ทำไมถึงเป็นได้แค่ “พี่น้อง”

 

เราคิดกับเธอ “แค่พี่น้อง”

ผมเชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ฟังคำเสียดแทงที่แสนขมขื่นนี้ และบางคนอาจมีคำนี้คาใจอยู่จนถึงตอนนี้ก็เป็นได้

แม้จะบอกว่าเป็น “พี่น้อง” ซึ่งดูเหมือนมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งผูกพัน แต่เอาเข้าจริงอีกฝ่ายไม่ได้ต้องการลึกซึ้งกับเอ็งโว้ย เข้าใจไว้ด้วย (อุ๊ย! อินไปหน่อย ขอโทษนะหากแทงใจดำใคร)

ผมไม่ได้เขียนเรื่องนี้เพื่อตอบคำถามว่า ทำไมคุณถึงไม่ได้เป็นแฟนกับเขาหรือเธอคนนั้น เพราะต่างคนต่างมีเหตุผลในการให้สถานะพี่น้องกับใคร

แต่ผมเขียนขึ้นเพื่อบอกว่า ทำไมเมื่อเราปฏิเสธการเป็นแฟน เราจึงจำกัดสถานะไว้แค่ “พี่น้อง” ไม่ใช่ลุงป้า น้าอา ลูกหลาน หมาแมว ไก่กา ฯลฯ (ที่จริงอีกคำที่เรามักถูกกำหนดให้เป็นคือเพื่อน แต่นั่นเป็นสถานะซึ่งเราเป็นอยู่แล้ว จึงละไว้ในฐานที่เข้าใจ) และทำไมคนที่กำหนดสถานะนั้นมักเป็นผู้หญิง ส่วนคนที่ถูกกำหนดบทบาทพี่น้องมักเป็นผู้ชาย

 

ผมขออธิบายด้วยทฤษฎี Natural selection หรือการคัดเลือกโดยธรรมชาติว่า
ทำไมชายหลายคนถึงได้กลายเป็นพี่น้องกันโดยไม่ทันตั้งตัว

 

เรื่องนี้เกิดขึ้นมาหลายล้านปี ก่อนที่เราจะใช้คำสรรพนามแทนตัวเองว่า Homo sapiens ด้วยซ้ำ

ในบรรดาสัตว์โลก สัตว์ตัวเมียขึ้นชื่ออยู่แล้วเรื่องความ choosy หรือช่างเลือก (ภาษาปากเรียกว่า “เยอะ” ครับ) เพราะสัตว์ตัวเมียนั้นรับภาระตั้งท้องและเลี้ยงดูลูกที่ตนให้กำเนิด งานแบบนี้ถือเป็นงานที่โคตรหนักและใช้พลังงานมหาศาล สัตว์ตัวเมียทั้งหลายเลยไม่อยากเสี่ยงให้ลูกที่เกิดมาพิกลพิการ เพราะฉะนั้นพวกเธอจึงพยายามเลือกพ่อพันธุ์ที่ดีที่สุด แข็งแรงที่สุด 

และหนึ่งในสาเหตุที่ลูกจะเกิดมาไม่แข็งแรงคือ การที่ตัวเมียผสมพันธุ์กับญาติที่ใกล้ชิด ทั้งนี้เพราะญาติกับเรามักมียีนที่เหมือนหรือใกล้เคียงกัน รวมถึงยีนด้อยด้วย หากคุณยังจำได้ตอนเรียนกฎของเมนเดล เมื่อผสมถั่วเหลืองกับถั่วเหลืองย่อมได้ถั่วเหลือง (แน่นอนสิ มันจะออกมาเป็นถั่วเขียวได้ยังไง) ซึ่งไม่ใช่แค่สีถั่วเท่านั้น แต่หมายรวมถึงถ้ายีนด้อยกับด้อยมาเจอกัน ความด้อยก็จะแสดงออกมาให้เห็นจากภายนอก แต่ถ้ายีนด้อยมาเจอยีนเด่น ความเด่นก็จะกลบไว้

 

 

‘การสืบพันธุ์กันในหมู่เครือญาติสนิท จึงกลายเป็นเรื่องอันตรายแก่ลูก
และการดำรงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์มาก’

 

ด้วยเหตุนี้ธรรมชาติจึงเลือกสรรให้มนุษย์เกิดความรังเกียจการสืบพันธุ์กันในหมู่ญาติสนิท เช่น พ่อ แม่ ลูก พี่ น้อง คนเราเลยเกิดความขยะแขยงขึ้นเองตามธรรมชาติ หากต้องมีเพศสัมพันธ์กับญาติสนิท และในสมัยก่อนเราอาจะไม่มีการสื่อสารตรงๆ ว่า ใครเป็นพี่น้องกับใคร (กระบวนนี้อาจเกิดขึ้นก่อนที่มนุษย์จะพูดได้ด้วยซ้ำ) ธรรมชาติเลยใช้วิธีง่ายๆ ว่า ถ้าเราโตมาพร้อมๆ กับเด็กคนไหน เด็กคนนั้นก็คงเป็นพี่น้องกับเรานั่นแหละ เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ควรจะไปมีอะไรกับเขา โอเคมั้ย

 

แม้เราจะไม่ได้อยู่ป่าแบบในยุคโบราณแล้ว คนที่โตมาพร้อมกับเราตอนเด็กๆ ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เป็นญาติกัน แต่สัญชาตญาณการไม่ชอบคนที่เติบโตมาด้วยกันก็ยังคงอยู่

ด้วยเหตุนี้เราจึงมักไม่ค่อยพบใครที่แต่งงานกับคนที่เรียนอนุบาลมาด้วยกัน หรือไม่ค่อยเกิดความรู้สึกปิ๊งปั๊งสนใจเพื่อนที่โตด้วยกันมาตั้งแต่เด็กสักเท่าไหร่ เพราะสมองเราถูกดีไซน์มาให้ “ไม่เป็นแฟนกับพี่น้อง”

 

คำว่า “พี่น้อง” จึงกลายเป็นคำที่บอกกลายๆ ว่า ฉันจะไม่มีวันเป็นแฟนกับเธอ (ไม่ได้แอ้มฉันแน่ๆ) ด้วยประการฉะนี้ (ขยี้ไปอีก)

 

ส่วนการที่ผู้หญิงมักเป็นฝ่ายกำหนดสถานะพี่น้อง เพราะโดยธรรมชาติผู้ชายมีความรังเกียจการสืบพันธุ์กับพี่น้องน้อยกว่าผู้หญิง

อย่างที่บอกไปว่า ผู้หญิงเป็นฝ่ายทุ่มเทมากในการสร้างทายาทสักคนเพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ แต่ผู้ชายนั้นทุ่มเทน้อยกว่า ผู้ชายก็เลยมักเป็นฝ่าย “ยอม” ให้ผู้หญิงกำหนดขอบเขตความสัมพันธ์เรื่อยมา (ผู้ชายนี่น่าสงสารจริงๆ นะครับ)

ด้วยเหตุนี้เราเลยต้องทุกข์ทรมานกับคำว่า “พี่น้อง” นี้ไปอีกนาน ฝันดีครับ “พี่น้อง”

 

คอลัมน์ “จักรวาลแห่งความรัก ดาวเคราะห์แห่งความเหงา”
โดย นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์
Hug magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 7
ปก: ใบเฟิร์น อัญชสา


งานที่รัก vs หัวหน้าที่ไม่(น่า)รัก

งานที่รัก vs หัวหน้าที่ไม่(น่า)รัก

______________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

 

 

 

“หนูตัดสินใจแล้วค่ะ ต่อให้หนูชอบงานนี้ เป็นงานที่ใฝ่ฝันว่าอยากทำตั้งแต่มัธยมแล้ว แต่ถ้ามันทำให้หนูเสียทั้งสุขภาพกายสุขภาพจิต หนูก็ไม่ควรต้องอดทนทำมันต่อไป ชีวิตหนูไม่ได้สิ้นหนทางจนต้องทู่ซี้ทำงานนี้จนตาย”

 

หญิงสาววัยยี่สิบปลายๆ พูดด้วยเสียงสั่นเครือ เธอยังปั้นสีหน้าเข้มแข็งไว้ได้ ตาโตๆ สองข้างของเธอเกร็งเหมือนจะพยายามคุมน้ำตาไว้ไม่ให้เอ่อ สุภาพสตรีท่านนี้ไม่ได้อยากมาพบจิตแพทย์ค่ะ รุ่นพี่ในที่ทำงานบังคับแกมขอร้องให้มาเพราะเธอตัดสินใจยื่นใบลาออกหลังจากทำงานขึ้นปีที่ 4 เธอเป็นคนคล่องแคล่วและมั่นใจ ทำงานเรียบร้อยและถือว่ามีจุดบกพร่องให้ตำหนิน้อยมากเมื่อเทียบกับเพื่อนร่วมงานคนอื่นที่เข้างานมาในเวลาไล่เลี่ยกัน อาจเรียกได้ว่าเธอเป็นพนักงานที่เก่งที่สุดในรุ่นเดียวกัน ตำแหน่งที่สูงขึ้นรออยู่ข้างหน้า จึงเป็นเหตุให้ช็อกกันทั้งบริษัทเมื่อเธอตัดสินใจยื่นใบลาออก

 

“งานนี้ทำให้เสียสุขภาพอย่างไรคะ”

“เรื่องสุขภาพกายหนูไม่ได้กังวลมากหรอกค่ะ ทุกคนงานหนักเหมือนกัน ถึงงานจะยากแต่หนูก็ชอบทำเพราะมันเป็นการพัฒนาตัวเอง แต่ปัญหาคือสุขภาพจิตค่ะ หัวหน้าของหนูเป็นคนอารมณ์ร้าย ถ้าใครทำงานช้าก็จะโดนต่อว่ารุนแรง ถ้าทำงานผิดพลาดนี่ คำด่าหยาบคายออกมาไม่หยุดเลยค่ะ แต่หนูก็เป็นคนที่โดนน้อยที่สุดแล้วถ้าเทียบกับเพื่อนคนอื่น”

“เพราะอะไรคุณถึงโดนน้อยกว่าคนอื่นคะ”

“หนูปรับตัวได้ค่ะ รู้ว่าควรจะเข้าหายังไง จังหวะไหนควรพูด จังหวะไหนควรเงียบ แล้วงานหนูก็เรียบร้อย”

“ฟังดูแล้วคุณก็ปรับตัวได้ดี แล้วทำไมอยากลาออกเสียล่ะคะ”

“ก่อนหน้านี้มีคนลาออกไปคนหนึ่งค่ะ หัวหน้าก็เลยเอางานของคนนั้นมาให้หนูทำเกือบหมด เพราะเห็นว่าหนูทำงานได้ดี แทนที่แบ่งให้เท่าๆ กันเขากลับให้หนูทำคนเดียว พอไม่ได้ดั่งใจเขาก็ต่อว่า”

“คุณเลยอยากลาออกเพราะงานหนักขึ้นเหรอคะ”

“เปล่าค่ะ หนูคิดว่าถ้าหนูลาออกเขาคงจะลำบากขึ้น บางทีเขาอาจสำนึกได้ว่าเพราะความไม่ยุติธรรมแล้วก็อารมณ์ร้ายๆ ของเขาทำให้ตัวเขาเองต้องมาลำบากเพราะไม่มีใครอยากทำงานด้วย”

“คุณคิดว่าด้วยนิสัยแบบหัวหน้าคุณ เขาจะสำนึกไหมคะ”

 

เธอนิ่งคิดไปนานเลยค่ะ ในที่สุดก็ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

 

 

“เขาคงไม่สำนึกหรอกค่ะ หนูไม่ใช่คนแรกที่ลาออก มีคนลาออกก่อนหน้าหนูตั้งหลายคน แต่เขาก็ยังนิสัยเหมือนเดิม ที่จริงหนูอาจจะแค่อยากหนีปัญหาเฉยๆ ก็ได้ค่ะ อยากไปให้ไกลจากหัวหน้าคนนี้”

“หมอคิดว่าการลาออกก็เป็นวิธีแก้ปัญหาอย่างหนึ่ง แต่มันไม่ใช่วิธีเดียวหรอกค่ะ หัวหน้าร้ายๆ คนเดียวทำให้คุณต้องลาออกจากงานในฝันแล้วก็ไปเสี่ยงกับที่ทำงานใหม่ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมีหัวหน้าร้ายๆ แบบนี้อีกหรือเปล่า แม้แต่งานที่คุณรักคุณยังเลือกลาออก แล้วไปทำงานที่ใหม่ซึ่งอาจจะไม่ใช่งานที่คุณรัก ถ้าเจอปัญหาคุณจะไม่ยิ่งอยากลาออกเหรอคะ หมอคิดว่าคุณน่าจะหาทางอื่นนอกจากลาออกไว้ด้วยแล้วค่อยๆ พิจารณาอย่างมีสติ”

“หมอคิดว่าหนูไม่ควรลาออกเหรอคะ ทั้งที่งานทำให้หนูสุขภาพจิตแย่ แล้วหนูก็ยังมีทางไปนะคะ”

“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณลาออกค่ะ ปัญหาอยู่ที่คุณไม่คิดถึงทางเลือกอื่นๆ เลยต่างหาก คนไข้ของหมอบางคนที่มีความกังวลหรือเครียดมากๆ ก็อาจจะมองโลกแคบเกินไป เห็นทางแก้ปัญหาแค่ทางเดียวทั้งที่มีอีกตั้งหลายทาง ถ้าคุณได้พบทางอื่นๆ และพิจารณาข้อดีข้อเสียอย่างรอบคอบแล้วจะเลือกลาออกก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ถ้าคุณไม่เห็นทางอื่นและมุ่งจะลาออกอย่างเดียว พอคุณหายเครียดแล้วเริ่มมีสติกลับมาคิดได้ คุณอาจเสียใจที่วันนี้คุณลาออกแทนที่จะใช้วิธีอื่น เช่น เจรจากับหัวหน้าเรื่องแบ่งงานให้ยุติธรรมหรือย้ายหน่วยงาน”

 

เธอยังดูไม่แน่ใจค่ะ แต่ก็บอกว่าที่จริงหลังจากวันที่มีข่าวลือว่าเธอจะลาออก หัวหน้าก็นัดประชุมเพื่อแบ่งงานกันใหม่ ทุกอย่างดูเหมือนจะดีขึ้น แต่ที่ยังยึดติดกับการลาออกอยู่เพราะยังเคืองหัวหน้าไม่หายนี่เอง

เป็นเรื่องปกติที่เวลาเครียดเรามักมองเห็นทางแก้ปัญหาแค่ทางเดียวเท่านั้น เป็นทางที่เราเชื่อว่าดีที่สุดและไม่ยอมฟังทางเลือกอื่นจากคนอื่นเลย วิธีสังเกตตัวเองง่ายๆ ว่าทางแก้ปัญหาของเราเหมาะสมหรือไม่ คือลองถามคนที่สนิทกับเรา 4 คนค่ะ ถ้าไม่มีใครคิดเหมือนเราเลย แบบสุภาพสตรีท่านนี้ที่ถามใครก็ไม่มีใครสนับสนุนให้ลาออก แสดงว่าวิธีคิดของเราอาจจะมีปัญหา ให้ตั้งสติแล้วค่อยๆ คิดตอนไม่เครียดนะคะ

 

คอลัมน์ : คุยชีวิตกับจิตแพทย์ 

โดย พญ.วินิทรา นวลละออง 


เป้าหมายชีวิตคือพิชิตใจเธอ สอง-บุตรี เผือดผ่อง & ไอ-เป็นเอก การะเกตุ

เป้าหมายชีวิตคือพิชิตใจเธอ
                    สอง-บุตรี เผือดผ่อง & ไอ-เป็นเอก การะเกตุ

เมื่อความรักเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เขาและเธอก้าวไปข้างหน้า สอง-บุตรี & ไอ-เป็นเอก อดีตนักกีฬาเทควันโดทีมชาติไทย จึงตัดสินใจทุ่มเทเวลาเพื่อออกเดินทาง สร้างชีวิตใหม่ให้มั่นคงยิ่งกว่าเดิม

_____________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

 

 

จากเพื่อนสู่คนรู้ใจ

สำหรับคอกีฬาเทควันโด คงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก สอง-บุตรี และไอ-เป็นเอก คู่รักนักเทควันโดชื่อดัง เจ้าสาวนั้นสวยสตรอง ดีกรีเหรียญเงิน กีฬาโอลิมปิก ปี 2008 ส่วนเจ้าบ่าวยังก็ไม่น้อยหน้า ดีกรีอันดับ 4 กีฬาโอลิมปิก ปี 2012 ย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นของความรักครั้งนี้เมื่อปลายปี 2560 หนุ่มไอเล่าว่า ทั้งคู่ต่างเป็นนักกีฬาเทควันโด จึงมีโอกาสพบปะกันตอนฝึกซ้อมทีมชาติ และได้ไปแข่งขันในทัวร์นาเมนต์เดียวกัน ทำให้รู้จักและมีความใกล้ชิดจนความรักค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อย

 “ตอนอายุประมาณ 19-20 เริ่มคุยและคบหาเหมือนคู่อื่นๆ ที่ซ้อมกัน เขาใกล้จะเลิกไปแข่งโอลิมปิกแล้ว แต่ผมกำลังจะไป เราคุยกันสักพักแบบปิดบัง เพราะเราทั้งคู่เป็นนักกีฬาทีมชาติ คนรู้จักรอบตัวและครอบครัวของเราสนิทกัน ก็คบกันจริงจังพอสมควร ก่อนผมจะไปแข่งโอลิมปิก โค้ชก็เรียกคุยว่า ถ้าผมมีสมาธิไม่มากพอ อาจไม่ประสบความสำเร็จ ผมจึงต้องทุ่มเทเต็มที่และตั้งใจซ้อม” หากถามว่าในวัยนั้นทำไมเขาถึงเลือกจริงจังกับความรักควบคู่กับการเป็นนักกีฬาเทควันโด ไอตอบว่า “ผมมีทัศนคติในเรื่องนี้ค่อนข้างจริงจัง พ่อก็ย้ำว่าถ้าคบกับสองนั้นไม่เหมือนคบกับคนทั่วไปนะ เพราะพ่อรู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก สองเป็นคนเก่ง แต่เรากลับรู้สึกว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้เราเข้ากันได้ ตอนที่จีบกันตั้งแต่แรกก็บอกสองว่าเราจริงจังนะ คิดไปถึงแต่งงานเลย”

ส่วนสาวนักเทควันโดเล่าต่อว่า “ตอนที่เขามาบอกก็ไม่ได้เชื่อ เพราะรู้จักกันและรู้ว่าตอนเป็นเพื่อนเขาเป็นยังไง เราไม่ได้โฟกัสถึงแต่งงาน ตั้งใจว่าคงคุยกันไปเรื่อยๆ ก่อนพูดคุยกันเรามองเขาอีกอย่างหนึ่ง พอคุยกันจริงๆ เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราเห็นเลย” แม้ว่าสองและไอกำลังปลูกต้นรักกันอย่างจริงจัง พวกเขาก็ไม่ลืมหน้าที่ความรับผิดชอบในฐานะนักกีฬาทีมชาติแต่อย่างใด

 

ลิมิตเวลาเพื่อรักเรา

ช่วงที่ไอและสองคบหากันนั้นคาบเกี่ยวระหว่างวัยรุ่นกับวัยทำงาน นับเป็นอุปสรรคในความสัมพันธ์ของทั้งคู่ ประเด็นนี้หนุ่มไออธิบายว่า ตอนเรียนมหาวิทยาลัย เขาเรียนด้านสถาปัตยกรรมซึ่งเรียนหนักมาก ต้องแบ่งเวลาซ้อมเทควันโดด้วย และเวลาส่วนหนึ่งให้เพื่อน จนบางครั้งไม่มีเวลาให้แฟนสาว กระทั่งทะเลาะกันอยู่บ่อยครั้ง ลงท้ายทั้งสองได้ทำข้อตกลงเรื่องระยะเวลาในการปรับปรุงตัวเองเพื่อให้รักดีขึ้นกว่าเดิม

สองอธิบายถึงปัญหานี้ว่า “เขาขอลิมิตเวลา เราก็เข้าใจว่าที่ผ่านมาเขาซ้อมตลอด และเรียนสถาปัตย์ การทำงานดึก แล้วสังสรรค์กับเพื่อนนั้นเป็นเรื่องปกติ แต่พอเอาเรื่องเรียนกับเรื่องการอยู่กับเพื่อนมารวมกันปัญหาของเราจึงยาก เขาบอกว่าเป็นแค่ช่วงนี้ อีกไม่กี่เดือนก็เรียนจบแล้ว แต่ถ้าเรียนจบยังทำตัวแบบนี้อยู่ก็เลิกกัน สุดท้ายพอเขาเรียนจบก็ไม่มีปัญหาเดิมเกิดขึ้นจริงๆ”

“ประเด็นคือตอนนั้นอยู่ในช่วงวัดใจ เพราะเราอยู่ในช่วงคาบเกี่ยวกับการเป็นวัยรุ่นที่กำลังก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่ ปัญหาที่ผมเคยทนไม่ได้ ตอนนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดามากที่ผมไม่ตอบโต้แล้วทิ้งมันไป ไม่ต้องคุยหรือโกรธกันด้วยซ้ำ เขาก็เหมือนกัน การทะเลาะกันเป็นเรื่องธรรมดา อยู่ที่ว่าเราตั้งสติได้เร็วแค่ไหนเพราะมีบ้างที่เราโมโห แต่อีกวันหนึ่งพอลืมตาตื่นขึ้นมาเรื่องราวนั้นก็หายไปแล้ว เพียงเราเข้าใจว่าอารมณ์นั้นเป็นเรื่องที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา” ไออธิบายเสริม

 

 

เมื่อรักต้องปรับจูน

ไอกล่าวว่า “ผมคิดว่าเป้าหมายในชีวิตคู่นั้นต้องปรับและมีร่วมกันในบางส่วน ยิ่งมีส่วนที่ร่วมกันเยอะมากเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าเรามีเป้าหมายเหมือนกัน เวลาพูดคุยกันก็เข้าใจและรู้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร ตั้งแต่เด็กผมเป็นคนจริงจังกับทุกอย่างในชีวิต ต้องวางแผนและมีเป้าหมายชัดเจนล่วงหน้า 5-10 ปี พอผมพูดเรื่องนี้จริงจัง เขาก็บอกว่า คิดทำไม จนช่วงหลังๆ เขายอมพูดคุยเรื่องการวางแผนชีวิตกับเรามากขึ้น แต่เขาก็คอยเตือนว่าระหว่างทางไม่ต้องซีเรียสขนาดนั้น เรื่องที่ผมต้องปรับตัวคือรู้จักผ่อนคลายบ้าง ใช้ชีวิตแบบไม่ตึงจนเกินไป” เราเองก็เห็นด้วยเช่นกันว่า ความรักที่ดีต้องมีการวางแผน แต่ระหว่างทางต้องผ่อนคลายเพื่อให้ความสัมพันธ์ไม่ตึงเครียดจนเกินไป เพื่อช่วยกันประคับประคองความรักให้ยืนยาว 

 

เติมรักให้กันและกัน

ในชีวิตจริงสามีภรรยาคู่นี้หมั่นเติมความหวานด้วยการบอกรักและกอดหอมกันทุกคืนก่อนนอน แต่ฝ่ายสามีนั้นไม่เชื่อเรื่องการเซอร์ไพรส์ขอแต่งงานสักเท่าไหร่ “ผมไม่มีเซอร์ไพรส์และไม่เชื่อเรื่องนี้ ผมมองว่าการขอแต่งงานแบบนั้นอีกฝ่ายต้องไม่รู้จริงๆ ว่าเราจะขอ วัดกันไปเลยว่าจะแต่งหรือไม่ เวลาผมเห็นวิดีโอแบบนี้ผมก็บอกเขาว่าผมไม่ขอนะ แต่เราก็วางแผนว่าจะแต่งงานเมื่อไหร่ ส่วนเรื่องการเอาใจใส่ดูแลเราใช้วิธีถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ ไปไหนก็ไปด้วยกัน เหมือนเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันอยู่แล้ว”

ส่วนนิสัยใจคอบางอย่างและการใช้ชีวิตก็มีความแตกต่างกัน ทุกวันสามีหนุ่มมักตื่นแต่เช้าไปวิ่งออกกำลังกาย ด้วยเหตุนี้ภรรยาสาวจึงขอเล่าต่ออย่างเคอะเขินว่า “เขาเป็นคนตื่นเช้ามาก แต่หนูชอบนอนตื่นสาย เรื่องอาหารการกินก็ไม่เหมือนกัน เขากินได้ทุกอย่าง แต่หนูเป็นคนเลือกกิน อะไรที่แปลกๆ จะไม่กินเลย” หลังจากภรรยาสาวพูดจบ สามีสุดหล่อก็อธิบายอย่างอารมณ์ดีว่า พออยู่ด้วยกันไปนานๆ ก็รู้ว่าภรรยาเป็นคนแบบไหน ตนจึงไม่ได้ฝืนหรือบังคับให้เธอต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบ แต่กลับให้ความสำคัญเรื่องการวางแผนและสร้างเป้าหมายในชีวิตคู่ ซึ่งหากชีวิตคู่ขาดสิ่งนี้ก็อาจเกิดความขัดแย้งกันมากขึ้นได้

 

 

เพื่อนคู่คิด มิตรคู่ใจ

เมื่อความสัมพันธ์พัฒนามาเป็นคนรักแล้ว ถึงวันนี้มีความรู้สึกพิเศษหรือความประทับใจอะไรกันบ้าง ฝ่ายชายบอกด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า “เรารู้จักกันมานาน เขาน่ารัก เรียบร้อย ผมประทับใจเขาที่เป็นคนเก่ง พ่อแม่ของผมก็รู้จักและชอบสองมาตั้งแต่ตอนเด็กๆ แล้ว” ส่วนฝ่ายหญิงหันไปยิ้มให้สามีก่อนตอบ “เราประทับใจเขาหลังจากที่เริ่มคุยกันแล้ว เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดไว้หรือมองเขาเป็นแค่เพื่อนคนหนึ่งอีกต่อไป เรามองเขาในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง เขาเป็นคนมีความคิดที่ดี สิ่งสำคัญคือเขาไม่เคยคิดร้ายหรือเบียดเบียนใคร”

เราถามทั้งคู่ต่อว่า ถึงวันนี้มีเรื่องใดที่ยังไม่เคยบอกแก่กันอีกไหม “ผมอาจไม่ได้บอกว่ารู้สึกดี รู้สึกรัก แต่ทุกครั้งที่คิดย้อนกลับไปผมรู้สึกเสมอว่า ผมโชคดีที่ได้รู้จักเขามาตั้งแต่เด็ก เราอยู่ด้วยกันมาสิบปีไม่มีเบื่อ เรื่องราวมันเปลี่ยนไปตลอด ด้วยกิจกรรมที่เราทำ ผมทำธุรกิจส่วนตัวจากห้องเล็กๆ จนกลายมาเป็นตึก มันมีเรื่องราวที่เราคุยกันได้ไม่รู้จบ ครอบครัวเราโชคดีตรงที่เชื่อมโยงถึงกันหมดตั้งแต่รุ่นพ่อแม่ ผมโชคดีมากๆ ที่ตัดสินใจจีบเขาในวันนั้น พูดไปก็เหมือนละคร แต่ผมมีภาพในหัวว่าถ้าคบกับเขา ชีวิตของเราต้องเหมือนเพื่อนที่มีความสุขและสนุกไปด้วยกัน ถึงวันนี้ก็เป็นแบบนั้นจริงๆ”

ส่วนภรรยาสาวร่างเล็กตอบสั้นๆ อย่างจริงใจว่า “ไอเป็นคู่คิดที่ดี หากเรามีเรื่องต้องตัดสินใจ ไม่ว่าเรื่องงาน เพื่อน หรือครอบครัว ก็สามารถปรึกษาปัญหาและพึ่งพาเขาได้ทุกเรื่องจริงๆ” แม้เป็นคำพูดสั้นๆ จากภรรยา แต่เรากลับรับรู้ได้ถึงความรักที่เธอมอบให้สามีผ่านแววตาและคำพูดที่เรียบง่ายแต่ออกมาจากใจ

ว่ากันว่าการเริ่มต้นรักกันนั้นง่าย เพราะบางคนใช้เวลาไม่มากเท่ากับการรักษาความสัมพันธ์ที่มีอยู่ให้ยั่งยืน สิ่งสำคัญคือการที่คนสองคนพยายามปรับตัวเข้าหากัน รวมทั้งเข้าใจมุมมอง ทัศนคติของอีกฝ่าย และหมั่นเติมความรักอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้ความรักของคุณมีความสุขและเพิ่มเติมรอยยิ้มในชีวิตรักได้บ้างไม่มากก็น้อย ลองดู


6 Beauty Item บำรุงผิวชุ่มชื้นและแต่งเติมความสดใสให้ผิว

6 Beauty Item บำรุงผิวชุ่มชื้น
และแต่งเติมความสดใสให้ผิว

——————————————————————————————————————————————————————————————————–

 

ช่วงนี้สาวๆ หลายคนมักออกเดินทางไปท่องเที่ยวชิลๆ กันมากมาย ฮักจึงอยากชวนสาวๆ มาเตรียมผิวหน้าให้ชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และสดใสกันก่อนจะออกไปท่องเที่ยวด้วย 6 Beauty Item รับประกันได้ว่าสาวๆ ใช้แล้วต้องแฮปปี้พร้อมไปเที่ยวแบบสวยๆ กันอย่างแน่นอน

 

 

 

 

 

Saturday Skin: Pore Clarifying Toner

ราคา 1,020 บาท

โทนเนอร์ที่ช่วยบำรุงให้ผิวนุ่ม ควบคุมความมัน กระชับรูขุมขนให้ผิวแลดูสุขภาพดียิ่งขึ้น

 

 

Kiehl’s Vital Skin-Strengthening Super Serum

ขนาด 30 มล. ราคา 2,700 บาท

เซรั่มที่ช่วยฟื้นฟูให้ผิวสุขภาพดีขึ้นใน 4 สัปดาห์ ช่วยเพิ่มความกระจ่างใส ลดเลือนริ้วรอย ปรับผิวให้เรียบเนียน แลดูอ่อนเยาว์

 

 

Fresh: Sugar Lip Hydrating Balm

ราคา 740 บาท

ลิปบาล์มที่มอบความชุ่มชื่นนาน 6 ชั่วโมง ทาเดี่ยวหรือลงเป็นเบสเพื่อบำรุงเรียวปากก็ได้เช่นกัน

 

 

 

Benefit Cosmetics: Sugarbomb Blush

ราคา 760 บาท

บลัชออนประกายชิมเมอร์โทนสีพีชแสนสวย ดูเป็นธรรมชาติ เม็ดสีแน่น ติดทนนาน ไม่ต้องเติมระหว่างวัน

 

 

 

NARS: Oil-Infused Lip Tint

ราคา 1,100 บาท

ทินต์เนื้อบางเบาเกลี่ยง่าย ด้วยสารสกัดจากน้ำมันเมล็ดราสพ์เบอร์รี่ บำรุงริมฝีปากให้เนียนนุ่ม พร้อมปกป้องมลภาวะ

 

 

 

Paco Rabanne: Lady Million Empire Eau De Perfume

ราคา 4,700 บาท

น้ำหอมที่ผสานสองกลิ่นที่แตกต่าง กลิ่นอ่อนหวานจากดอกแมกโนเลีย และกลิ่นเซ็กซี่เย้ายวนจากเหล้าคอนญักที่ลงตัวจนตราตรึงใจ

 

 


อำแดงไต้ฝุ่น อาหารไทย-จีนรสมือต้นตำรับ

 

อำแดงไต้ฝุ่น : อาหารไทย-จีนรสมือต้นตำรับ

 

ฉบับนี้นิวนิวกับคุณแฟนพาคุณผู้อ่านที่รักมาเปิดประสบการณ์ความอร่อยของอาหารสองสัญชาติแบบต้นตำรับ ทั้งอาหารไทยและจีนฮ่องกง ที่ตั้งอยู่ ณ บ้านสไตล์โคโลเนียลหลังสีขาว ในซอยสุขุมวิท 32 หลังจากเราเดินเข้าไปในซอยไม่ถึง 1 นาที ก็พบกับร้าน “อำแดงไต้ฝุ่น” เราทั้งคู่ไปนั่งที่โต๊ะภายในห้องของส่วนหน้าบ้าน บรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยโทนสีเข้มอย่างสีครามและสีแดงเข้ม มุมหนึ่งของผนังมีภาพจิตรกรรมไทยแสนงาม

 

 

 

 

คำว่า “อำแดง” คือชื่อเรียกขานผู้หญิงในสมัยรัชกาลที่ 4 แทนคำว่านางหรือนางสาว เพราะเจ้าของร้านต้องการให้คนรุ่นใหม่รู้จักคำโบราณเพื่อมิให้เลือนหาย เฉกเช่นอาหารไทยสูตรพื้นบ้านดั้งเดิมที่ใส่ใจปรุงอย่างละเมียด ด้วยรสมือแบบคุณย่าคุณยายผู้เข้าครัวด้วยตนเอง และนับวันจะเหลือเพียงความทรงจำจึงอยากให้สิ่งเหล่านี้ยังคงอยู่ ส่วน “ไต้ฝุ่น” คือชื่อการผัดปูทะเลของชาวบ้าน ณ หมู่บ้านชาวประมง (Typhoon shelter) ที่เกาะฮ่องกงกลางอ่าวอะเบอร์ดีน (Aberdeen Harbor) ในช่วงมรสุมพายุไต้ฝุ่นพัดเข้าเกาะ ชาวประมงที่ใช้ชีวิตอยู่บนเรือ จึงคิดค้นการทำอาหารโดยใช้วัตถุดิบปรุงรสพื้นถิ่น และปูทะเลที่หามาได้ ผัดรวมกันจนเกิดเป็นตำนานความอร่อยสูตรพื้นบ้านเฉพาะของฮ่องกง

 

 

กล่าวได้ว่า “อำแดงไต้ฝุ่น” คือบ้านหลังงามในย่านสุขุมวิทที่เสิร์ฟอาหารพื้นบ้านต้นตำรับทั้งเมนูแบบไทยและจีนฮ่องกง ซึ่งแยกส่วนครัวไทยและครัวจีนไว้อย่างชัดเจน เนื่องด้วยใช้เครื่องปรุงต่างกัน แต่เมนูทั้งหมดกลมกล่อม ถูกปากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

หลังจากทราบประวัติคร่าวๆ เราเปิดเมนูที่มีทั้งอาหารและเครื่องดื่มให้เลือกหลากหลาย เริ่มจากเครื่องดื่มน้ำสมุนไพรสามสี น้ำอัญชันมะนาวสด น้ำกระเจี๊ยบ และน้ำเก๊กฮวย แล้วก็สั่งเมนูที่เป็นได้ทั้งเมนูเรียกน้ำย่อยและของหวานล้างปาก นั่นคือ “อำแดงไต้ฝุ่น” เต้าหู้โฮมเมดคลุกกับงาขาวบดแล้วนำไปทอด โรยด้วยน้ำตาลและเกลือ เพียงคำแรกที่ตักเข้าปาก รับรู้ได้ถึงความอร่อยที่ลงตัวและไม่เหมือนใคร หากมาเยือนแล้วไม่ได้สั่งเมนูนี้ถือว่าพลาด

 

น้ำอัญชันมะนาวสด น้ำกระเจี๊ยบ และน้ำเก๊กฮวย

 

อำแดงไต้ฝุ่น

 

ส่วนอาหารนั้นเราสั่ง “ข้าวผัดมันกากหมู” เมนูโบราณจากภูมิปัญญาของคนไทยสมัยก่อน หลังจากเจียวมันหมูเพื่อทำน้ำมันหมูไว้ใช้ น้ำมันที่ติดกระทะนั้นก็ผัดกับข้าวสวยและกากหมูที่เจียวไว้ ปรุงรสด้วยเกลือป่น ที่กินคู่กับอะไรก็อร่อย แต่นิวนิวกับคุณแฟนขอเริ่มกินกับกุ้งแม่น้ำเผาตัวโต เนื้อกุ้งแน่นๆ มันหัวกุ้งเยิ้มๆ คลุกเคล้ากินคู่กับน้ำจิ้มรสเด็ด อร่อยสุดๆ จนหยุดไม่อยู่

 

ข้าวผัดมันกากหมู

กุ้งแม่น้ำเผา

ความฟินเพิ่งเริ่มต้นเพราะเมนูต่อมาคือ “ปูผัด Spicy Crab” ปูคัดไซส์พิเศษ ผัดสไตล์ Typhoon shelter รสชาติต้นตำรับแบบฉบับชาวประมงอ่าวอะเบอร์ดีน เป็นเมนูพิเศษที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอให้ลิ้มลอง โดดเด่นเรื่องกระเทียมและพริกที่เจียวหอมกรอบ รสชาติเข้มข้น จนลูกค้าบางคนต้องห่อกลับ 

 

ปูผัด Spicy Crab

ต่อด้วยเมนูซุปร้อนๆ ซดคล่องคออย่าง “ปลาทูต้มมะดัน” ปลาทูสดตัวใหญ่ต้มกับมะดันจนเปื่อย เข้ากันกับกลิ่นพริกขี้หนูทุบ น้ำซุปรสกลมกล่อมกินคู่กับปลาทูสดเนื้อแน่นกำลังดี ส่วนคนรักปูดองห้ามพลาด เพราะที่นี่มี “ปูไข่ดองแดนกิมจิ” รสชาติดั้งเดิมเพิ่มเติมด้วยน้ำจิ้มแบบไทย และมีไข่ปูมาแบบเน้นๆ เต็มๆ แซ่บไม่รู้ลืม

 

ปลาทูต้มมะดัน

 

ช่วงบ่ายวันหยุดในบรรยากาศสบายๆ แบบนี้ นิวนิวกับคุณแฟนเลยสั่งเครื่องดื่มเบาๆ นิวนิวเลือก Singapore Sling ค็อกเทลที่คิดค้นโดย เงียมตงบุน บาร์เทนเดอร์ ณ ลองบาร์ (Long Bar) โรงแรมราฟเฟิลส์ สิงคโปร์ ราว พ.ศ.2458 เป็นเครื่องดื่มที่ผสมจินกับน้ำสับประรด น้ำมะนาว ให้สีกุหลาบชมพูเหมาะกับสาวๆ ส่วนคุณแฟนเลือก Blue Hawaii รสชาติเปรี้ยวนำหวานตาม เราสองคนจิบเครื่องดื่มพลางพูดคุยกันในบรรยากาศแสนอบอุ่นภายในบ้านหลังสีขาวของนางสาวไต้ฝุ่น

 

อำแดงไต้ฝุ่น

เปิดทุกวัน เวลา 11.00-22.30 น.

เลขที่ 8 สุขุมวิท 32 แขวงคลองตัน เขตคลองเตย กรุงเทพฯ

Facebook: อำแดงไต้ฝุ่น อาหารไทยจีนปูทะเลกุ้งแม่น้ำยักษ์

โทร. 09 5716 4712


4 หลักพุทธฯ ฉุดใจคว้ารัก

 

 

4 หลักพุทธฯ ฉุดใจคว้ารัก

________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

 

ฉบับนี้แหวกแนวกว่าฉบับที่ผ่านมา เพราะ Wonder Wanners ได้อ่านการเลือกคู่ตามหลักศาสนาพุทธแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจมาก สามารถไปนำประยุกต์ใช้ได้จริงในชีวิต ทั้งยังมีความเชื่อมโยงกับจิตวิทยาด้วย มาดูกันว่ามันเชื่อมโยงกันอย่างไร หลักธรรมในการเลือกคู่ครองและครองรักกันอย่างมีความสุขและยืนยาว คือ “สมชีวิธรรม 4” เราควรเลือกคู่ครองให้มี 4 ลักษณะ ดังนี้

1. สมสัทธา (to be matched in faith)

คือ มีศรัทธาสมกัน หรือเสมอกัน มีความเชื่อในสิ่งเดียวกัน มีทัศนคติในการมองโลกและรสนิยมในการใช้ชีวิตไปในทางเดียวกัน เมื่อศรัทธาเสมอกันจะทำให้เข้าใจกัน อยู่ด้วยกันอย่างกลมกลืน ไม่มีความขัดแย้ง และชักจูงการดำเนินชีวิตไปในทิศทางเดียวกัน

2.สมสีลา (to be matched in moral)

คือ มีศีลสมกัน หรือเสมอกัน กล่าวคือ มีหลักในการประพฤติปฏิบัติตนเรื่องผิดชอบชั่วดีเหมือนๆ กัน เช่น ถ้าคนหนึ่งไม่ชอบการโกหก อีกคนหนึ่งต้องไม่ชอบการโกหกด้วย ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมักโกหกเป็นนิสัย อีกฝ่ายหนึ่งย่อมเกิดความไม่ไว้วางใจและอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข หรืออยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน

3.สมจาคา (to be matched in generosity)

คือ มีจาคะสมกัน หรือเสมอกัน มีน้ำใจ เมตตากรุณา โอบอ้อมอารี เท่าๆ กัน ชอบเกื้อกูลสนับสนุนญาติพี่น้อง และคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนตระหนี่ ก็ย่อมเกิดความไม่พอใจทุกครั้งที่อีกฝ่ายหนึ่งช่วยเหลือแบ่งปันแก่ผู้อื่น พอจาคะไม่เสมอกัน หากอยู่ร่วมกันไป ชีวิตย่อมจะมีแต่ความขัดแย้ง ไม่มีความสงบราบรื่น

4.สมปัญญา (to be matched in wisdom)

คือ มีปัญญาสมกัน หรือเสมอกัน ทั้งชายและหญิง มีความเฉลียวฉลาดพอๆ กัน ความคิดความอ่านต้องไปกันได้ ใช้วิจารณญาณในการมองปัญหา แก้ปัญหา และตัดสินใจไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ถ้าฝ่ายหนึ่งชอบใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา แต่อีกฝ่ายหนึ่งชอบใช้อารมณ์ ก็ไม่ควรเลือกมาเป็นคู่ครอง เพราะชีวิตสมรสจะมีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง คู่ชีวิตควรเช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ

หากปัญญาไม่เสมอกันจะทำให้เกิดความไม่กลมกลืนกัน ไม่สมดุลย์กัน คุยกันไม่รู้เรื่อง มีแต่ความอึดอัดรำคาญใจ

 

 

ในทางจิตวิทยา มีงานวิจัยที่สนับสนุนเรื่องของการเลือกคู่แบบ homophily  (หมายถึง คนเรามักแต่งงานกับคนที่มีพื้นฐาน นิสัย ทัศนคติ ความเชื่อ อายุ ฯลฯ คล้ายกับตนเอง) ตามหลัก similarity attraction theory งานวิจัยของ Humbad และคณะ (2010) กล่าวว่าคนเราจะแต่งงานกับคนที่คล้ายกับตนเอง หรือถ้าแต่งกับคนที่ไม่คล้ายกัน อยู่นานๆ ไปจะคล้ายกันไปเอง ซึ่งสอดคล้องกับหลักการครองคู่ของศาสนา

นักจิตวิทยาได้เน้นย้ำว่าความคล้ายคลึงกันด้านทัศนคติ ความเชื่อ และค่านิยม สำคัญกว่าความเหมือนกันด้านบุคลิกภาพ (Bradbury & Karney, 2010) เชื่อมโยงกับหลัก “สมสัทธา” ที่ว่า ความศรัทธา ความเชื่อต้องเสมอและไปในทิศทางเดียวกัน จากที่กล่าวมานี้จึงเห็นได้ว่าหลักจิตวิทยานั้นสอดคล้องกับหลักสมชีวิธรรม 4 ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก

 

คุณสมบัติของผู้ชายที่ดีที่เราควรมองหาในคู่ชีวิตตามหลักพระพุทธศาสนา
มีดังนี้

1) ความอดทน 2) ขยัน 3) หนักแน่นไม่โกรธง่าย 4) จริงใจในการคบหา 5) สงเคราะห์เกื้อหนุนผู้อื่น มีเมตตา 6) พูดจาไพเราะ 7) มีปัญญา 8) มีความกตัญญู และ 9) มีความเสมอต้นเสมอปลาย (ภิรมย์, 2554)  

 

เช่นเดียวกันกับงานวิจัยทางจิตวิทยาที่ได้เสนอว่าคุณสมบัติหลักๆ ที่เราควรมองหาในคู่ชีวิต 

คือ 1) ความไว้วางใจ ความสัตย์จริง (trustworthiness) 2) ความมีเมตตา ใจดี (kindness) 3) บุคลิกนิสัย (personality) และ 4) ความฉลาดเฉลียวของคู่ (mate’s intelligence) (Campbell, Pink, & Stanton, 2003)

 

เห็นไหมว่าหลักธรรมในศาสนาพุทธนั้นทันสมัยขนาดไหน? ผ่านมากว่า 2,500 ปี ยังเป็นคำสอนที่นำมาใช้ได้ถึงทุกวันนี้ ผลของการวิจัยทางจิตวิทยาตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ออกมาสอดคล้องกับคำสอนของพระองค์อย่างไม่บังเอิญ ลองศึกษาธรรมะแล้วไปประยุกต์ใช้ดูค่ะ สนุกดี

สุดท้ายนี้ “ตัวเรา”เป็นผู้เลือกว่าชีวิตของเราจะไปทิศทางใด คู่ชีวิตคือฐานพลังสำคัญที่เป็นเบื้องหลังความสำเร็จในชีวิต

การเลือกคู่ชีวิตต้องเลือกด้วยสติปัญญา และรักในแบบที่เขาเป็น 100 เปอร์เซ็นต์ อย่าเลือกด้วยความหลงใหล เพราะความหลงใหลมันไม่ยั่งยืน

ขอให้ทุกคนมีความสุขกับการมีรักดีๆ ค่ะ

 

อ้างอิง:

บุญยิ้ม ภิรมย์. (2554). การศึกษาหลักการเลือกคู่ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท (วิทยานิพนธ์). มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย, กรุงเทพมหานคร.

“อากงฺเขยฺยํ เจ คหปตโย อุโภ ชานิปตโย” จาก สุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต-พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑

ธรรมะกับชีวิตประจำวัน – เรื่อง การเลือกคู่ครอง. http://oknation.nationtv.tv. (2551). http://oknation.nationtv.tv/blog/pimahn/2008/04/23/entry-1.

Bradbury, T. N., & Karney, B. R. (2010). Intimate Relationships (1st ed.). New York: W.W. Norton & Company, Inc.

Campbell, L., Pink, J. C., & Stanton, S. C. E. (2015). Ideal mate standards and romantic relationships. APA Handbook of Personality and Social Psychology, Volume 3: Interpersonal Relations., 247–269. https://doi.org/10.1037/14344-009

Humbad, M. N., Donnellan, M. B., Iacono, W. G., Mcgue, M., & Burt, S. A. (2010). Is Spousal Similarity for Personality A Matter of Convergence or Selection? Personality and Individual Differences, 49(7), 827–830.doi: 10.1016/j.paid.2010.07.010

 

คอลัมน์ : รอบรู้เรื่องรัก โดย Wonder Wanners


Glass Onion Seafood & Grill เสิร์ฟความสุขส่งตรงถึงบ้าน

 

Glass Onion Seafood & Grill เสิร์ฟความสุขส่งตรงถึงบ้าน

 

ท่ามกลางบรรยากาศอันแสนวุ่นวาย หลายคนจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น หากคิดไม่ออกว่าจะกินอะไรดี ลองสั่งอาหารเดลิเวอรี่ที่ส่งความอร่อยถึงบ้านกันดีกว่า ฉบับนี้ซารังขอแนะนำร้าน Glass onion seafood & grill ให้ทุกคนรู้จักและลองสัมผัสความอร่อยกับอาหารทั้งไทย จีน และยุโรป ที่คัดสรรวัตถุดิบมารังสรรค์เป็นเมนูแสนอร่อยส่งตรงถึงมือคุณ

 

 

ร้านนี้มีจุดเริ่มต้นจากคุณวิน ชาติพาณิชย์ เจ้าของร้านผู้รักการทำอาหารและชื่นชอบวง The Beatles          โดยเฉพาะจอห์น เลนนอน จึงรวบรวมความชอบเปิดเป็นร้านอาหาร โดยรีโนเวทบ้านเก่าของตัวเองให้ทันสมัยมากขึ้น ตั้งชื่อร้านจากบทเพลงของจอห์น เลนนอน สะท้อนความเป็นตัวตนของร้านที่ไม่ต้องมีคอนเซ็ปต์แต่ก็มีดีอยู่ในตัว นอกจากนั้นยังนำของสะสมเกี่ยวกับ The Beatles บางส่วนมาตกแต่งร้าน ใช้โทนสีขาว น้ำตาล สร้างบรรยากาศความอบอุ่น เป็นกันเอง และเข้าถึงง่าย

 

 

 

 

หากถึงวันที่ไร้เคอร์ฟิวแล้วคุณผู้อ่านอยากไปเยือน ทางร้านก็มีพื้นที่หลายแบบไว้รองรับ ทั้งห้อง private ที่เหมาะสำหรับพาคนรักมาทานข้าวเหมือนซารังกับแฟนแฟน แต่ถ้าอยากสังสรรค์หรือปาร์ตี้เพิ่มความสนุก ในช่วงเย็นทางร้านก็มีคาราโอเกะให้บริการที่ชั้นสองด้วย หากชอบบรรยากาศชิลล์ๆ รับลมเย็นๆ ก็มีโซน outdoor ไว้ให้คุณได้ผ่อนคลาย คุยเล่นสบายๆ อีกด้วย ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของที่นี่คือ สามารถพาสัตว์เลี้ยงเข้ามาในร้านได้ โดยต้องอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าของ เพื่อความปลอดภัยของสัตว์เลี้ยงและส่วนร่วมค่ะ

 

 

 

สำหรับอาหารของร้านนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน เพราะมีให้เลือกมากมาย การันตีความอร่อยจากเชฟตั้ม-ชัชพล ผู้มีประสบการณ์ในวงการอาหารทั้งในและต่างประเทศมากว่า 20 ปี ซารังและแฟนแฟนไม่พลาดสั่งเมนูแนะนำ ปูอบวุ้นเส้น รสชาติเข้มข้น หอมกลิ่นเครื่องเทศ หรือถ้าใครชอบกุ้งก็สั่งได้เช่นกัน กินคู่กับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยมากทีเดียว ถัดมาคือ ปลากะพงราดพริก ปลาตัวใหญ่ทอดจนเหลืองกรอบราดด้วยพริกแกงรสเปรี้ยวหวาน และใบโหระพาทอดกรอบเข้ากันอย่างลงตัว กินจนเหลือแต่ก้างเลยทีเดียว

 

 

 

จานต่อมาเป็นอาหารฝั่งยุโรปกันบ้าง สเต็กเนื้อออสเตรเลีย เชฟใช้ส่วนริบอายที่นุ่มละมุนลิ้น จิ้มซอสเกรวี่ที่ผ่านการเคี่ยวนานกว่า 2 วัน ใครที่เป็นสายเนื้อห้ามพลาดเลยล่ะ เมนูสุดท้าย ตำผลไม้กุ้งสด กุ้งเนื้อเด้ง สดใหม่ อร่อยเต็มๆ คำ คลุกเคล้ากับผลไม้ตามฤดูกาลรสเปรี้ยวหวานเพิ่มความสดชื่นแก่ร่างกายในวันกักตัว

 

 

นอกจากนี้ยังมีอีกหลากหลายเมนูซีฟูดที่ให้ซารังบอกคงไม่หมด แต่ขอบอกให้พอน้ำลายสอกันดีกว่า เช่น ปูผัดพริกเกลือ ฉู่ฉี่กุ้งแม้น้ำ ปลาเก๋านึ่งซีอิ๊ว เมนูซีฟูดเผาต่างๆ ทั้งกุ้งแม้น้ำ ปลากะพ หรือแม้แต่เมนูสปาเก็ตตี้ก็มีให้เลือกเยอะลองสอบถามทางร้านได้ค่ะ

 

 

มาเติมความหวานกันต่อที่เครื่องดื่ม ชาพีชผสมเนื้อพีช ชาสีเหลืองทองที่หอมกลิ่นพีชมากๆ ดื่มได้ไม่มีเบื่อ กับอีกหนึ่งเมนูเพิ่มความสดชื่นคือ อิตาเลี่ยนโซดาสตรอว์เบอร์รี่สหวานซ่อนเปรี้ยวแบบซ่าๆ เหมาะกับอากาศร้อนในตอนนี้เลย

 

 

 

ช่วงนี้ใครอยู่บ้านแล้วอยากกินอาหารอร่อยๆ เพื่อเพิ่มความสุขแก่ตนเองหรือคนรอบข้าง ทางร้านมีบริการเดลิเวอรี่ด้วยค่ะ สั่งที่เบอร์โทร.ของร้านโดยตรงหรือผ่านทางแอพพลิเคชั่น Line man ก็ได้เช่นกัน หรือหากอยากมานั่งรับประทานอาหารที่ร้านกับครอบครัวและเพื่อนๆ ตอนนี้ก็ได้เปิดบริการให้เข้ามานั่งกินอาหารที่ร้านเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครสนใจอยากมาชิมความอร่อยก็สามารถโทร.มาจองโต๊ะกันได้ รับรองว่าอาหารส่งตรงถึงมือทุกคนอย่างแน่นอน ทั้งอร่อย สะอาด สดใหม่ และปลอดภัย ช่วยเติมเต็มให้ชีวิตของคุณมีสีสันแห่งความสุขและรอยยิ้มยิ่งขึ้น

 

Glass Onion Seafood & Grill

เปิดทุกวันอาทิตย์-พฤหัสบดี เวลา 11.00 – 22.00 น. / ศุกร์-เสาร์ เวลา 11.00-23.00 น.

3689/3 ถ.เจริญราษฎร์ แขวงบางโคล่ เขตบางคอแหลม กรุงเทพฯ

โทร. 08-2491-4915

Facebook: GLASS ONION Bkk

Instagram: glassonion.bangkok


4 ข้อ เว้นระยะห่างยังไงให้ใจใกล้กัน

ช่วงนี้เรามีความจำเป็นต้องเว้นระยะห่าง ซึ่งแน่นอนว่าย่อมเกิดความเครียดพร้อมกับความเหงาที่คืบคลานเข้ามา ส่งผลให้จิตตกไปกันใหญ่ เงินก็ไม่มี กำลังใจก็ไม่มา ออกนอกบ้านก็ลำบาก และเพื่อประคับประคองความสัมพันธ์ให้สามารถอยู่ต่อไปได้ ฉบับนี้ขอนำเสนอเคล็ด(ไม่)ลับเรื่องรักที่ต้องรักษาระยะห่างมาฝากค่ะ

 

1. ห่างก็ต้องห่วง 

ถึงตัวจะไกลแต่ใจต้องใกล้กัน แม้ไม่ได้เจอหน้าแต่ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้หมดรัก แค่ต้องเปลี่ยนวิธีแสดงความรักความห่วงใย อาจใช้การวิดีโอคอลถามไถ่ให้ได้เห็นหน้ากันบ้าง หรือสั่งของขวัญหรือาหารที่เขาชอบผ่านช่องทางออนไลน์เดลิเวอรี่ส่งให้เขา เพื่อแสดงความเอาใจใส่กันอีกรูปแบบหนึ่ง

 

2. ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์

ถ้าหากสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน เราคงไม่สามารถรับรู้สถานการณ์ในต่างประเทศหรือแม้แต่สถานการณ์ของประเทศเราได้ดีเช่นปัจจุบัน เพราะเทคโนโลยีนั้นทำให้เราใกล้กันได้ ดังนั้นจงใช้ให้เกิดประโยชน์เพื่อลดระยะห่างระหว่างเราให้น้อยลง เมื่อเราไม่ห่างกัน ความรู้สึกที่มีย่อมไม่หวั่นไหวไปเป็นอื่น

 

3. ต้องมีความสม่ำเสมอ

อย่าคิดว่าต่างฝ่ายต่างอยู่บ้านเลยไม่จำเป็นต้องโทร.หาเหมือนอย่างเคย อย่าคิดแบบนั้นค่ะ เพราะเราเคยโทร.หรือแชทไลน์ก็ทำให้เป็นปกติ อย่าละเลย ยิ่งเครียดยิ่งต้องใส่ใจกันให้มาก คุยเล่นให้ชีวิตได้หัวเราะด้วยกันบ้าง หรืออาจทำกิจกรรมออนไลน์ร่วมกัน เช่น ชวนเล่นเกมหรือดูหนังออนไลน์พร้อมกัน อาจช่วยให้รู้สึกว่าไม่ห่างกันจนเกินไป

 

4. รับฟังไม่ใช่รองรับอารมณ์

เข้าใจว่าเครียดและหงุดหงิด แต่ใช่ว่าในช่วงนี้จะระบายความหัวร้อนกับใครก็ได้โดยเฉพาะกับคนรัก หลายคนมองว่าคนรักคือที่ปรึกษาและผู้รับฟังที่ดี ต้องแยกแยะให้ดีว่ารับฟังความเครียดหรือรองรับความเหวี่ยงวีน เพราะการระบายอารมณ์เสียใส่คนที่คุณรักและรักคุณย่อมไม่ใช่เรื่องดี ยิ่งรักกันยิ่งต้องแคร์ความรู้สึกกันให้มาก


ขี้เหวี่ยงหรือแค่เหงา

 

ขี้เหวี่ยงหรือแค่เหงา

__________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________________

 

ในชีวิตของคุณผู้อ่านคงหนีไม่พ้นการต้องเจอมนุษย์ประเภทที่เอาแต่ใจตัวเอง จุ้นจ้าน เรื่องเยอะ ชอบข่ม วีนเหวี่ยง และถากถางคนอื่นเป็นกิจวัตร จนสร้างมลพิษทางใจให้แก่เรายิ่งนัก

หากคนนั้นอยู่ที่โรงเรียน เขาก็คือสาเหตุที่เราไม่อยากไปเรียนหนังสือ หรือหากคนนั้นอยู่ที่ทำงาน เขาก็คือสาเหตุที่เราไม่อยากตื่นตอนเช้าไปทำงานนั่นแหละ คนพวกนี้มักดูเหมือนไม่สำนึกว่าตัวเองถูกคนรอบข้างเหม็นเบื่อจนไม่อยากเข้าใกล้ หนำซ้ำเดินกระหยิ่มยิ้มย่อง มีความสุขไปเรื่อย คล้ายกับว่าความเบื่อหน่ายของผู้อื่นคืออาหารจานโปรดของเขาก็ไม่ปาน

และก็คงมีสักครั้งที่คุณอดคิดไม่ได้ว่า

 

“ทำไมถึงเกิดมาเป็นคนแบบนี้วะ?”

“ชาติที่แล้วคงทำบาปมาเยอะ”

“พ่อแม่ไม่สั่งสอนเหรอ”

“สมองคงทำงานผิดปกติสินะ”

 

แหม อย่าเพิ่งให้ความโกรธเข้าครอบงำครับ เรามาใช้เหตุผลและวิทยาศาสตร์เพื่อเรียนรู้อย่างเข้าใจถึงความขี้เหวี่ยงกันดีกว่า

ดร.จอห์น ที. แคชออปโป (John T. Cacioppo) นักจิตวิทยาด้านประสาทวิทยาสังคม (Social Neuroscience) ผู้เชี่ยวชาญในเรื่องจิตวิทยาความเหงา อธิบายไว้ว่า จริงๆ แล้วคนที่นิสัยไม่ดีดังเช่นที่เราเจอนั้น อาจจะเกิดจากการที่เขาคนนั้น “เหงา” มากก็ได้

แต่ปกติคนเหงาก็น่าจะต้องเก็บตัวอยู่บ้าน ร้องไห้ในตู้เสื้อผ้า กินชาบู ปั่นเรือเป็ดคนเดียว อะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ แต่คนที่ดูไม่แยแสว่าใครจะรู้สึกยังไง คนแบบนี้เนี่ยนะ เหงา

ใช่แล้วครับ เขาเหงามากด้วย ดร.แคชออปโป อธิบายอาการของคนเหงาที่คนทั่วไปมักไม่รู้ไว้อย่างนี้ครับ

 

 

“ความเยอะ”

จากการทำ fMRI สแกนสมองของคนเหงา พบว่าสมองส่วน temporo-parietal junction ซึ่งทำหน้าที่รับรู้และเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นนั้นทำงานด้อยกว่าสมองส่วนนี้ของคนปกติ หมายความว่าสมองของคนเหงานั้นโฟกัสเรื่องของตัวเองเป็นหลัก “ฉันต้องการอย่างนั้น” “ฉันจะเอาอย่างนี้” “ฉันต้องได้มันเดี๋ยวนี้” โดยขาดความคิดยับยั้งชั่งใจ (เช่น ถ้าฉันขอสิ่งนี้ คนนั้นจะลำบากมั้ย เขาจะรู้สึกยังไง)

คน “เหงา” เลยกลายเป็นคน “เยอะ” ไปได้ง่ายๆ

 

 

“ขี้วิจารณ์และชอบถากถาง

 

ความเหงาทำให้สมองส่วนหน้าซึ่งเป็นสมองส่วนเหตุผลของเราทำงานน้อยลง เนื่องจากในยามรู้สึกเหงา เราจะอยู่ในสภาวะ survival mode หรือโหมดหนีตาย ซึ่งจะเป็นช่วงที่สมองส่วนเหตุผลทำงานน้อยที่สุด

 

สาเหตุที่ความเหงาทำให้เราอยู่ในโหมดนี้ก็เพราะ เมื่อครั้งมนุษย์อาศัยอยู่ในป่า มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่ต้องการฝูงและเป็นสัตว์ที่อ่อนแอมากเมื่อเทียบกับสัตว์นักล่าต่างๆ เราไม่มีเขี้ยวเล็บ วิ่งก็ช้า กระโดดก็ไม่ไกล ปีนต้นไม้ก็ไม่เก่ง ว่ายน้ำก็ไม่เร็ว บินก็ไม่ได้ สาเหตุเดียวที่เรากลายเป็นสัตว์ที่อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารก็เพราะว่า เราอยู่กันเป็นฝูง สัตว์นักล่าจึงไม่กล้ามาตอแย เพราะฉะนั้นในอดีต หากเราถูกอัปเปหิออกจากฝูง นั่นคือช่วงเวลาที่ชีวิตอันตราย อาจมีเสือหรือสิงโตมาคาบเราไปกินตอนไหนก็ไม่รู้ เวลาที่เราถูกตัดขาดจากมนุษย์คนอื่นๆ (หรือเหงา) เราจึงจำเป็นต้องปรับตัวด้วยการใช้ survival mode ซึ่งเป็นโหมดที่แทบไม่ใช้ความสามารถในการคิดหรือใช้เหตุผลอะไร (แต่เป็นโหมดที่พร้อมสำหรับการหนีหรือสู้ได้อย่างดี)

จากการวิจัยพบว่าสมองส่วนเหตุผลของคนไม่เหงาจะเฟรชกว่าคนเหงาถึงเกือบ 10 ปี

เนื่องจากคนเหงาไม่สามารถมองอะไรผ่านสมองส่วนที่ใช้เหตุผลได้ดี พวกเขาจึงมักจะเห็นแต่แง่มุมแย่ๆ ของคนอื่นจากอคติของตัวเอง เป็นเหตุให้คนเหงาชอบวิจารณ์ถากถางชาวบ้านชาวช่องไงล่ะ

รู้อย่างนี้แล้วก็สงสารเขาบ้างนะครับ เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจนิสัยไม่ดี เขาแค่เหงาน่ะ

 


คอลัมน์ “จักรวาลแห่งความรัก ดาวเคราะห์แห่งความเหงา”
โดย นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์
Hug magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 6
ปก: กิ๊ฟ สิรินาถ

 


ความทุกข์ของเจ้าหญิง

 

“เขาดูแลหนูเหมือนเจ้าหญิง ให้ทุกอย่างที่หนูต้องการ ไม่เคยขัดใจเลย ถ้าเขาไม่อยู่แล้ว หนูก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม”

หญิงสาววัยสามสิบต้นๆ พูดประโยคนี้กับจิตแพทย์แล้วก็ร้องไห้โฮค่ะ เธอดูทุกข์ใจมาก เท่าที่ฟังดูเหมือนสามีเป็นทุกอย่างในชีวิตตั้งแต่แต่งงานกันเมื่อเกือบ 6 ปีก่อน วันนี้เธอถูกเพื่อนบังคับให้มาพบจิตแพทย์หลังจากโพสต์ลงโซเชียลมีเดียว่ากินยาเกินขนาดเพราะติดต่อสามีไม่ได้เป็นเวลา 2 สัปดาห์แล้ว ต่อมาเธอก็กรีดข้อมือและโพสต์เหมือนเดิม ซ้ำร้ายยังคิดผูกคอ คิดกระโดดให้รถชน คิดจะทำอะไรก็โพสต์ไว้หมด

“หมอขอย้อนกลับไปจุดเริ่มต้นสักนิดนะคะ ก่อนจะติดต่อสามีไม่ได้นั้นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นในบ้านคะ”

“ก่อนหน้านี้เรารักกันดีค่ะ เขาตามใจหนูทุกอย่าง รับฟังหนูแม้ว่าหนูจะเป็นคนใจร้อน ช่วงหลังเขามีหนี้พนันบอล หนูก็ชดใช้ให้แทนรวมแล้วเป็นเงินแสนบาท เห็นเขาซึมๆ เพราะกลัวเจ้าหนี้ หนูก็พาเขาไปซื้อของขวัญให้อีกหลายหมื่นบาท แต่ตอนหลังเขากลับเสียพนันอีกแล้วก็เอาของที่หนูให้ไปขาย ตอนนั้นหนูโกรธเขามาก ทะเลาะกันแรง”

“เป็นสาเหตุที่เขาหายตัวไปเหรอคะ”

“น่าจะใช่ค่ะ เขาขอโทษที่เอาของไปขายแล้วบอกจะใช้เงินคืนให้ พอถึงวันนัดเขากลับไม่มาตามนัด โทร.ไปก็ไม่รับ ไลน์ไปก็ไม่อ่าน หายตัวไปเฉยๆ หนูตกใจมาก คิดว่าเจ้าหนี้ทำร้ายเขาหรือเปล่า ก็เลยไปแจ้งตำรวจ ตำรวจเจอว่ามีการกดเงินจากบัญชีเขาที่ตู้ ATM ต่างจังหวัดจำนวนไม่มาก เลยคิดว่าเขาน่าจะยังมีชีวิตอยู่ แต่อาจจะหลบไปซ่อนตัว”

“คุณมีความตั้งใจอยากช่วยสามีและหมอก็คิดว่าน่าชื่นชมมาก แล้วที่ผ่านมาเพราะอะไรคุณถึงคิดฆ่าตัวตายล่ะคะ ฟังดูเหมือนสามีคุณก็ยังมีชีวิตอยู่และอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากคุณ”

 

 

คราวนี้เธอใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่งราวกับไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะฆ่าตัวตายไปทำไม แล้วก็ค่อยๆ อธิบาย

“หนูคิดว่าถ้าเขาเห็นที่หนูโพสต์ทั้งหมด เขาจะสำนึกผิดที่ทำให้หนูฆ่าตัวตายแล้วกลับเนื้อกลับตัวเป็นคนดี เลิกเล่นการพนันแล้วกลับมาหาหนู มาอยู่ด้วยกันเหมือนเมื่อก่อน”

“แล้วได้ผลไหมคะ”

เธอส่ายหน้าเพราะโพสต์ไปกี่ครั้งก็ยังติดต่อสามีไม่ได้อยู่ดี

“หมอไม่รู้ว่าวิธีที่คุณใช้นั้นถูกหรือผิด แต่ที่แน่ๆ คือเราเห็นร่วมกันแล้วว่ามันไม่เวิร์ก ลองมองไปในอนาคตนะคะ สามีคุณอาจจะไม่กลับมาเร็วๆ นี้ หรือต่อให้กลับมาเขาก็ยังติดการพนันเหมือนเดิม การพนันอาจจะเป็นข้อเสียที่แย่มากของสามีคุณ แต่เขาก็ยังมีข้อดีอีกมากมาย คุณคิดว่าจะใช้ชีวิตกับเขาต่อไปทั้งที่เขายังติดพนันอยู่ได้ไหมคะ”

“คุณหมอคิดว่าเขาจะไม่มีทางกลับเนื้อกลับตัวเหรอคะ”

“เขาอาจทำได้ในอนาคต แต่อาจไม่ได้ในเร็วๆ นี้ แล้วคุณรับข้อเสียข้อนี้ของเขาได้ไหมคะ”

เธอคิดนานเชียวค่ะ ในที่สุดก็ส่ายหน้าแล้วตั้งใจว่าต่อจากนี้ไปจะต้องใช้ชีวิตอิสระให้ได้ ทำงานเก็บเงินแล้วส่งเสียลูกให้เรียนสูงๆ อ้าว! เธอมีลูกด้วยค่ะ เธอบอกว่าตอนที่ทุกข์หนักเรื่องสามี ก็ลืมลูกที่ฝากพ่อแม่ช่วยเลี้ยงที่ต่างจังหวัดเสียสนิทเลย พอใจชื้นขึ้นถึงเพิ่งนึกได้ว่าเธอไม่ได้อยู่คนเดียว ยังมีลูกต้องดูแลอีกด้วย ดังนั้นจะตายไม่ได้

“คุณมีแนวโน้มจะพบปัญหาแบบนี้อีกค่ะ หมอแนะนำว่าสิ่งที่ต้องทำคือตั้งสติแล้วพูดคุยกับใครสักคนที่เขารับฟังคุณอย่างตั้งใจ คนคนนั้นอาจไม่ได้ช่วยคุณแก้ปัญหา แต่เมื่อคุณต้องเล่าให้เขาฟัง คุณจะเริ่มเรียบเรียงความคิดและมีสติมากขึ้น สุดท้ายคุณจะรู้ทางแก้ปัญหาของตัวคุณเองเหมือนในวันนี้ค่ะ หมอไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลยนอกจากรับฟัง คุณต่างหากที่ทำให้ตัวเองหลุดจากปัญหาได้สำเร็จ”

เธอมีรอยยิ้มมากขึ้นค่ะ แล้วเราก็ลากัน เธอรับปากว่าจะพยายามควบคุมตัวเองไม่ให้ฆ่าตัวตายก่อนถึงวันนัดครั้งหน้า