนื้อส่วนที่ใช้ออกกำลัง เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักและซ่อมแซมตนเอง
2.ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายในสภาพอากาศร้อนจัด อุณหภูมิที่สูงเกินไปของร่างกายย่อมเสี่ยงต่อการเกิดกล้ามเนื้อบาดเจ็บ อีกทั้งการขาดน้ำจะทำให้เลือดไปเลี้ยงไตน้อยลง อาการของภาวะนี้จึงรุนแรงขึ้น การได้น้ำที่เพียงพอจะช่วยลดความรุนแรงได้
3.หลีกเลี่ยงการใช้ยาแก้ปวดต้านการอักเสบหลังออกกำลังกายหรือในผู้ที่เสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อสลายตัว บางคนเมื่อมีอาการปวดกล้ามเนื้อมากๆ ก็ใช้ยาต้านการอักเสบเพื่อบรรเทาปวด แต่นอกจากจะบดบังอาการแล้ว ยาต้านการอักเสบหลายชนิดยังลดเลือดที่ไปเลี้ยงไต ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดไตวายเฉียบพลันได้มากกว่าปกติ
4.ในผู้ที่ใช้ยาหรือสารที่มีความเสี่ยงต่อภาวะนี้ หากมีอาการปวดกล้ามเนื้อรุนแรง ล้า หรือปัสสาวะสีเข้ม ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วการดูแลรักษาตั้งแต่ต้นจะช่วยให้ความรุนแรงของโรคลดลงและมีโอกาสฟื้นตัวเป็นปกติได้ง่ายขึ้นครับ
ขอบคุณบทความจาก : หมอแมว
คอลัมน์รักษ์สุขภาพ
Hug Magazine
ปัตตานี เมืองงามสามวัฒนธรรม
ปัตตานี เมืองงามสามวัฒนธรรม
“บ้านเราเราก็รัก บ้านเราเราก็ห่วง” ปัตตานีไม่ได้มีเพียงแค่สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อีกหนึ่งความโดดเด่นของเมืองปัตตานี คือความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมซึ่งผู้คนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างงดงาม เราจึงตั้งใจไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญของแต่ละวัฒนธรรมในเมืองปัตตานี

เริ่มกันที่ศูนย์รวมจิตใจพุทธศาสนิกชนในภาคใต้ “วัดราษฎร์บูรณะ” หรือที่รู้จักกันว่า “วัดช้างให้” วัดเก่าแก่กว่า 300 ปี ตามตำนานเล่าว่าเจ้าเมืองไทรบุรีได้ทำพิธีเสี่ยงทายปล่อยช้างให้ออกเดินทางไปในป่า เพื่อหาสถานที่สำหรับการสร้างเมืองแห่งใหม่ให้แก่น้องสาว ช้างเชือกนั้นเดินมาหยุดอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง แล้วร้องดังขึ้นสามครั้งอันถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เจ้าเมืองไทรบุรีจึงสร้างเมืองขึ้นในบริเวณนี้ แต่ไม่เป็นที่พอใจแก่น้องสาว เจ้าเมืองไทรบุรีจึงได้สร้างวัดไว้แทนให้ชื่อว่า “วัดช้างให้” และนิมนต์ “สมเด็จพะโคะ” หรือ “หลวงปู่ทวดเหยียบทะเลน้ำจืด” มาเป็นเจ้าอาวาสองค์แรก ต่อมาเมื่อท่านมรณภาพลงและมีการฌาปนกิจแล้วบรรจุอัฐิไว้ที่วัดแห่งนี้ พุทธศาสนิกชนที่ศรัทธาหลวงปู่ทวดจึงหลั่งไหลกันมาสักการะหลวงปู่ที่วัดช้างให้กันไม่ขาดสาย

จากนั้นเราเดินทางไปยัง “มัสยิดกรือเซะ” หรือ “มัสยิดสุลต่านมูซัฟฟาร์ชาห์” สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หน้าต่างก่ออิฐเป็นซุ้มโค้ง ทางเข้าออกเป็นซุ้มโค้งปลายแหลม มีเสากลมก่ออิฐรองรับ โดมหลังคาอยู่ในสภาพไม่สมบูรณ์ ได้รับการซ่อมแซมให้สามารถประกอบศาสนกิจได้ คาดว่าเป็นมัสยิดในศิลปะแบบเปอร์เซีย สวยงามดูมีมนต์ขลังมาก
มัสยิดกรือเซะในบริเวณเดียวกันกับมัสยิดเป็นที่ตั้งของ “สุสานเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” เป็นที่รู้จักกันดีของพี่น้องชาวจีนในประเทศไทยและมาเลเซีย ตามตำนานเล่าว่า “ลิ้มกอเหนี่ยว” สาวชาวจีนฮกเกี้ยนลงเรือสำเภาไปยัง “เมืองตานี” เพื่อตามหา “ลิ้มโต๊ะเคี่ยม” ผู้เป็นพี่ชาย และขอให้เดินทางกลับเมืองจีนตามความประสงค์ของมารดา แต่นางพบว่าพี่ชายได้แต่งงานกับลูกสาวของพระยาตานี และเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม จึงไม่สามารถเดินทางกลับไปเมืองจีน ลิ้มกอเหนี่ยวได้ให้คำสัตย์ไว้กับมารดา หากไม่สามารถตามพี่ชายกลับไปได้จะไม่ขอมีชีวิตอยู่ นางจึงผูกคอตายที่ต้นมะม่วงหิมพานต์ ลิ้มโต๊ะเคี่ยมได้ฝังศพนางไว้ที่หมู่บ้านกรือเซะ บริเวณนอกเมืองตานี ชาวบ้านเชื่อว่าดวงวิญญาณของลิ้มกอเหนี่ยวยังคงวนเวียนอยู่ คอยให้โชคลาภแก่ผู้ที่ไปบนบานศาลกล่าว การค้าขายที่เคยซบเซากลับรุ่งเรือง ทำให้เกิดความเลื่อมใสเป็นอย่างมาก จึงได้นำกิ่งมะม่วงหิมพานต์มาแกะสลักเป็นรูปเหมือนนาง และได้สร้างศาลเล็กๆ ขึ้นใต้ต้นมะม่วงหิมพานต์แห่งนั้น
ต่อมาชาวจีนในจังหวัดปัตตานีเห็นว่า ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธานั้น ตั้งอยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ไม่สะดวกแก่การประกอบพิธี จึงร่วมกันสร้างศาลเจ้าแห่งใหม่ในเมืองปัตตานี ชื่อ “ศาลเจ้าเล่งจูเกียง” และได้อัญเชิญรูปสลักของเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวมาประดิษฐาน ณ ศาลเจ้าแห่งนี้ รู้จักกันในชื่อ “ศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 3 ของทุกปีมี “งานประเพณีแห่เจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยว” เป็นงานสมโภชที่ยิ่งใหญ่ มีการแสดงมหรสพ 7 วัน 7 คืน ชาวจีนทั้งในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านต่างหลั่งไหลมาสักการะเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวกันอย่างหนาแน่น
บนถนนอาเนาะรู ถนนสายเดียวกับที่ตั้งของศาลเจ้าแม่ลิ้มกอเหนี่ยวเป็นย่านเมืองเก่าปัตตานี เรียกตามภาษาพื้นเมืองว่า “กือดาจีนอ” ที่แปลว่า “ตลาดจีน” แต่เดิมเป็นย่านการค้าสำคัญ มีท่าเทียบเรือสำหรับชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายแลกเปลี่ยน มีด่านเก็บภาษี ย่านนี้จึงมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก สถาปัตยกรรมในย่านนี้มีทั้งบ้านเรือนย้อนยุค อาคารพาณิชย์แบบจีนดั้งเดิม บ้านกงสี บ้านที่เคยเปิดเป็นโรงเตี๊ยม บ้านเลขที่ 1 ของเมืองปัตตานีก็ตั้งอยู่ในย่านนี้ ปัจจุบันย่านเมืองเก่าปัตตานีได้รับการฟื้นฟูให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง ด้วยการเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ สามารถเข้าเยี่ยมชมบ้านเรือนสำคัญในย่านเพื่อเรียนรู้ความเป็นมา หรือจะเดินเล่นถ่ายภาพชิคๆ ก็เพลิดเพลินอีกแบบ
นาซิฆูลา
อีกสิ่งที่ไม่ควรพลาดหากได้มาเยือนปัตตานี คืออาหารพื้นเมือง เริ่มด้วยอาหารจานหลักที่เป็นข้าวแกงเรียกว่า “นาซิฆูลา” มีลักษณะเป็นข้าวมัน ราดด้วยแกงหรือปลาทอดไก่ทอด เมนูที่ต้องแนะนำคือข้าวมันมลายูเรียกว่า “นาซิลือเมาะ” เป็นข้าวมันราดน้ำพริกราดแกง พร้อมกับเครื่องเคียงเป็นไก่ทอดปลาขนาดเล็กทอดและไข่ต้ม ตามด้วยของหวานและชาร้อน ฟินอย่าบอกใครเลย อิ่มท้องแล้วต่อด้วยการเยี่ยมชม “มัสยิดกลางปัตตานี” สถานที่ประกอบศาสนกิจสำคัญของพี่น้องมุสลิมในภาคใต้ มัสยิดได้รับฉายาว่า “ทัชมาฮาลเมืองไทย” เนื่องจากรูปแบบสถาปัตยกรรมได้รับแรงบันดาลใจทัชมาฮาล มัสยิดกลางปัตตานีเป็นมัสยิดขนาดใหญ่ มีทางเดินทอดยาวมุ่งเข้าสู่มัสยิด สองข้างทางปลูกต้นไม้และจัดสวนไว้อย่างสวยงาม ด้านหน้ามัสยิดมีสระน้ำสีเขียวมรกตขนาดใหญ่ สะท้อนภาพของมัสยิดได้อย่างตรึงตา ตัวมัสยิดสีขาวสลับส้ม มีโดมขนาดใหญ่สีเขียวอลังการกับฉายาทัชมาฮาลเมืองไทยเลยจริงๆ

เราปิดทริปนี้ที่ “Patani Art Space” ตามความคิดริเริ่มของ “อาจารย์เจะ-ผศ.เจะอับดุลเลาะ เจ๊ะสอเหาะ” ผู้ต้องการให้ลูกศิษย์มีพื้นที่ทำงานศิลปะตามอุดมการณ์ คนส่วนใหญ่รู้จักปัตตานีอยู่แล้ว แต่อาจรู้จักเพียงด้านลบ อาจารย์ตั้งใจแสดงให้คนรู้จักในด้านบวกมากขึ้น จึงเปิดโอกาสให้เยาวชนและศิลปินชายแดนใต้ ได้แสดงฝีมือด้านศิลปะเพื่อสะท้อนอัตลักษณ์ของท้องถิ่น ประยุกต์ใช้วัสดุและเทคนิคจากท้องถิ่นเอง ก่อเกิดงานศิลปะร่วมสมัย แบ่งพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นแกลเลอรีหมุนเวียนแสดงงานศิลปะ เพื่อให้เยาวชนศิลปินท้องถิ่นได้ทำงาน อีกส่วนหนึ่งเป็นร้านกาแฟสำหรับนั่งเสพบรรยากาศ ตั้งอยู่ท่ามกลางท้องทุ่งนาเขียวขจี มีลมโชยชายเย็นสบาย
ทั้งที่ทริปนี้เรามีเวลามาเยือนปัตตานีเพียงน้อยนิด แต่เราก็ได้รู้จักปัตตานีอีกแง่มุมหนึ่งที่เราไม่เคยรู้จัก ก่อนหน้านี้คำว่า “สามจังหวัดชายแดนใต้” เป็นพื้นที่อันตราย เป็นคำที่แบ่งแยกความเป็นเขาและเรา แต่การเดินทางครั้งนี้ทำให้เราตระหนักว่าที่นี่ยังมีชีวิต มีพ่อแม่ พี่น้อง ลุงป้าน้าอา ที่นี่มีครอบครัว ที่นี่ยังมีความรู้สึกนึกคิด เหมือนกับคนจังหวัดอื่นๆ และที่สำคัญ “ที่นี่มีความสุข”
Hug magazine 16 พฤษภาคม 63

Issue 138 ความรักต้องชัดเจน
กิ๊ฟ-สิรินาถ สุคันธรัต
15 May-14 July 2020
ใน ค.ศ.2020 ความรักความสัมพันธ์ของคนมากมายได้เปลี่ยนแปลงไป เหตุผลหนึ่งคือต้องเว้นระยะห่างทางกายให้พ้นภัยเชื้อโควิด-19
ทุกวันนี้การได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของใครสักคนกลับกลายเป็นเรื่องยากเต็มที เพราะต่างคนต่างมีหน้ากากปิดบังไว้ สิ่งหนึ่งที่สะท้อนผ่านเหตุการณ์นี้คือ ทุกคนต้องปรับตัวและปรับใจน้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่กระทบวิถีชีวิต เพื่อผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ให้จงได้
กิ๊ฟ-สิรินาถ สุคันธรัต คือผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเสน่ห์ทางความคิด และรูปร่างหน้าตาอันเย้ายวนชวนค้นหา เธอคือหญิงสาววัย 25 ที่รู้ความต้องการอันแท้จริงของตัวเอง วางแผนชีวิตล่วงหน้า 5-10 ปี มีจุดหมายชัดเจนจนเธอมองเห็นภาพตัวเองในอนาคตได้กระจ่าง นิยามความเป็นเธอที่ดังก้องในใจคือ “ชัดเจน”
หลังจากได้เห็น กิ๊ฟ-สิรินาถ สุคันธรัต ทุ่มเทกับการถ่ายแบบในฮักฉบับนี้โดยไม่มีบ่นจนงานเสร็จแล้ว เราก็มีโอกาสสัมภาษณ์เรื่องราวชีวิตและความรักของเธอในบรรยากาศเป็นกันเอง ราวกับได้พูดคุยกับน้องสาวคนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี เราแทบไม่เชื่อเมื่อเธอบอกว่า “กิ๊ฟเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง” เพราะเสียงหัวเราะของเธอช่างเปิดเผยและจริงใจ
รักเรายังชัดเจนแม้เว้นระยะห่าง
Hug magazine
คลอดก่อนกำหนด ภาวะเสี่ยงที่ต้องระวัง - พญ.ดาริน จตุรภัทรพร
การคลอดก่อนกำหนดคือการคลอดตั้งแต่อายุครรภ์ 20 สัปดาห์ จนถึงก่อนอายุครรภ์ 37 สัปดาห์ หรือคลอดก่อน 259 วัน นับจากวันแรกที่ประจำเดือนมาครั้งสุดท้าย ร่วมพูดคุยกับหมอเป้-พญ.ดาริน จตุรภัทรพร แพทย์โรงพยาบาลวัฒโนสถ คุณแม่ลูกสองที่ผ่านประสบการณ์คลอดก่อนกำหนดในท้องแรก เมื่อครั้งให้กำเนิดน้องลินลา น้ำหนัก 555 กรัม ด้วยอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ มาติดตามกันว่ากว่าเด็กจิ๋วจะใหญ่จนวัยครบ 6 ขวบ น้องลินลาและครอบครัวต้องผ่านอะไรมาบ้าง
รักก่อนกำเนิด เกิดก่อนกำหนด
เพจเฟซบุ๊กชื่อ “รักก่อนกำเนิด เกิดก่อนกำหนด” เป็นช่องทางซึ่งคุณหมอเป้สร้างขึ้นเพื่อให้ความสำคัญแก่การคลอดก่อนกำหนด และเพื่อแบ่งปันความรู้แก่ผู้สนใจ คุณศุ บุญเลี้ยงเป็นผู้ตั้งชื่อเพจให้
“เราเริ่มทำเพจ ‘รักก่อนกำเนิด เกิดก่อนกำหนด’ ตอนที่ลินลาเกิดมาได้ประมาณหนึ่งขวบครึ่ง เกิดจากความอยากรู้ว่าเด็กที่เกิดมาด้วยน้ำหนักตัวน้อยมากๆ จะสามารถเติบโตได้อย่างไร มีปัญหาสุขภาพอะไรไหม พัฒนาการทุกด้านเป็นอย่างไร ตอนนั้นหาข้อมูลเยอะมาก ข้อมูลจากเว็บไซต์ต่างประเทศก็มีคนที่เขียนบล็อกไว้บ้าง จากจุดนั้นจึงเกิดความรู้สึกว่าน่าจะมีคนซึ่งประสบการณ์ใกล้เคียงกันที่อยากเห็นว่าเด็กที่คลอดก่อนกำหนดเติบโตได้อย่างไรบ้าง จึงแบ่งปันประสบการณ์ตรงจากการคลอดน้องลินลาว่า ตอนที่คลอดนั้นเป็นยังไง มีเรื่องราวอะไรที่เราประสบมาแล้วอยากส่งต่อ และจากการอ่านหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาเยอะจึงมีการให้ความรู้ด้วย เพจนี้บรรลุวัตถุประสงค์ในแง่การสร้างกำลังใจมากกว่าให้ความรู้ เพราะเมื่อหลายคนเห็นว่าเด็กที่คลอดก่อนกำหนดในช่วง 24 สัปดาห์นั้นสามารถเติบโตได้ เขาก็จะหาความรู้อื่นๆ ต่อยอด
“หลังจากแชร์รูปของลินลาก็มีพ่อแม่ส่งรูปลูกที่คลอดก่อนกำหนดเข้ามาว่า ลูกเขาตอนเกิดก็มีน้ำหนักตัวน้อยมาก ปัจจุบันลูกเขาเติบโตน้ำหนักเท่านี้แล้วนะ เมื่อมีการแบ่งปันรูปเด็กๆ เหล่านี้ก็ส่งผลให้พ่อแม่ที่มีประสบการณ์เดียวกันมีแรงสู้ต่อ บางคนมีแรงกลับไปปั๊มนม อาจบอกได้ว่าเพจนี้ช่วยในแง่กำลังใจ และอยากมีส่วนช่วยให้เด็กคลอดก่อนกำหนดแข็งแรง เป็นคนดี และมีความสุข ในเพจมีคอลัมน์หนึ่งชื่อ ‘ลงรูป เล่าเรื่อง ลูกรัก’ เปิดพื้นที่ให้พ่อแม่ส่งรูปลูกเข้ามา มีเคสที่น่าสนใจและจุดประกายให้ใครหลายคนได้ บางคนอาจกำลังมองหาคนที่มีปัญหาใกล้เคียงกับตนเอง เช่น มีเรื่องไส้เลื่อนก็เอามาแชร์ ช่วยให้อีกบ้านเห็นว่าการผ่าตัดไส้เลื่อนของลูกนั้นไม่น่ากลัวอย่างที่คิด หรืออีกบ้านหนึ่งต้องผ่าตัดหัวใจก็มาแชร์ประสบการณ์ไว้ คำถามส่วนใหญ่จะส่งทางอินบ็อกซ์ประมาณ 20 คำถามต่อวัน
“มีบางกรณีซึ่งลูกเพจเขียนมาเล่า เช่น เรื่องเลือดออกในสมอง ต้องบอกว่าการเกิดก่อนกำหนดนั้นมีผลกระทบที่น่ากลัวหลายอย่าง เลือดออกในสมองจะส่งผลต่อเนื่องยาวนาน แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ทำให้มีเทคนิคการรักษาหลายแบบ วิธีการผ่าตัดคือถ่ายน้ำในสมองให้มาออกที่หน้าท้อง แพทย์เฉพาะทางด้านนี้ก็บอกว่ามีหลายเคสที่ตอนนี้เด็กมีชีวิตเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว”
เรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรง
“ตอนนั้นตั้งครรภ์ได้ประมาณ 23 สัปดาห์ มีงานที่ต้องเดินทางไปประชุมที่ประเทศแคนาดา หลังจากผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ขากลับก็แวะเยี่ยมสามีที่อเมริกา ตอนนั้นเริ่มรู้สึกปวดท้องเลยนอนพัก วันรุ่งขึ้นมีเลือดออกไปโรงพยาบาล เมื่อมีการวัดค่าบางตัวก็ได้ข้อบ่งชี้ว่าอาจมีการคลอดก่อนกำหนด ในเบื้องต้นแพทย์ยังไม่ค่อยรู้สาเหตุและพยายามยับยั้งเหตุก่อน ในที่สุดระหว่างอยู่ดูอาการ สัปดาห์ต่อมาน้องลินลาก็คลอดตอน 24 สัปดาห์ หมอได้นำข้อมูลไปตรวจเพิ่มเติมจึงรู้ว่าที่เด็กคลอดเพราะรกลอกตัวออก ซึ่งมีสาเหตุจากหลายปัจจัย อาจเพราะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีการสูบบุหรี่มากเกินไป มีความเครียด หรือประสบอุบัติเหตุ โดยส่วนตัวเราไม่ค่อยแน่ใจ แต่พอนึกย้อนไปเมื่อหนึ่งเดือนก่อนมีอาการปวดท้อง เราเคยหกล้มในห้องน้ำแต่ตอนนั้นไม่มีเลือดออก นั่นอาจเป็นปัจจัยหนึ่งเพราะความอดทนของแต่ละคนไม่เท่ากัน เมื่อมีงานที่ต้องเดินทางไกล พักผ่อนไม่เพียงพออาจส่งผลให้เกิดความเครียดขึ้นอันเป็นผลสืบเนื่อง ซึ่งตัวเองได้แต่สันนิษฐานเพราะไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนได้ ส่วนการนั่งเครื่องบินไม่ได้ส่งผลให้คลอดก่อนกำหนด แต่ทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ อีกประเด็นหนึ่งคือตอนเจ็บท้องนั้นอยู่ที่อเมริกา การหาหมอยากกว่าในไทย เราเริ่มปวดท้องวันเสาร์ตอนเย็น แต่คลินิกไม่เปิดเลยต้องรอ พอท้องที่สองเราอยู่เมืองไทยทำงานในโรงพยาบาล ก็หาหมอง่ายขึ้น บวกกับประสบการณ์เดิมทำให้เราระมัดระวังมากขึ้น
“สิ่งสำคัญข้อแรกคืออย่าโทษตัวเอง เพราะพ่อแม่ทุกคนมีความตั้งใจดูแลลูกอย่างดีที่สุด แต่อาจมีปัจจัยอื่นที่ทำให้คลอดก่อนกำหนด พ่อแม่ต้องพยายามตั้งหลักให้ได้ว่าเราจะทำอะไรเพื่อช่วยลูกได้บ้าง แล้วจึงสร้างกำลังใจให้ตัวเอง จากนั้นเราจึงหาความรู้เพื่อนำมาดูแลลูกของเรา”

ปัจจัยเสี่ยงทำให้คลอดก่อนกำหนด
“ภาวะเสี่ยงคลอดก่อนกำหนดที่พบสาเหตุชัดเจน เช่น แม่มีความดันโลหิตสูงส่งผลให้เกิดภาวะครรภ์เป็นพิษ กรณีนี้สามารถตรวจทราบได้จากการวัดค่าความดัน ขาบวม ถ้าค่าความดันโลหิตสูงมากอาจเกิดภาวะชักซึ่งเป็นอันตรายแก่แม่และเด็ก เพราะเมื่อความดันสูง สิ่งที่ตามมาคือรกเริ่มทำงานผิดปกติ ส่วนใหญ่ภาวะครรภ์เป็นพิษเกิดขึ้นในช่วงอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ขึ้นไป และเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย ทั้งนี้การทำคลอดขึ้นกับดุลยพินิจของแพทย์ว่าสามารถยื้อเวลาให้เด็กอยู่ในครรภ์ได้นานที่สุดกี่สัปดาห์ และต้องตามดูอาการคุณแม่ว่าขาบวมมากน้อยแค่ไหน ความดันขึ้นสูงถึงระดับที่อันตรายหรือยัง เมื่อถึงจุดอันตรายจึงยุติการตั้งครรภ์โดยการผ่าคลอด
“ส่วนการอยู่ในพื้นที่ควันบุหรี่ก็ส่งผลให้เด็กในครรภ์เติบโตไม่ค่อยดีเท่าที่ควร เช่น เด็กมีขนาดตัวเล็กกว่าปกติ แพทย์อาจพิจารณาแล้วว่าคลอดออกมาดีกว่าอยู่ในครรภ์ อีกเรื่องที่เป็นผลจากควันบุหรี่คือรกส่งอาหารให้ทารกได้ไม่เพียงพอ พูดง่ายๆ บุหรี่ส่งผลโดยตรงทำให้รกลอกตัว ตอนนั้นที่เรามีปัญหานี้หมอก็ถามทันทีว่า สูบบุหรี่ไหม หรืออยู่ในบ้านที่มีคนสูบบุหรี่หรือเปล่า ถ้าสูบบุหรี่มากๆ ร่างกายจะขับเลือด ส่งผลให้รกไม่มีคุณภาพและค่อยๆ หลุดลอก ขึ้นกับว่าเหตุเกิดตอนอายุครรภ์กี่สัปดาห์
“ปัจจัยเสี่ยงมีทั้งจากแม่และลูก ปัจจัยจากลูก เช่น ลูกตัวเล็กมากและไม่สามารถเติบโตต่อได้ในครรภ์ หรือลูกมีภาวะผิดปกติบางอย่าง พิการ หรือมีโครโมโซมผิดปกติ ส่วนปัจจัยจากแม่ เช่น แม่ไม่ฝากครรภ์ ไม่ดูแลตัวเองจึงไม่รู้ว่าตนเองมีภาวะผิดปกติอะไรหรือไม่ ที่พบบ่อยอีกปัจจัยหนึ่งคือความเครียดเพราะส่งผลให้ความดันโลหิตสูง ความเครียดไม่กระทบโดยตรงแต่ส่งผลให้ร่างกายเสียสมดุล เช่น ทำงานหนักจนดื่มน้ำไม่เพียงพอ ไม่ลุกไปเข้าห้องน้ำ ส่งผลให้ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะซึ่งเกิดได้ง่ายในคนท้อง ผลที่ตามมาคือรกติดเชื้อ มดลูกบีบตัว ความเครียดเป็นตัวการก่อปัญหาหลายอย่าง คุณแม่หลายต่อหลายคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าความเครียดส่งผลให้ดูแลร่างกายได้ไม่เต็มที่ เช่น หลีกเลี่ยงการยกของหนักไม่ได้ทำให้มดลูกถ่วงลง พอปากมดลูกสั้นอันเป็นลักษณะทางกายของแต่ละคน สมมติว่าปากมดลูกสั้นเมื่อยกของหนักย่อมส่งผลให้ปากมดลูกขยายพร้อมคลอดได้ง่าย ตอนที่พี่เป้ท้องลูกคนที่สอง หมอต้องวัดปากมดลูกเพื่อหาสาเหตุการคลอดก่อนกำหนดของลูกคนแรกด้วย ก็พยายามแก้ไขปัญหาเท่าที่ทำได้ เพราะหมอบอกว่าสาเหตุที่คลอดก่อนกำหนดนั้นยังระบุไม่ได้ชัดเจน บางรายอาจเกิดการคลอดก่อนกำหนดในท้องต่อๆ ไปได้ หรือไม่เกี่ยวข้องกันเลย”
ความกังวลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง
“ตอนที่รู้ว่าต้องคลอดลูกในอายุครรภ์ 24 สัปดาห์นั้นเป็นกังวลสุดๆ ยิ่งเรารู้ข้อมูลว่าถ้าคลอดตอนนี้จะพบปัญหาใดต่อไปบ้างก็ยิ่งกังวล เหมือนกับเห็นภาพอนาคต ช่วงแรกก็เซ ตั้งตัวแทบไม่ไหว วันคลอดตกใจมาก แอบคิดว่าการเกิดไม่ใช่เรื่องน่ายินดี โรงพยาบาลที่อเมริกาหลังจากคลอดแล้วเจ้าหน้าที่ก็เข็นรถพาเราไปยังจุดสั่นกระดิ่ง เพื่อส่งสัญญาณว่าในวันนี้มีเด็กเกิดใหม่ มีชีวิตใหม่เกิดขึ้นแล้ว เขาให้แม่เป็นผู้สั่นกระดิ่ง วินาทีนั้นมีเพลงแสดงความยินดีดังทั่วโรงพยาบาล เหตุการณ์นั้นดึงสติเราให้ฉุกคิดได้ว่าการเกิดมาของลูกเราเป็นเรื่องที่น่ายินดี ต่อจากนี้เราจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วเราก็ไปดูลูกที่อยู่ในตู้อบ ตอนนั้นลูกตัวแดงมาก ขนาดตัวประมาณสองฝ่ามือ น้ำหนักแค่ครึ่งกิโลกรัม พยาบาลบอกให้เรากลับไปปั๊มน้ำนม ยังไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น
“เรื่องเศร้าอีกเรื่องคือ หลังจากครบ 48 ชั่วโมงทางโรงพยาบาลให้เรากลับบ้าน แต่ลูกต้องอยู่ต่อ โดยปกติภาพที่เราเคยเห็นตอนออกจากโรงพยาบาลคือ แม่อุ้มลูกกลับบ้านพร้อมกัน แต่เราเดินคอตกออกจากโรงพยาบาล กฎของที่นั่นมีว่าถ้าคลอดเองจะให้อยู่โรงพยาบาล 48 ชั่วโมง ถ้าผ่าคลอดให้อยู่ 72 ชั่วโมง เขาถ่ายวิดีโอของลูกมาไว้ให้เราดูระหว่างปั๊มนม ปั๊มนมไปก็ร้องไห้ไป น้ำนมไหล น้ำตาก็ไหล ช่วง 2-3 วันแรกไปเยี่ยมลูกแต่ทำได้แค่มองเขาผ่านตู้อบเท่านั้น หมอบอกว่าเด็กรับรู้ความทุกข์ได้ ให้เราดูแลเขาใกล้ๆ หลังจากวันที่ 3 เราถามพยาบาลว่าขอกอดลูกได้ไหม เขาก็ให้เจ้าหน้าที่เคลื่อนย้ายลูกออกมาไว้บนหน้าอกของเรา เรียกว่าการทำ kangaroo care แล้วลินลาก็เอามือเล็กๆ ของเขามาสัมผัสเบาๆ นั่นเป็นครั้งแรกที่เรามีโอกาสได้กอดลูก
“หลังจากคลอดลินลาต้องอยู่โรงพยาบาลรวมทั้งสิ้น 149 วัน ลินลาอยู่ในตู้อบนานประมาณสองเดือนครึ่ง และอยู่โรงพยาบาลต่อเพื่อฝึกให้กินนมเองได้ เรารู้สึกว่าที่เขาอดทนมาจนรอดเพราะมีเลือดนักสู้ ปัจจุบันแนวโน้มการคลอดก่อนกำหนดมีประมาณร้อยละ 10 ในหญิงตั้งครรภ์ 100 คนจะมีคนที่คลอดก่อนกำหนดอยู่ 10 คน แต่ช่วงอายุครรภ์จะต่างกัน เรียกว่าเป็นทารกคลอดก่อนกำหนดหรือพรีมี (preemie หรือ premie) อย่างของลินลาเรียกว่า ไมโคร พรีมี (Micro preemie) หมายถึงเด็กคลอดก่อนกำหนดที่อายุครรภ์น้อยกว่า 26 สัปดาห์ หรือมีน้ำหนักน้อยกว่า 800 กรัม ส่วนอายุครรภ์ 34 สัปดาห์ น้ำหนักอาจเกือบ 2 กิโลกรัมจะไม่มีปัญหาสุขภาพมากนัก เมื่อหกปีที่แล้วอายุครรภ์ 24 สัปดาห์มีอัตราการรอดชีวิตของทารกคือร้อยละ 50-70 ปัจจุบันสถิติการรอดชีวิตนั้นดีขึ้น อีกทั้งเด็กที่รอดชีวิตก็มีอายุครรภ์น้อยลงด้วย ตอนนี้ต่ำสุดน่าจะอายุครรภ์ 22 สัปดาห์ น้ำหนักกว่า 200 กรัมก็รอดชีวิตได้ ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้า สิ่งที่สะท้อนผ่านทางแฟนเพจคือแพทย์ในประเทศไทยนั้นเก่งมาก เพราะพ่อแม่ที่ส่งเรื่องราวเข้ามาก็มีอายุครรภ์ 22-23 สัปดาห์เยอะพอสมควร”
เฝ้าดูพัฒนาการเจ้าเด็กจิ๋ว
ในการนับอายุตามพัฒนาการของเด็กนั้น ให้นับพัฒนาการของเด็กที่คลอดก่อนกำหนดตามอายุจริง เช่น คลอดครบกำหนดคืออายุครรภ์ 40 สัปดาห์ หากคุณแม่คลอดลูกน้อยตอนอายุครรภ์ 24 สัปดาห์ คือคลอดก่อนกำหนด 16 สัปดาห์ ให้เริ่มนับพัฒนาการลูกหลังจากคลอด 16 สัปดาห์ เป็นเดือนที่หนึ่ง เนื่องจากพัฒนาการของทารกที่คลอดก่อนกำหนดจะยังไม่เริ่ม คือ ยังมองไม่เห็น พูดคุย หรือยิ้มไม่ได้ แต่เมื่อทารกครบกำหนดอายุอีก 8 สัปดาห์ ก็จะเริ่มมองเห็นและมีพัฒนาการตามอายุจริง “ลินลาเกิดก่อนกำหนดสามเดือนครึ่ง ตอนที่เกิดมาเท่ากับอายุศูนย์วัน เช่น ลินลาเดินได้ตอนอายุ 17 เดือน ก็ลบสามเดือนครึ่ง เท่ากับว่าเดินได้ตอน 13 เดือนครึ่งที่เป็นอายุปรับ ซึ่งไล่ตามพัฒนาการปกติ เมื่ออายุเกิน 2-3 ขวบก็ไม่ต้องนับอายุปรับแล้ว อย่างตอนนี้ลินลาอายุหกขวบครึ่ง ถ้านับตามอายุปรับจะอายุเท่ากับหกขวบสองเดือน แต่พอมาวัยนี้เขาก็สามารถตอบได้ว่าอายุหกขวบครึ่ง ส่วนวันเกิดก็คือวันที่คลอดจริง
“ที่สำคัญคือพัฒนาการตามอายุปรับ ที่พ่อแม่กังวลว่าทำไมลูกห้าเดือนแล้วแต่อายุจริงเขาอาจจะแค่เดือนกว่าเอง มีคุณแม่คนหนึ่งสอบถามทางเพจว่า ลูกเกิดมาพร้อมๆ กับลูกของญาติ มีอายุห้าเดือนเท่ากัน ลูกของญาติคว่ำได้แล้ว แต่ลูกของเขายังยิ้มไม่ได้เลย ขอบอกว่าห้ามนำมาเปรียบเทียบกันโดยเด็ดขาด เพราะเป็นคนละกรณีกัน เด็กที่คลอดก่อนกำหนดเขาใช้เวลาที่ต้องโตในท้องออกมาโตข้างนอก แต่พอช่วงอายุ 5-6 ขวบพัฒนาการก็จะไล่ทันกันแล้ว แต่ในช่วงเดือนแรกเหมือนเขาใช้พลังในการต่อสู้เพื่อให้มีชีวิตรอดจึงเป็นเรื่องยากกว่าปกติ พ่อแม่เองไม่ควรเปรียบเทียบ คนรอบข้างก็ต้องทำความเข้าใจว่าการเกิดของเด็กนั้นแตกต่างจากคนอื่น แต่เป็นเรื่องแปลกอย่างหนึ่งคือมีการนำมาเปรียบเทียบกันเยอะ ทำให้พ่อแม่รู้สึกไม่ดีเพราะบางคนอาจไม่เข้าใจในเรื่องนี้ ดังนั้นยิ่งคลอดห่างจากกำหนดคลอดจริงมากเท่าไหร่ ยิ่งต้องขยายวันปรับให้ลูกไปอีกหน่อย แต่สมมติคลอดก่อนกำหนดสองสัปดาห์อาจไม่เป็นไรเพราะเด็กก็เติบโตทันกันแล้ว เรื่องพัฒนาการอาจมีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น คุณพ่อคุณแม่ต้องคอยสังเกตและปรึกษาแพทย์เป็นกรณีไป บางคนเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อได้ไม่เต็มที่จึงต้องพบนักกายภาพบำบัด อย่างลินลามีช่วงหนึ่งที่เขาพูดช้า คุณหมอก็ส่งนักฝึกพูดมาสอน แต่ละคนอาจเจอปัญหาแตกต่างกันไป”
“การดูแลที่พิเศษกว่าเด็กที่คลอดตามกำหนดคือ ต้องหาหมอบ่อยกว่าเด็กทั่วไป เพราะมีภาวะบางอย่างที่ต้องติดตามใกล้ชิด บางอย่างไม่ผิดปกติแต่ต้องติดตามสักระยะ ในหนึ่งอาทิตย์หาหมอ 3-4 คน พบจักษุแพทย์เพราะต้องทำเลเซอร์ตา เนื่องจากเด็กที่คลอดก่อนกำหนดนั้นได้รับออกซิเจนอยู่ตลอด ส่งผลให้เส้นเลือดในตาผิดปกติ ทำให้ตามองไม่เห็น ประสบการณ์ของลินลาคือหลังจากคลอดเข้าสู่เดือนที่ 3 น้องต้องทำเลเซอร์เพื่อป้องกันเส้นเลือดผิดปกติ จึงต้องตรวจเป็นระยะตามนัด ผลที่ออกมาถือว่าดีเพราะทุกวันนี้สายตาลินลาปกติ
“อีกเรื่องคือพัฒนาการด้านต่างๆ นอกจากนี้ต้องมีการทำกายภาพบำบัดด้วยเพื่อดูว่ากล้ามเนื้อแต่ละมัดเคลื่อนไหวได้ดีแค่ไหน แล้วก็พบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนตามปกติเหมือนเด็กทั่วไป สิ่งสำคัญที่ต้องเฝ้าระวังอีกอย่างคือการติดเชื้อ ในช่วงปีแรกถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ควรพบปะผู้คนเลย เพราะมีโอกาสติดอาร์เอสวี (respiratory syncytial virus) เชื้อไวรัสชนิดหนึ่งซึ่งเป็นสาเหตุของการติดเชื้อทางเดินหายใจทั้งส่วนบนและส่วนล่าง แต่ถ้าเป็นในเด็กอายุน้อยอาจจะต้องพ่นยา ส่วนเด็กคลอดก่อนกำหนดถ้าติดเชื้อจนปอดบวมต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ บางรายถึงกับต้องเข้าห้องไอซียู ส่วนลินลาได้พบปะผู้คนตอนอายุครบหนึ่งขวบ แต่ก็ต้องรักษาความสะอาดอย่างมาก ข้อดีคือตอนนั้นยังอยู่อเมริกา จึงไม่มีใครไปเยี่ยมมากนัก อยากฝากบอกว่าสำหรับเด็กคลอดก่อนกำหนดต้องระวังเรื่องการติดเชื้อจากการสัมผัส โดยเฉพาะในขวบปีแรกซึ่งภูมิต้านทานยังไม่แข็งแรง”
เรื่องเล่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงประสบการณ์จากคุณแม่ท่านหนึ่ง แม่ตั้งครรภ์ที่รู้ตัวว่ามีปัญหาสุขภาพหรืออยู่ในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงข้างต้น ควรงดหรือเลิกทำทุกกิจกรรมที่สุ่มเสี่ยง ทั้งนี้เพื่อถนอมชีวิตของตนและลูกน้อย การฝากครรภ์ การดูแลสุขภาพ นอนหลับพักผ่อน กินอาหารที่มีประโยชน์อย่างเพียงพอ ไม่เครียด และพบแพทย์ตามกำหนด เป็นการปฏิบัติตัวที่ช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างแน่นอน
— Hug Magazine ปี 11 ฉบับที่ 6 คอลัมน์ แขกรับเชิญ —
" สิ่งสำคัญข้อแรกคืออย่าโทษตัวเอง เพราะพ่อแม่ทุกคนมีความตั้งใจดูแลลูกอย่างดีที่สุด แต่อาจมีปัจจัยอื่นที่ทำให้คลอดก่อนกำหนด พ่อแม่ต้องพยายามตั้งหลักให้ได้ว่าเราจะทำอะไรเพื่อช่วยลูกได้บ้าง "
— พญ.ดาริน จตุรภัทรพร

ลงมือก่อน ... ได้เปรียบ : มุก-วรนิษฐ์ ถาวรวงศ์
Highlights
♥ ลงมือก่อนของมุก-วรนิษฐ์เมื่อครั้งอายุ 11 คือ ขอคุณพ่อคุณแม่เรียนร้องเพลงเพราะค้นพบว่าตัวเองมีความสุขทุกครั้งที่ได้ทำ
♥ ลงมือทำคลิปร้องเพลงลง YouTube ก่อนที่ผู้ใหญ่ทางจีเอ็มเอ็ม ทีวี เห็นแววจึงชักชวนมาร่วมงาน
♥ ลงมือทำงานตอนอายุ 16 ก่อนคนวัยเดียวกัน แม้ไม่ต่างจากดารานักแสดงคนอื่นๆ แต่นับเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ในชีวิตของเธอ
♥ แง่มุมความรักในวัย 23 มุกคบหากับทอย-ปฐมพงศ์ เรือนใจดี เปิดตัวก่อนอย่างไม่ปิดบังเพื่อใช้ชีวิตแบบปกติธรรมด
นิยามความรักและคนรักของมุก-วรนิษฐ์
นิยามความรักของมุกคงเหมือนกับที่ใครหลายคนบอกว่า “รักคือการให้โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน”รักคือการแชร์ทั้งสุขทุกข์ อยู่เคียงข้างกัน ความรักของมุกหมายถึงเพื่อนและครอบครัวด้วย ส่วนความรักในรูปแบบคนรักของมุกในวันนี้ถือว่ามีความสุขดี (ตอบพร้อมแจกรอยยิ้มสดใส) เราใช้ชีวิตปกติ เป็นเพื่อนที่คอยดูแลกัน พยายามเข้าใจกันให้มากที่สุด มีบ้างที่ทะเลาะกันแต่ถือว่าน้อยมาก ไม่นานก็ดีกัน เพราะเราไม่ได้อยากทะเลาะหรือโกรธกันนาน ข้อดีที่สำคัญของคู่เราคือต่างพูดคำว่า “ขอโทษ” กันง่าย ทำให้ปัญหาคลี่คลายเร็ว อีกอย่างหนึ่งคือครอบครัวมุกเปิดใจคุยเรื่องความรักกับลูกๆ แม่จะคอยเตือนมุกถ้าเราหงุดหงิดหรือเถียงกันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งนานๆ ทีจะเกิดขึ้นสักครั้ง
รักของคนยุคนี้ที่ “อยากมีความรักแต่ไม่อยากผูกมัด”
บางคนคิดว่าการที่เราบอกใครต่อใครว่ามีแฟนนั้นเป็นการผูกมัดกัน ส่วนตัวคิดว่ามุกกับพี่ทอยไม่ได้ผูกมัดกันขนาดนั้น แค่ ณ ปัจจุบันเรามีความสุขก็เพียงพอแล้ว แต่บางคนอาจคิดว่าอนาคตยังอีกยาวไกล อย่าเพิ่งบอกออกไปชัดเจนว่าคบใครเป็นแฟน ซึ่งนั่นไม่ใช่เรื่องผิด เพราะถ้าเราทำแล้วมีความสุข ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็ถือว่าดีที่สุดแล้ว เหตุผลที่มุกกับพี่ทอยเปิดเผยเรื่องความรักเพราะเราอยากใช้ชีวิตแบบปกติธรรมดา ไปไหนมาไหนด้วยกันอย่างไม่ต้องหลบซ่อน ไม่อยากโกหก ถ้าใครถามเราก็ตอบ สิ่งสำคัญคือถ้าเราสองคนเข้าใจตรงกันก็ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบัง คนส่วนใหญ่อาจคิดแทนเราว่าจะส่งผลกระทบกับงานไหม เรตติ้งจะตกหรือเปล่า มุกให้ผลงานเป็นตัวชี้วัดดีกว่า ไม่อยากให้เรื่องส่วนตัวอยู่เหนืองานหรือเป็นตัวสร้างชื่อเสียงใดๆ เพราะมุกไม่ได้อยากมีชื่อเสียงจากการคบ เลิกรา หรือเป็นโสด แฟนคลับมุกรู้ดีว่าเราไม่ได้รักกันแล้วชักชวนกันไปในทางที่ไม่ดี มุกมองว่า ความรักเป็นเรื่องที่ดี เพราะฉะนั้นเรามาทำให้ชีวิตมีความสุขดีกว่า ความรักไม่ได้ทำให้เราทุกข์ เราต่างหากที่เป็นทุกข์เอง ทำอะไรแล้วมีความสุขถือเป็นเรื่องดีที่เกิดขึ้นในชีวิต เพราะความสุขไม่มีรูปแบบตายตัว
แม่เคยบอกให้มุกแต่งงานตอนอายุ 25
ตอนเราอายุ 12 แม่เคยบอกว่าพอลูกอายุ 25 ก็จะโตเป็นสาวแล้วก็แต่งงาน เรื่องนี้เริ่มจากแม่ที่มีลูกยาก แม่แต่งงานตอนอายุ 30 ตั้งใจมีลูกเลยแต่ไม่เป็นอย่างที่คิดไว้ เวลาผ่านไปสักระยะถึงมีพี่เมฆ (จิรกิตติ์ ถาวรวงศ์) 2 ปีต่อมาถึงมีมุก แม่จึงมองว่าการมีครอบครัว มีลูก ต้องวางแผน ใช่ว่าอยากมีแล้วมีได้ดั่งใจ มุกเคยคิดว่าถ้าแต่งงานตอนอายุ 25 อย่างที่แม่บอกได้ก็คงดี แต่พอมาถึงตอนนี้มุกอายุ 23 แล้วกลับรู้สึกว่าตัวเองยังเด็ก ยังไม่พร้อม ยังอยากทำงานอย่างเต็มที่ การแต่งงานต้องพร้อมในหลายๆ ด้าน ทั้งการใช้ชีวิตคู่ การมีสมาชิกในครอบครัวเพิ่ม วันนี้เรามองว่าเรื่องแต่งงานนั้นยังอีกยาวไกล แม้แต่ความคิดของแม่ในตอนนี้ก็เปลี่ยนไปแล้ว เพราะในสายตาแม่ย่อมเห็นว่าลูกยังเป็นเด็กอยู่เสมอ มุกเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่อยากมีลูก มุกชอบแซวแม่ว่า “เธอโชคดีนะเนี่ย มีลูกทำงานตั้งแต่อายุ 16” มุกและแม่มองว่าการมีลูกเหมือนมีเพื่อนที่คอยใส่ใจดูแลกัน ช่วยสร้างบรรยากาศให้ครอบครัวมีความสุข
แบบอย่างจากแม่ที่มุกได้เรียนรู้คือ แม่เป็นคนที่อยู่กับปัจจุบันขณะและมีการวางแผนที่ดี เช่น วางแผนการเงินไว้สำหรับลูก เพื่อให้ได้เรียนเพิ่มเติมในเรื่องที่สนใจ สิ่งสำคัญสำหรับวัยนี้มุกให้ความสำคัญแก่การทำงานเก็บเงิน ที่เหลือเป็นเรื่องของอนาคต สมมติถ้าเรามีลูกแล้วเขาอยากเรียนอะไร เราก็ไม่ต้องเดือดร้อน หรือถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเราหรือครอบครัวก็ไม่ต้องเดือดร้อนไปหยิบยืมใคร เพราะฉะนั้นนิยามความเป็นมุกคือ “ประหยัด” ค่ะ
สิ่งที่มุกเรียนรู้จากความสัมพันธ์ของพ่อกับแม่คือ แม้เขาทะเลาะกันบ่อยแค่ไหนแต่ก็ไม่เคยทอดทิ้งกัน พ่อมุกป่วยเป็นเวลานานเริ่มจากเบาหวาน จนกระทั่งมาตรวจเจอโรคหัวใจ ส่วนแม่ก็ทำทุกอย่างเพื่อดูแลพ่อ หลังจากพ่อเสีย แม่บอกว่าไม่ใช่แค่แฟนที่ตายจากกัน แต่เหมือนกับอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเรานั้นตายจาก เพราะทั้งคู่เป็นครึ่งหนึ่งของชีวิตกันแล้ว มุกมองว่าความรักของพ่อกับแม่เป็นรักที่มั่นคง ไม่ยอมแพ้แก่อะไรง่ายๆ ต่อให้เขาเถียงกันทุกวัน แต่เขาไม่คิดแยกจากกันเลย
วิธีจัดการความเศร้าในแบบของมุก-วรนิษฐ์
โชคดีที่มุกหมกมุ่นอยู่กับความเศร้าไม่นาน ในวันที่เรามีคนที่อ่อนแอกว่า เราก็จะเข้มแข็งขึ้นโดยอัตโนมัติ พี่เมฆ-พี่ชายของมุกเป็นคนอ่อนไหวมาก เขาร้องไห้ฟูมฟายอย่างที่มุกไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ละคนมีวิธีรับมือกับการสูญเสียไม่เท่ากัน มุกเป็นห่วงทั้งแม่และพี่เมฆ ไม่แปลกที่ในภาวะที่เราเศร้าแล้วเรามักคิดโทษตัวเองซ้ำแล้วซ้ำอีก มุกต้องเข้มแข็งก่อนเพื่อจะได้มีแรงพอสำหรับปลอบทุกคน มุกเชื่อว่าเมื่อเวลาผ่านไปสภาพจิตใจของทุกคนจะค่อยๆ ดีขึ้น ไม่ต้องร้องไห้ทุกครั้งที่นึกถึงคุณพ่อ
ส่วนพี่ทอยเป็นทั้งแรงกายแรงใจที่สำคัญมาก เขาลางานและยกเลิกงานเท่าที่ทำได้เพื่อให้เวลาแก่ครอบครัวเราเกือบทั้งเดือน มีเหตุการณ์สำคัญคือวันที่คุณพ่อเสีย วันนั้นมุกทำงานอยู่ คนที่มาอุ้มคุณพ่อที่บ้านคือพี่ทอย เรียกได้ว่าเขาดูแลเราอย่างเต็มกำลังในทุกทางเท่าที่คนคนหนึ่งจะช่วยได้ ต้องขอบคุณพี่ทอยที่อยู่เคียงข้างกันแม้ในยามที่เราลำบาก
วิธีจัดการความเครียดในแบบของมุกคือ พูดคุยกับเพื่อน คนในครอบครัว กับคนที่เรารักและรู้ว่าเขารักเราแน่ๆ คุยกันได้ทุกเรื่อง ทั้งเรื่องที่เราผิดและถูก เขาคอยให้คำแนะนำและปลอบใจเราได้เป็นอย่างดี เราเป็นครอบครัวที่เปิดใจคุยกัน เข้าข้างกัน ไม่ซ้ำเติมกัน ครอบครัวเราแสดงความรักกันน้อยมาก แต่มุกมองว่าการสนับสนุนกัน เข้าข้างกัน เป็นทีมเดียวกัน นั่นคือการแสดงความรักในแบบของเรา เราเข้าข้างกันแต่ไม่ได้ให้ท้าย ถ้าเราทำผิดแล้วมาบอก เขาก็จะปลอบว่า ไม่เป็นไร คราวหน้าอย่าทำแบบนี้อีก
มีบ้างที่มุกเก็บคำพูดของคนอื่นมาครุ่นคิด แม่ก็จะคอยเตือนว่าไม่ต้องคิดมาก คอยให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เราเป็นทีมเดียวกัน ในฐานะนักแสดงมุกเปรียบครอบครัวเป็นแอ๊คติ้งโค้ช เพราะเมื่อแอ๊คติ้งโค้ชกับนักแสดงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันจะนำมาซึ่งการแสดงที่ดีมาก เมื่อเราเป็นทีมเดียวกัน ทุกอย่างก็สมบูรณ์พร้อมขึ้น ในฐานะลูกอยากฝากให้ทุกคนใช้เวลาร่วมกับคนในครอบครัวให้มากๆ หมั่นถ่ายรูปบันทึกความทรงจำดีๆ เก็บไว้ เพราะวันหนึ่งเราอาจจะไม่สามารถเพิ่มเติมภาพของเขาลงไปในอัลบั้มได้อีกแล้ว
มุมมองความรักถึงคนโสดและคนมีคู่
สิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม คุณต้องรักตัวเองให้เป็น รู้จักเติมตัวเองให้เต็ม หากเป็นเช่นนั้นเชื่อว่าคุณจะใช้ชีวิตง่ายขึ้น ถ้าคุณไม่รู้จักเรียนรู้วิธีเติมเต็มชีวิตให้แก่ตัวเอง เมื่อมีคนรัก คุณจะต้องการและยึดติดตัวเขาอยู่ตลอด หากวันหนึ่งเขาจากไป ชีวิตของคุณจะเป็นยังไง มุกมองว่าวิธีรักตัวเองอย่างง่ายคืออย่าให้ใครมาทำร้ายเราเท่านั้นเอง อย่าอดทนกับอะไรก็ตามที่ทำให้ชีวิตเราแย่ มุกเชื่อว่าหลายคนรู้ว่าอะไรที่กำลังบั่นทอนชีวิตของเรา แต่กลับชอบหาเหตุผลมาอ้างเพื่อให้ตัวเองอยู่ในสถานะนั้นต่อไปได้ ถ้าตรงนั้นมันแย่มากเราก็มูฟออนเถอะ อะไรที่เรายังพอรับได้ก็อดทนไป แต่อะไรที่เกินเยียวยาก็ควรปล่อยวาง เพราะเราเลือกที่จะมีความสุขในแบบของเราได้ สิ่งสำคัญคือรักตัวเองและเห็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่
เมื่อพูดถึง HUG มุกนึกถึงอะไรนึก
ถึงอ้อมกอด นึกถึงฮักที่แปลว่ารัก นึกถึงความอบอุ่นที่เกิดจากความรัก
มุก-วรนิษฐ์ ไม่ได้กล่าวว่า “ลงมือก่อน … ได้เปรียบ” แต่ฮักขอนิยามไว้ให้คุณได้คิดต่อ
Quotes
" สิ่งสำคัญไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม คุณต้องรักตัวเองให้เป็น รู้จักเติมตัวเองให้เต็ม หากเป็นเช่นนั้นเชื่อว่าคุณจะใช้ชีวิตง่ายขึ้น. "
— มุก-วรนิษฐ์ ถาวรวงศ์

รักไม่ต้องการเวลา : แนท-ณัฐชา & เป๊ก-รัฐภูมิ
อาจเป็นเพราะความเข้ากันได้ดีและความรู้สึกดีๆ ที่มีให้กัน ทั้งสองจึงเดินเคียงบ่าเคียงไหล่บนถนนสายความรักในรูปแบบคู่ชีวิต ที่แม้ระยะทางหรือวันเวลาก็ไม่ใช่เงื่อนไขสำคัญใดๆ
คำอธิษฐานถึงพระเจ้า
คนส่วนใหญ่กว่าจะตกลงปลงใจใช้ชีวิตร่วมกับใครสักคน สิ่งสำคัญคือต้องใช้เวลาคบหาดูใจกันนานแรมปี เพื่อสร้างความมั่นใจ รอเวลาให้รักสุกงอม และพร้อมใช้ชีวิตคู่ แต่ความรักของนางเอกสาว แนท-ณัฐชา และหนุ่มเป๊ก-รัฐภูมิ นั้นเกิดขึ้นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ทั้งสองตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า มีพระเจ้าเป็นผู้ช่วยนำทางความรัก
แนทบอกเล่าด้วยน้ำเสียงสดใสถึงจุดเริ่มต้นว่า ทั้งสองเจอกันที่เกาะสมุยผ่านการแนะนำของเพื่อนสนิท แต่ครั้งนั้นยังไม่ได้สานสัมพันธ์มากกว่าคนรู้จัก เมื่อวันเวลาล่วงพ้นไปเกือบปีจึงมีโอกาสกลับมาพบกันอีกครั้ง ช่วงเทศกาลสงกรานต์เลยได้ทำความรู้จักกันมากยิ่งขึ้น “พี่เป๊กเริ่มจีบแนทก่อน เขาถามว่าอยากรู้จักกันมากกว่านี้ไหม ตอนนั้นเป็นช่วงที่แนทยังไม่พร้อมตัดสินใจอะไร เลยบอกเขาว่าคุยกันก็ได้เพราะไม่ได้ปิดกั้นตัวเอง” ด้านหนุ่มเป๊กกล่าวเสริม “เราทำทุกอย่างแบบที่ไม่มีอะไรแอบแฝง เราจริงใจ มาด้วยความหวังดี นั่นอาจทำให้เขารู้สึกว่าเราไม่เหมือนคนอื่น ผมมองว่าถ้ามีใครคนหนึ่งตั้งใจเข้ามาหลอก แนทคงสัมผัสได้ อีกอย่างหนึ่งคือเราชอบพาเขามาเจอเพื่อนๆ ที่โบสถ์ แล้วพาไปรู้จักพระเจ้าด้วย”
ในช่วงต้นความสัมพันธ์ดำเนินไปในทิศทางที่ดี โดยผ่านเรื่องราวของศาสนาคริสต์ซึ่งเข้ามามีบทบาทในชีวิตรัก เขาและเธอเห็นตรงกันว่าพระเจ้าเป็นผู้มอบโอกาสให้พวกเขาได้พบกับความรักที่ตามหามาตลอด แนทอธิบายด้วยแววตาเป็นประกายว่า “แนทนับถือคริสต์มาตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่ได้เคร่งมาก ช่วงแรกๆ เรายังไม่ชอบพี่เป๊ก ด้วยว่าเขาเป็นคนรักพระเจ้ามากแล้วเราเข้าไม่ถึง อย่างเช่น ตอนเราขึ้นรถมาด้วยกันเขาก็เปิดเพลงนมัสการ แต่หลังจากนั้นประมาณสองอาทิตย์ จู่ๆ เราก็นึกถึงที่เขาเคยพูดกับเราว่า ‘พระเจ้ามีจริงนะ ถ้าไม่เชื่อก็ลองอธิษฐาน’ แนทจึงตั้งใจอธิษฐานว่า ถ้าพระเจ้ามีจริง ลูกอยากเจอความสุขที่โลกให้ไม่ได้ และอยากพบกับความรักที่แท้จริง ถัดมาไม่กี่วันแนทรู้สึกแปลกๆ แถมมีหน้าพี่เป๊กผุดเข้ามาในความคิด รู้สึกอยากคุยกับเขา เปลี่ยนไปจากตอนแรกที่ไม่ได้รู้สึกอะไร เราเลยโทร.กลับไปคุยกันใหม่ประมาณ 1 เดือนก่อนตกลงเป็นแฟนกัน”
เมื่อเจอคนที่ใช่ก็ไม่ต้องรอ
แม้จะคบหาดูใจกันมาเพียง 4 เดือนก่อนเข้าสู่ประตูวิวาห์ แต่สำหรับคู่รักคู่นี้อาจกล่าวได้ว่า หากเจอคนที่ใช่และนิสัยใจคอเข้ากันได้ดีแล้วจะมัวรีรออยู่ทำไม หนุ่มเป๊กเล่าถึงประเด็นนี้ว่า “สิ่งสำคัญคือเมื่อเจอกันต้องไม่พยายามเปลี่ยนตัวเองเป็นคนแบบอื่นเพื่อเอาใจกัน ผมไม่ได้ฝืนอะไร สมมติว่าผมเจอผู้หญิงที่ไม่ตรงสเป็ก แต่พยายามเปลี่ยนทุกอย่างให้ตรงตามสเป็กที่วางไว้ ถ้าเป็นแบบนั้นคงคุยกันได้ไม่นาน แต่เมื่อเจอผู้หญิงในแบบที่เราชอบ ลำดับต่อมาคือการแต่งงาน ถ้าใช้ชีวิตร่วมกันได้โดยไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไรมากแล้วดี ชีวิตหลังแต่งงานย่อมดำเนินต่อไปได้ ไม่ต้องมากขึ้นหรือน้อยลง” สาวแนทให้ความเห็นคล้ายกันว่า “หลังจากคุยกับพี่เป๊กสักพักแล้วแนทอธิษฐาน แนทรู้สึกว่าอยากแต่งงาน แต่เรื่องนี้ก็เป็นความฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากมีชีวิตครอบครัวที่ดี พออธิษฐานได้เพียงอาทิตย์เดียว พี่เป๊กก็บอกว่า ‘เราแต่งงานกันเลยดีกว่า’ ตอนนั้นแนทไม่มีข้อสงสัยใดๆ เลย เราเชื่อมั่นในตัวพี่เป๊กมากๆ รู้สึกว่าอยากใช้ชีวิตอยู่กับผู้ชายคนนี้”
เพราะแนทและเป๊กนับถือศาสนาคริสต์ การแต่งงานจึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับชีวิตของชาวคริสเตียน ฝ่ายเจ้าบ่าวเล่าว่า “ผมเป็นผู้นำและดูแลประกาศเรื่องราวของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ ถ้าผมได้คุยกับใครแล้วทำให้พระเจ้าเสื่อมเสีย ผมจะไม่ทำ เมื่อรักกันก็ต้องแต่งงานกันให้ถูกกฎที่พระเจ้าตั้งไว้ ถ้าผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันก็แต่งงาน ไม่ใช่คบกันไม่นานก็เลิกรา การแต่งงานของชาวคริสเตียนไม่ได้เหมือนการสัญญาเพียงแค่กับมนุษย์ที่รักปีนี้ ปีหน้าอาจเลิก แต่ยังเป็นการแต่งงานที่สัญญากับพระเจ้า เลิกไม่ได้ และเป็นพิธีที่สำคัญกว่าการจดทะเบียนสมรส เรื่องที่จะทำให้เราเลิกกันได้คือเขาหรือผมมีชู้ เวลามีปัญหากันผมกล้าพูดได้ว่าผมจะไม่บอกว่า ‘เลิกกันเถอะ’ ถ้าผมโมโหหรือโกรธผมจะนิ่งจนถึงที่สุด ข้อดีของการเป็นคริสเตียนคือ เมื่อโกรธกัน เราจะมีพระเจ้าอยู่ตรงกลางเสมอ”
รักคือแสงสว่างแห่งชีวิต
เมื่อมีพลังความรักที่พระเจ้ามอบให้มาหล่อเลี้ยงและเป็นแสงสว่างนำทางชีวิต สาวแนทซึ่งเคยเป็นโรคซึมเศร้าจึงเปลี่ยนเป็นคนใหม่อีกครั้ง เธอบอกเล่าถึงความรู้สึก ณ ช่วงเวลานั้นด้วยน้ำตาคลอว่า “แนทรู้สึกว่าเราเหมือนต้นไม้ที่กำลังจะตาย ตอนนั้นเป็นโรคซึมเศร้า อาการหนักมาก รู้สึกว่าตัวเองหมดพลัง สิ่งเดียวที่ทำให้แนทมีชีวิตอยู่ต่อได้คือพ่อกับแม่ เราต้องอยู่เพื่อดูแลเขา ยอมรับว่าเราไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิต กระทั่งมาเจอพี่เป๊ก จากต้นไม้ที่กำลังจะตาย เขาเปรียบเหมือนแสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่ทำให้เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อ เวลาที่เขาอยู่ใกล้ๆ แม้ไม่พูดอะไรแต่โลกกลับสว่างไสว”
ความรักของเขาไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตเธอ แต่ยังเปลี่ยนความคิดในการใช้ชีวิตคู่ด้วย “เมื่อก่อนเรารักใคร ก็จะรักเขาในแบบที่เราคิดว่า ฉันจะต้องแต่งงานกับคนที่ทำงานเก่ง มีอนาคต เป็นคนดี ไม่เจ้าชู้ แต่พี่เป๊กทำให้แนทรู้ว่าความรักจริงๆ ไม่ใช่แค่นั้น แต่เหมือนคำสอนที่พระเจ้าบอกว่า ความรักต้องไม่ขึ้นกับผลประโยชน์ ต้องไม่คิดว่าเขาหล่อหรือเขาทำดีกับเรา แต่ความรักสำหรับแนทคือ แนทไม่ได้มองถึงข้อไหนเลย ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงเราก็รัก อยากดูแล อยากอยู่ข้างๆ แค่นั้นเอง”
เมื่อถามถึงชีวิตคู่หลังแต่งงาน ทั้งคู่ตอบเหมือนกันว่า เรามีไลฟ์สไตล์และชอบอะไรคล้ายกัน เช่น อาหารการกิน การท่องเที่ยว จึงไม่ค่อยมีปัญหาหรือต้องปรับตัวเปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก มีเพียงเรื่องเวลาการทำงานและอารมณ์ความรู้สึก สามีหนุ่มเล่าว่า “มีปัญหาบ้างเรื่องเวลาที่ใช้ร่วมกัน เพราะเราทั้งคู่ต่างทำงาน บางทีอาจแยกบ้านนอน แต่พอไม่มีงานก็อยู่ด้วยกัน นอกจากนั้นยังมีเรื่องอารมณ์ ความหงุดหงิด สำหรับผมถ้าโมโหจะไม่ค่อยพูด” ส่วนภรรยาสาวแสนสวยหันไปยิ้มให้สามีก่อนบอกว่า “สิ่งที่เปลี่ยนไปคือความรู้สึกว่า เราแต่งงานแล้วนะ เราไม่ใช่แค่แฟนกัน นับจากนี้เราคือคนคนเดียวกัน ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ก่อนแนทเจอกับพี่เป๊ก เราค่อนข้างดื้อ มองเฉพาะในมุมของตัวเอง ไม่ค่อยได้อยู่ในโลกของคนอื่น ชอบเก็บตัว ไม่ค่อยได้ไปไหน หลังจากแต่งงานเรื่องไหนที่ปรับเพื่อเขาได้ก็ทำ เพื่อให้เราใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุข แต่เราสองคนค่อนข้างเป็นขั้วบวก ขั้วลบ ไม่มีอะไรที่ต้องฝืนเลย ใจเย็น และแทบจะไม่เคยทะเลาะหรือพูดไม่ดีกันเลย”
ส่วนวิธีดูแลซึ่งกันและกันให้หวานชื่นเสมอต้นเสมอปลายนั้น ภรรยาสาวยิ้มกว้างก่อนตอบว่า “แนทเป็นสาวหวาน (หัวเราะ) เวลาเขาทำงานหนักหรือเหนื่อย แนทชอบเข้าไปอ้อน ไปเล่นด้วยไม่ให้เขาเครียด เราบอกรักกันบ่อย แนทชอบดูแลเขา เช่น เขาอยากกินอะไรหรือไม่สบายก็คอยดูแล” เมื่อพูดจบภรรยาสาวหันไปจับมือสามีหนุ่มอย่างอบอุ่น ส่วนชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกายตอบว่า “ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ก็ดูแลเหมือนเดิมทุกอย่าง น้องอยากทำอะไรก็พาไป มีบ้างที่ผมซื้อของสำคัญแทนใจให้ แต่แนทเขาไม่ใช่คนฟุ่มเฟือยอยู่แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเขาคือ เขาเป็นคนไม่ยึดติดวัตถุนิยมหรือของแบรนด์เนม เขาเป็นคนเรียบง่ายจริงๆ ไม่ได้ต้องการสิ่งของอะไรมากมาย แต่เขาต้องการความรัก ความดูแลเอาใจใส่มากกว่า” ส่วนปัญหาในชีวิตคู่นั้นมักเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตามประสาผู้หญิง เช่น อารมณ์แปรปรวนเวลามีประจำเดือนแล้วเศร้าหรือน้อยใจได้ง่ายเท่านั้นเอง
มองมุมใหม่ในเรื่องรัก
กว่าที่ความรักจะสุขสมหวังเช่นนี้ได้ ชีวิตต้องผ่านบททดสอบมากมาย เราจึงขออนุญาตถามสาวแนทถึงประสบการณ์รักที่ผ่านพ้นไป เธอเล่าว่า “บทเรียนจากความรักสอนเราตั้งแต่เรื่องการเลือกคบคน ไม่ว่าเจอกับเรื่องอะไรมาเราก็เก็บไว้เป็นบทเรียน แนทเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก เมื่อมีความรักจึงรักและทุ่มเทแบบสุดหัวใจ ต่อให้เขาเป็นคนไม่ดี เราก็พยายามมองหาแง่ดี กลายเป็นว่าบางครั้งเราไม่รู้ว่าเขาเป็นคนแบบที่เราคิดหรือเปล่า และบางครั้งสิ่งที่เรามองในแง่ดีเกินไปนั้นย้อนมาทำร้ายตัวเองให้ผิดหวังซ้ำๆ เพราะฉะนั้นจึงเป็นบทเรียนสอนเราว่า คนแบบนี้มีในโลกนะ เราต้องระวังตัวเองมากขึ้น พอเราเริ่มโต ประสบการณ์ทุกอย่างจะสอนเราให้ป้องกันตัวมากขึ้น แล้วเรียนรู้ว่าคนแบบไหนเป็นคนดี”
จริงอยู่ที่บ่าวสาวคู่นี้คบหาและเข้าสู่พิธีวิวาห์กันในระยะเวลาอันรวดเร็วหากเทียบกับคู่อื่นๆ แล้วเรื่องใดที่ทำให้ทั้งคู่ประทับใจซึ่งกันและกันบ้าง สาวแนทบอกว่า “จริงๆ เราไม่ได้มีเรื่องอะไรหวือหวา แต่ประทับใจทุกอย่างที่เป็นเขา ทุกวันนี้แนทไม่ต้องการอะไรแล้ว มีความสุขมาก ขอแค่มีพี่เป๊กอยู่ในชีวิตแบบนี้ก็พอแล้ว” สามีเสริมว่า “ผมบอกไปหมดแล้ว (หัวเราะ) ผมบอกเสมอว่ามีอะไรให้พูดกันตรงๆ มีอะไรอย่าเก็บไว้ เขาเป็นคนใจอ่อน ไม่ค่อยเป็นห่วงตัวเองเท่าไหร่ อยากให้เป็นห่วงตัวเองบ้าง ดูแลตัวเองให้ดี” ถ้าเป็นเรื่องการดูแลตัวเอง สาวแนทเสริมพร้อมสบตาคุณสามี “อยากให้พี่เป๊กกินน้ำเยอะๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะปวดหัว เวียนหัว เลือดลมไม่ดี เลือดไม่สูบฉีดเพราะกินน้ำน้อย ร่างกายไม่สดชื่นเพราะเขาทำงานหนักด้วย”
หลักความรักที่พระเจ้าประทาน
เมื่อจวนเวลาที่การสนทนาครั้งนี้จะจบลง เราจึงขอให้เขาและเธอช่วยนิยามความรักหน่อย ภรรยาสาวบอกว่า “แนทใช้ความรักในการดำเนินชีวิต สำหรับแนทความรักสำคัญที่สุด วันนี้พี่เป๊กคือความรักของเรา เราต้องคิดถึงเขาเสมอและคิดว่าเราจะใช้ชีวิตอย่างไรให้มีความสุข อะไรที่เป็นปัญหาก็พยายามเอาออกไปเป็นการให้ใจ ความรักไม่ใช่การให้สิ่งของ ความรักสำหรับแนทคือการให้ใจในรูปแบบความสุข เราจะหยิบยื่นความสุขและเป็นพลังบวกให้เขาเสมอ เวลาที่พี่เป๊กทำงานหนักมาก เราก็คิดว่าจะทำยังไงให้เขาหายเหนื่อยเมื่ออยู่กับเรา เราจะไม่ให้เขาพาเราไปเที่ยวเพื่อให้เรามีความสุข เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง นั่นไม่ใช่ความรัก เมื่อไหร่ที่เราโยนความต้องการหรือความเห็นแก่ตัวทิ้งไป ความรักจะมีแต่ความสุข เมื่อเราได้เป็นผู้ให้เหมือนที่เรารักเขาเหมือนรักตัวเอง ความรักย่อมไม่มีเรื่องให้ทะเลาะกันเลย”
ฝ่ายหนุ่มเป๊กยิ้มรับและให้ความเห็นว่า “สำหรับผมคือการยอมทุกอย่าง นิยามรักสำหรับผม ความรักไม่ใช่การครอบครอง แต่เป็นการให้สิ่งที่ดีแก่เขา ที่จริงแล้วความรักในนิยามของคริสเตียนคือ ความรักนั้นอดทนนาน ไม่อวดตัว ไม่หยิ่ง ไม่หยาบคาย ฉุนเฉียว ที่สำคัญคือไม่จดจำความผิด ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอาตนเองเป็นศูนย์กลาง ความรักจะเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอว่าเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น และความรักทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ไม่มีทางแย่ลง นี่คือนิยามความรักที่ผมมีและที่พระเจ้ามอบไว้”
นอกจากนี้ สาวแนทและหนุ่มเป๊กยังฝากหลักคิดในความรักไว้ว่า “มีคำสอนมากมายว่า อยากมีความรักที่ดีต้องทำอย่างนี้ ที่บอกว่ารักคือการให้ แค่ฟังมันก็ยากแล้วว่าให้อะไร สำหรับแนทต้องบอกว่าตัวเองเปลี่ยนไปมากตั้งแต่รู้จักพระเจ้า แนทรักพี่เป๊กจนสามารถเสียสละชีวิตตัวเองให้เขาได้ ถ้าไม่มีความรักของพระเจ้าอยู่ตรงกลางระหว่างเราคงทำไม่ได้แน่นอน แนทอยากให้ทุกคนรู้จักพระเจ้าและตระหนักว่าคำอธิษฐานของเรานั้นทรงพลังและมีจริง เหมือนที่เราต่างอธิษฐานให้กัน คำอธิษฐานของคนรักเป็นพลังที่ส่งถึงกันได้จริง ถ้าอยากสัมผัสกับความรักที่มากกว่ามนุษย์มอบให้กันได้ค่ะ” สาวแนทกล่าวด้วยความจริงใจ
ส่วนหนุ่มเป๊กเห็นคล้ายกับภรรยาสาวว่า “ถ้าอยากรู้จักความรักจริงๆ ให้มารู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้ามีความรัก และนิยามความรักของพระเจ้าคือ God is love love is god. หมายถึงนิยามความรักทุกอย่างที่เราอยากเป็น ความรักจริงๆ เกิดจากการยอมเสียสละบางอย่างเพื่อมอบบางสิ่งแก่ใครอีกคน เหมือนพระเยซูคริสต์ยอมเสียสละตัวเอง ทั้งที่พระองค์เป็นลูกของพระเจ้า แต่ยอมมาเกิดเป็นมนุษย์เพราะเราเป็นคนบาป และแลกเปลี่ยนบางอย่างที่ไม่ควรแลกเพื่อให้เราไม่ต้องตกนรก ตายไปจะได้ขึ้นสวรรค์ ทั้งหมดเป็นเพราะพระเจ้ารักทุกคน พระเจ้าเลยส่งพระเยซูคริสต์มาตายแทนเรา เป็นการเสียสละเพื่อให้ผู้อื่นมีความสุขขณะที่ตัวเองสูญสิ้น นี่คือความรักที่พระเจ้ามอบให้”
บางทีความรักอาจมาเยือนหัวใจให้ชุ่มฉ่ำ โดยไม่ต้องการเวลาเลยด้วยซ้ำ หากเรามั่นใจและพร้อมก้าวเดินไปด้วยกันบนถนนความรักสายนี้ อาจพบความสุขโบกมือรออยู่ปลายทาง เพียงเริ่มเปิดใจให้กว้างพอ คุณว่ามั้ย?
" สำหรับผมคือการยอมทุกอย่าง นิยามรักสำหรับผม ความรักไม่ใช่การครอบครอง แต่เป็นการให้สิ่งที่ดีแก่เขา"
— เป๊ก-รัฐภูมิ
