The Last Letter from Your Lover ด้วยรัก ... จากอดีตและปัจจุบัน

The Last Letter from Your Lover

ด้วยรัก … จากอดีตและปัจจุบัน

เรื่องมันเริ่มจาก ‘เอลลี่’ นักเขียนคอลัมน์ประจำแมกกาซีนใหญ่เจอจดหมายที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอันหนักอึ้งจากอดีต ในขณะที่กำลังหาข้อมูลเขียนบทความถึงผู้ยิ่งใหญ่แห่งวงการหนังสือพิมพ์ผู้ล่วงลับ

ด้วยความสละสลวยของสำนวนในจดหมาย ด้วยเรื่องราวรักต้องห้ามที่อยู่ในนั้น ด้วยความลึกลับเล็กๆ ในที่มา ทุกอย่างประกอบกันทำให้เอลลี่ตัดสินใจสืบค้นต่อว่าเรื่องราวลงเอยอย่างไร โดยมี ‘ลอรี่’ เจ้าหน้าที่ห้องเก็บเอกสารเป็นผู้ช่วย

 

ถ้าเรื่องราวความรักดังกล่าวเกิดขึ้นในปัจจุบันที่เราติดต่อสื่อสารกันได้อย่างง่ายดาย อะไรๆ คงไม่ผิดที่ผิดจังหวะยากเย็นขนาดนั้น แต่ ‘เจนนิเฟอร์’ กับ ‘แอนโทนี่’ เจอกันและรักกันในปี 1960 เธอเป็นภรรยาของนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง มีชีวิตอยู่อย่างสุขสบาย แต่ความสัมพันธ์กับสามีเป็นไปอย่างแห้งแล้งและไม่ให้เกียรติ ส่วนเขาเป็นนักข่าวผู้รับหน้าที่มาสัมภาษณ์นักธุรกิจ ได้ใช้เวลากับภรรยาของแหล่งข่าว แล้วก็เลยตกหลุมรักซึ่งกันและกัน มันต้องห้ามและอึดอัดเอามากๆ เพราะเป็นความรักของคนที่เป็นชู้กัน และทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการลอบส่งจดหมายติดต่อกันนั่นเอง

 

เรื่องราวในหนังดำเนินไปแบบสลับอดีตกับปัจจุบัน ผ่านการสืบค้นหาความจริงที่เกิดขึ้นของหญิงสาวสองยุคสมัย คนหนึ่งอยากรู้อยากเห็น ส่วนอีกคนความจำเสื่อมเพราะประสบอุบัติเหตุตั้งแต่ตอนเปิดเรื่อง

ไชลีน วูดลีย์ (Shailene Woodley) ผู้รับบทเจนนิเฟอร์ เป็นหนึ่งในนางเอกคนโปรดของเรา เธอเป็นนักแสดงที่เล่นบทลึกๆ และซับซ้อนได้ดี เจนนี่เป็นตัวละครที่มีวุฒิภาวะและความเป็นมนุษย์สูงมาก เธอรู้ดีว่าตัวเองต้องการอะไร แต่ใช่! คนเราเปลี่ยนใจได้ และเปลี่ยนใจกันอยู่ตลอดเวลา เธอทำเรื่องผิดจากมาตรฐานของสังคมเพราะห้ามใจตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้เทใจจนหัวปักหัวปำในรัก เธอรู้ว่าทุกการตัดสินใจมีผลตามมาให้ต้องรับมือเสมอ และจริงๆ แล้ว เธอก็ประเมินตัวเองเป็นระยะๆ ว่าตรงไหนไหวหรือไม่ รวมถึงรับผิดชอบการกระทำของตัวเองอย่างอดทนตั้งแต่ต้นจนจบเสียด้วย

 

ในขณะที่เรื่องราวของคู่ในปัจจุบัน (เอลลี่กับลอรี่) ผ่อนคลายกว่า แต่ก็ยังคงมีประเด็นความสัมพันธ์ในลักษณะเดียวกัน เป็นการตั้งคำถามกับคนที่ใช่-คนที่เรารัก-คนที่เราพร้อมจะแต่งงานสร้างชีวิตด้วย

 

เฟลิซิตี โจนส์ (Felicity Jones) ในบทเอลลี่ ดูไม่มีอะไรต้องออกแรงมากเท่าไหร่ แต่ก็เป็นตัวดำเนินเรื่องที่ดีและดูเพลิน

ใครที่ชอบ The Notebook (หนังปี 2004) น่าจะชอบเรื่องนี้มากนะคะ หาดูได้ที่ Netflix ค่ะ.

         ไม่มีอะไรใหม่ในพล็อตนี้ (ตัวหนังสร้างมาจากนิยายชื่อเดียวกันของ Jojo Moyes ผู้เขียน Me Before You) แต่เป็นหนังน้ำเน่าที่ทำได้ดีจริงๆ ค่ะ บทดี ลำดับเรื่องดี ใจเย็น ละเมียด.

 

HUG Magazine

คอลัมน์: สวมแว่นสีชมพูดูหนัง 

เรื่อง: รอมคอมแอดมิน


9 ข้อดีของการอดใจรอเซ็กซ์

9 ข้อดีของการอดใจรอเซ็กซ์

เมื่อเริ่มคบใครสักคน มักมีเรื่องมากมายให้ตัดสินใจ เช่น ควรพบเพื่อนฝูงและพ่อแม่ของอีกฝ่ายเมื่อไหร่ เจอหน้ากันบ่อยแค่ไหน และมีเซ็กซ์ครั้งแรกตอนไหนดี

นี่เป็นเรื่องของจังหวะและโอกาสอันควร และเวลาเหมาะที่สุดที่จะกระโดดขึ้นเตียงกันก็คือเวลาที่ทั้งสองฝ่ายสบายอกสบายใจไร้ความกังวลใดๆ แต่ถ้ากำลังคิดไม่ตก อยากรออีกสักนิดก่อนจะคิดกินตับกัน ลองมาฟังความเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ยืนยันข้อดีของการอดใจรอเซ็กซ์ดังนี้ค่ะ

ช่วยให้รู้ว่าอีกฝ่ายไว้ใจได้ไหม

เราได้มีเวลาเรียนรู้นิสัยของอีกฝ่ายมากขึ้น เซ็กซ์สามารถผลักเราเข้าไปอยู่ในจุดที่เปราะบาง การอดใจรอเซ็กซ์ทำให้เราได้เห็นว่า คนที่กำลังคบอยู่และจะขึ้นเตียงด้วยนั้น เป็นคนที่เราเชื่อใจได้แค่ไหน ยิ่งทำความรู้จักมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้จักนิสัยใจคอของอีกฝ่ายมากเท่านั้น พยายามมองให้ออกว่าเขาจะไม่มาเอาเปรียบ ไม่ทำอะไรเกินขอบเขตและให้เกียรติเรา

ได้คุยกันว่าชอบเซ็กซ์แบบไหน

มีโอกาสคุยกันเรื่องเซ็กซ์ แม้ว่ายังไม่มีอะไรกัน ถ้าเปิดใจก็จะรู้สึกว่าสามารถคุยกันเรื่องนี้ได้อย่างสบายๆ ยิ่งอดใจรอเซ็กซ์นานเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้คุยเรื่องเซ็กซ์กับอีกฝ่ายมากเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นขอบเขต จินตนาการ และลีลาท่วงท่าที่โปรดปราน สร้างความมั่นอกมั่นใจมากขึ้น เพราะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกัน พอถึงเวลานั้นจริงๆ จะได้ไม่ประดักประเดิด ทำอะไรเก้ๆ กังๆ เซ็กซ์ก็จะแซ่บถึงใจเลยเชียว

บ่มอารมณ์รักรอไว้ล่วงหน้า

การรอคอยทำให้สิ่งที่เฝ้ารอนั้นหอมหวาน การอดใจรอเซ็กซ์อาจยากนิดหน่อย แต่การรอนี่แหละที่ช่วยสร้างจินตนาการและอารมณ์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น การมีเซ็กซ์เร็วเกินไปจะทำให้ทั้งคู่พลาดความตื่นเต้นและความลุ้นที่จะมีประสบกามร่วมกันในวันที่รู้สึกว่าพร้อมแล้วทั้งคู่ กว่าจะถึงวันนั้นก็เสียดสีถูไถกันไปก่อนให้เลือดลมพลุ่งพล่าน ตื่นเต้นดีออก

การรอคอยจะทำให้ได้ประสบการณ์ที่อิ่มเอมยิ่งขึ้น

เซ็กซ์จะช่วยให้สายสัมพันธ์ที่เราสร้างขึ้นมานั้นแน่นแฟ้น คนเรามีมุมมองเรื่องเซ็กซ์แตกต่างกัน บางคนเห็นเป็นแค่เรื่องสยิวกิ้วทางกาย แต่บางคนเห็นเป็นเรื่องของพลังและอารมณ์ความรู้สึกที่ผูกพันคนสองคนเอาไว้ เมื่อรอให้มีความเชื่อมโยงทางอารมณ์ก่อนแล้วค่อยมีเซ็กซ์ทีหลัง วิธีนี้จะทำให้ใกล้ชิดกันมากขึ้น

มีเวลาไปตรวจโรคทางเพศสัมพันธ์

แม้จะมีเซ็กซ์แบบป้องกันก็ยังเสี่ยงติดโรคบางอย่างได้ จริงๆ แล้วทั้งสองฝ่ายควรไปตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือ STD หากยังไม่ได้ตรวจ การอดใจรอเซ็กซ์จะเป็นการเปิดโอกาสให้ทั้งคู่ได้ไปตรวจโรค ซึ่งควรตรวจอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าเป็นอะไรจะได้รีบรักษาก่อนที่จะแพร่เชื้อให้อีกฝ่าย

จูบเก่งขึ้น

การอดใจรอเซ็กซ์ช่วยให้ปรับปรุงลีลาอื่นได้ดีขึ้น ถึงจะไม่มีเซ็กซ์ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำกิจกรรมทางกายอย่างอื่นไม่ได้ เรามีโอกาสได้ฝึกปรือลีลาจูบ บทโอ้โลมฟอร์เพลย์ และลีลาเด็ดดวงต่างๆ นานาที่คนทั้งโลกทำกันก่อนมีเซ็กซ์สอดใส่

มีความสุขมากขึ้น

แม้ความสัมพันธ์ของคนเราแต่ละคู่จะแตกต่างกัน แต่ผลการศึกษาบอกว่ามีสิ่งพิเศษเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ จากการอดใจรอเซ็กซ์นี่แหละ งานวิจัยของมหาวิทยาลัยคอร์แนลในปี 2012 ซึ่งได้สำรวจคู่รักเกี่ยวกับความสุขในความสัมพันธ์ พฤติกรรม และประเด็นลึกซึ้งอื่นๆ พบว่า คู่ที่อดใจรออย่างน้อย 6 เดือนถึงมีเซ็กซ์ จะมีความสุขมากกว่าคู่ที่ไม่ยอมรอ อีกงานวิจัยหนึ่งเป็นของมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์สเตทพบว่า การอดใจรอเซ็กซ์จนกว่าจะเอ่ยปากบอกรักกันย่อมส่งผลดีในความสัมพันธ์

ช่วยปกป้องความรู้สึก

หากคุณพบว่าตัวเองผูกพันอย่างรวดเร็วกับคนที่นอนด้วย การอดใจรอจะทำให้มีพื้นที่ว่างเพื่อปกป้องหัวใจตัวเอง ถ้าได้สัมผัสถึงอารมณ์ความรู้สึกกันแล้ว คุณอาจพบว่าเซ็กซ์จะผูกพันคุณและเขาอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้จะทรงพลังและมีประโยชน์แก่คนที่ใช่ แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่ใช่ ความรู้สึกผูกพันแบบนี้อาจกลายเป็นสิ่งที่ทำร้ายความสัมพันธ์ได้

ช่วยคัดคนที่ต้องการคบหาจริงจัง

ถ้าคุณเป็นคนที่ต้องการมีเซ็กซ์เฉพาะกับคนที่คบหาจริงจังเท่านั้น วิธีดีที่สุดคือรอจนคุณรู้สึกถึงความผูกมัดจริงจังจากอีกฝ่ายก่อน แล้วค่อยยอมปล่อยใจไปตามอารมณ์ บางครั้งคนเราสามารถพูดอะไรก็ได้เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ คนที่ใช่และเป็นตัวจริงจะรับฟังสิ่งที่เราต้องการ และยอมประนีประนอมเพื่อให้สถานการณ์อยู่ในจุดที่ทุกฝ่ายมีความสุข

คนเรามักทำผิดพลาดโดยมองหาความรัก ความสุข และความปลอดภัยจากเซ็กซ์

แต่ความจริงแล้ว เซ็กซ์เป็นผลพวงของความรัก ความมั่นคง และความสัมพันธ์ที่มีความสุข

 

คอลัมน์ “ความรู้รอบเตียง” 

โดย องค์หญิงชิงเสียว
Hug magazine ปีที่ 13 ฉบับที่ 4


เกาะกูด สวรรค์อันดามันตะวันออก

เกาะกูด สวรรค์อันดามันตะวันออก

คนมาทะเล ไม่หนีร้อนก็หนีรัก

แม้ย่างเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว แต่อากาศยังคงร้อนอยู่

ทริปนี้เลยหอบเสื้อผ้า หยิบชุดว่ายน้ำตัวโปรดลงกระเป๋า

หนีเมืองกรุงอันแสนจะอบอ้าว ไปนอนรับลมสบายๆ บนเกาะกูด

เกาะสวรรค์ของคนรักทะเล

‘เกาะกูด’ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดตราด ถือเป็นเกาะทางภูมิภาคตะวันออกสุดของประเทศไทย ขนาดพื้นที่ของเกาะกูดนั้นอยู่ในลำดับ 6 ของประเทศ และเป็นอันดับ 2 รองจากเกาะช้างในจังหวัดตราด ปัจจุบันเกาะกูดยังคงไว้ซึ่งความอุดมสมบูรณ์ทั้งบนบกและทางทะเล แถมผู้คนยังมีอัธยาศัยไมตรีที่ดี เล่ากันว่าชาวบ้านบนเกาะแห่งนี้ ส่วนหนึ่งอพยพมาจากเมืองปัจจันตคีรีเขตร ซึ่งกลายเป็นเมืองของฝั่งประเทศกัมพูชา ปัจจุบันชาวบ้านที่นี่มีอาชีพหลัก คือทำประมง เกษตรกรรม สวนยางพารา สวนมะพร้าว สวนผลไม้ และอีกอาชีพที่สร้างรายได้ควบคู่กันไปก็คือ ให้บริการแก่นักท่องเที่ยว บริการนำเที่ยวรอบเกาะ

เวลาจวนเที่ยง รถคู่ใจก็มาถึงแหลมศอกอันเป็นท่าเรือหลัก เรือเฟอร์รี่ลำใหญ่จอดรออยู่เพื่อพาผู้คนข้ามไปยังเกาะกูด มีเรือไปกลับเกาะกูดวันละ 3 เที่ยว ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ใช้เวลาเดินทางจากฝั่งจนถึงเกาะประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง บรรยากาศบนเรือมีผู้คนคลาคล่ำ เสียงจ้อกแจ้กแต่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม กับความรู้สึกของการไปพักผ่อน ภายใต้เสื้อชูชีพสีแสบตา อันเป็นมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางทางทะเล เมื่อเรือจอดเทียบท่าก็เป็นอันว่าเราได้มาถึงเกาะกูดกันแล้ว จากนี้ต้องขึ้นรถสองแถวอีกทอดหนึ่ง เพื่อเดินทางไปยังชุมชนบ้านคลองมาด ชุมชนเก่าแก่ที่สุดบนเกาะกูด อันเป็นจุดหมายปลายทางและที่พักของเราตลอดทริปนี้

 

เช้าวันใหม่หลังจากเติมพลังด้วยอาหารมื้อแรก ก็ถึงเวลาท่องเที่ยวกับกิจกรรมดำน้ำดูปะการัง โปรแกรมยอดฮิตที่ต้องมีทุกครั้งเมื่อไปทะเล สปีดโบ๊ทลำเล็กขนาดพอเหมาะแล่นทะยานออกสู่ท้องทะเล แสงแดดจ้าสะท้อนน้ำทะเลสีฟ้าเทอร์ควอยซ์จนเกือบเป็นสีเดียวกับท้องฟ้า เมฆสีขาวลอยฟ่องเต็มท้องฟ้า เรือขับพาชมวิวไปรอบๆ เกาะน้อยใหญ่ ผู้โดยสารก็เพลิดเพลินกับทิวทัศน์เบื้องหน้า จนลืมความร้อนแรงของแสงแดดไปชั่วขณะ เสียงเครื่องยนต์เงียบลงตรงบริเวณใกล้กับ ‘เกาะแรด’ ด้านทิศตะวันตกของเกาะกูด ที่นี่เป็นจุดดำน้ำตื้นอันมีชื่อเสียงอีกแห่งของจังหวัดตราด

นอกจากการชมปะการังและฝูงปลาสวยงามใต้ท้องทะเลแล้ว ไฮไลท์ของการมาดำน้ำที่เกาะแรดก็คือ ‘ประติมากรรมรูปสัตว์’ อันได้แก่ ช้าง ม้า วัว ควาย ซึ่งถูกนำมาไว้ใต้น้ำเพื่อให้เป็นที่อยู่ของปะการัง และยังเพิ่มชีวิตชีวาในการดำน้ำตื้นได้เป็นอย่างดี เมื่อเจ้าหน้าที่อธิบายวิธีการใช้อุปกรณ์การดำน้ำแล้ว ก็ได้เวลาสวมสน็อกเกิ้ลลงไปส่องโลกใต้น้ำ แหวกว่ายใกล้ชิดฝูงปลาที่พากันกรูเข้ามาต้อนรับ เราใช้เวลาดำน้ำกันอยู่หลายชั่วโมง ก็จำใจต้องบอกลาเหล่าปะการังและน้องปลา

หลังจากนั้นเรากลับไปเอนกายพักเอาแรงจวบจนเวลาบ่อยคล้าย เพื่อเข้าร่วมอีกกิจกรรมที่ไม่อยากให้พลาด เพราะที่บ้านคลองมาดนี้เองเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามอีกแห่งหนึ่งของเกาะกูด เราออกเดินเปลือยเท้าเล่นริมหาด เพื่อให้เท้าได้สัมผัสผืนทรายเนื้อละเอียด ลมทะเลพัดมาปะทะกายพอให้เสื้อผ้าได้สะบัดพลิ้ว พอเดินทอดน่องจนหนำใจแล้วเราก็ หย่อนตัวนั่งบนสะพานไม้ที่ทอดยาวลงไปในทะเล ฟังเสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง มองวิวทะเลแบบพานอรามา ทางซ้ายมีทะเล ทางขวามีภูเขา แสงแดดค่อยเปลี่ยนเป็นสีทอง ดวงอาทิตย์ในวันนี้ก็ดูโตเป็นพิเศษ เหมือนกำลังชักชวนให้มาถ่ายรูปเก็บไว้อวดใครต่อใครว่าที่นี่ไงเกาะกูด พระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าอย่างช้าๆ พอฟ้ามืดลงกระเพาะก็เริ่มร้อง อีกอย่างที่แนะนำเมื่อมาถึงเกาะกูด คงจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากอาหารทะเลสดๆ รสอร่อย น้ำจิ้มรสเด็ด มีเมนูให้เลือกหลากหลาย แถมราคาสบายกระเป๋า เป็นมื้อแห่งวันพิเศษเติมเต็มความสุขให้สุดขีด

แสงแดดยามเช้าสาดเข้ามาในห้อง เตือนให้เราออกไปทักทายวันใหม่ เรารีบแหวกม่านเพื่อชมบรรยากาศริมทะเล แล้วเดินไปสูดอากาศเก็บไว้จนเต็มปอดก่อนจากลา แม้เวลาแห่งความสุขจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่ฉายา “อันดามันแห่งตะวันออก” ที่เคยมีคนตั้งให้ก็สมดั่งคำร่ำลือ เพราะด้วยความงดงามของธรรมชาติ บรรยากาศอันแสนจะเงียบสงบ กับอัธยาศัยไมตรีของผู้คน เกาะกูดจึงกลายเป็นดั่งสวรรค์ของคนรักทะเล ที่สร้างความประทับใจไม่รู้ลืม จนต้องหาโอกาสกลับมาเยี่ยมเยือนเกาะสวรรค์แห่งนี้อีกครั้ง

 

 

HUG MAGAZINE

ปีที่13 ฉบับที่ 4

พาหัวใจไปเที่ยว


แหวนเรื่องใหญ่ หัวใจเรื่องเล็ก

แหวนเรื่องใหญ่ หัวใจเรื่องเล็ก

     เมื่อพูดถึงเรื่องการแต่งงาน สิ่งที่ดูจะขาดไม่ได้เลยคือแหวนแต่งงาน เพราะเมื่อสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายก็เหมือนประกาศตัวกลายๆ กับคนอื่นๆ ว่า ฉันมีเจ้าของแล้วนะ โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร และเมื่อถอดแหวนนั้นทิ้ง ก็เหมือนย้ำให้ชัดเจนอยู่ในทีว่า ชีวิตการแต่งงานระหว่างฉันกับเธอได้สิ้นสุดแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากมายให้เสียเวลา

     สำหรับคนบางคน เรื่องแหวนแต่งงานนี้อาจไม่สำคัญ แต่เชื่อเถอะครับ คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดอย่างนั้น แหวนแต่งงานยังเป็นเรื่องสำคัญเสมอ และเมื่อมันสำคัญขนาดนี้ สิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาใหญ่ที่หลายคนอาจมองข้ามจนต้องเจอเหตุการณ์ด้วยตัวเองนั่นแหละครับ ถึงจะเข้าใจว่าเรื่องใหญ่จริงๆ นั่นคือ ราคาของแหวนแต่งงาน

     หากแหวนราคาถูกไป ก็จะดูไม่สมศักดิ์ศรีกับความรักที่เรามีให้แก่เจ้าสาว ไม่สมฐานะของเธอ พ่อแม่พี่น้องหรือเพื่อนๆ ของเธออาจครหาได้ว่ามาอยู่กับผู้ชายที่ไม่เอาถ่าน ในทางกลับกัน หากซื้อแพงเกินไปก็เป็นปัญหา เพราะมันอาจกลายเป็นเรื่องทำอะไรเกินตัว จนก่อให้เกิดหนี้สินตั้งแต่ชีวิตคู่ยังไม่เริ่มต้นด้วยซ้ำ ผมเชื่อว่าคนที่ผ่านการแต่งงานมาแล้วต้องเคยปวดหัวกับเรื่องนี้เป็นแน่ใช่มั้ยล่ะ?

     สาเหตุที่พอจะเดาเรื่องนี้ได้(แม้ผมเองจะยังไม่เคยแต่งงาน) ก็เพราะมันเป็นปัญหาโลกแตกจนมีนักวิทยาศาสตร์สนใจมาทำวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ

      โดยทั่วไปแล้ว สังคมอเมริกันเขามีธรรมเนียมง่ายๆ ในการซื้อแหวนแต่งงานว่า ควรมีราคาสัก 2 เท่าของเงินเดือน ถึงจะถือว่าสมฐานะ แต่จากงานวิจัยพบว่าจริงๆ แล้ว แหวนแต่งงานส่วนใหญ่มีราคาแค่ครึ่งหนึ่งของเงินเดือนเท่านั้น (อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าเงินเดือนของคนอเมริกันนั้นมากกว่าเงินเดือนของคนไทยเอาการอยู่)

     ถ้าสำรวจแค่ว่าแหวนราคาเท่าไหร่ ก็คงไม่ค่อยน่าสนใจ นักวิทยาศาสตร์จึงพยายามค้นหาต่อว่า ราคาของแหวนเนี่ย สัมพันธ์กับเรื่องอื่นๆ ด้วยรึเปล่า จนพวกเขาพบว่า จริงๆ แล้ว ราคาของแหวนสัมพันธ์กับอัตราการหย่าร้าง

     ราคาแหวนยิ่งสูง อัตราการหย่าร้างก็ยิ่งสูงขึ้นด้วย

     จากการสำรวจคนจำนวนกว่า 3,151 คน ส่วนใหญ่ซื้อแหวนในราคาน้อยกว่าวงละ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ และพบว่าคนที่จ่ายเงินมากกว่า 2,000 ดอลลาร์สหรัฐขึ้นไป มีความเสี่ยงสูงที่จะเลิกกัน และยิ่งสูงลิ่ว (เกิน 20,000 ดอลลาร์สหรัฐ) ยิ่งมีโอกาสเลิกมากขึ้น แต่คนที่ซื้อแหวนในราคาต่ำกว่า 1,000 ดอลลาร์สหรัฐ จะมีความเสี่ยงต่ำในการเลิกรา

     (เนื่องจากถ้าเปรียบเทียบเป็นสกุลเงินไทยตรงๆ ก็อาจดูไม่ค่อยตรงสักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าผมให้ค่าเฉลี่ยของเงินเดือนคนอเมริกันไว้คือ 4,000 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนไทยคือ 20,000 บาท นะครับ)

     ข้อมูลนี้อาจทำให้หลายคนงง เพราะคนที่มีตังค์ซื้อแหวนแพงๆ ก็ควรมีเงินใช้จ่ายอู้ฟู่แหละ ไม่งั้นจะเอาตังค์ที่ไหนมาซื้อแหวน และการมีเงินไม่ขาดตกบกพร่องนั้นก็น่าจะเป็นผลดีแก่ชีวิตคู่ (ที่อาจต้องทะเลาะกันทุกวันหากเงินไม่พอใช้)

     คำอธิบายง่ายๆ อย่างตรงไปตรงมาคือ ยิ่งใช้เงินมากก็ยิ่งเป็นหนี้มาก เมื่อเป็นหนี้มากก็ก่อให้เกิดความเครียดกับชีวิตคู่ เลยเลิกกันง่ายขึ้น แต่นั่นแหละครับ ถ้าสามีเป็นคนรวยอยู่แล้ว การจะซื้อแหวนเพชรแพงหรู 18 กะรัตมาให้ภรรยาก็คงจะไม่ทำให้เขาเกิดความเครียดเพราะใช้เงินมากแต่อย่างใด คำอธิบายนี้จึงไม่ใช่คำอธิบายที่สมบูรณ์แบบนัก

     คำอธิบายต่อมาคือ การที่ซื้อแหวนราคาประหยัด มักเนื่องจากคนสองคนนั้นมีนิสัยเข้ากันได้ รสนิยมคล้ายกัน ต่างฝ่ายต่างรู้กันอยู่ในทีว่าควรประหยัดเรื่องนี้ เลยซื้อแหวนถูกๆ มา ไม่ได้เกี่ยวกับเงินที่ใช้ซื้อแหวนแต่อย่างใด (ส่วนผู้ชายที่ใช้เงินซื้อแหวนราคาแพง อาจทำเช่นนั้นเพื่อสนองความต้องการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ได้ ทั้งที่เขาอยากประหยัด แต่รู้ว่าผู้หญิงอยากได้แหวนหรูๆ ก็เลยจำใจต้องซื้อให้ ภาวะฝืนใจไม่บอกไม่กล่าวนี่แหละ เป็นอันตรายแก่ชีวิตคู่อย่างยิ่ง)

   

     เพราะฉะนั้นบทสรุปจากงานวิจัยนี่ก็คือ คุยกันให้มากๆ ไว้ อย่ามโนเอาเองว่าอีกฝ่ายชอบหรือไม่ชอบอะไร ถ้าอยากรู้อะไรก็ให้ถามตรงๆ

     ดีกว่าสุดท้ายเสียทั้งเงิน เสียทั้งความรู้สึก และอาจจะเสียคนรักด้วย

     ขอให้รักกันยาวๆ ครับ

 

นพ. ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์

จักรวาลแห่งความรัก ดาวเคราะห์แห่งความเหงา

HUG Magazine

ปีที่ 13 ฉบับที่ 4


กัญชากับความถี่เรื่องเซ็กซ์

กัญชากับความถี่เรื่องเซ็กซ์

Q.

        สวัสดีค่ะ คุณหมอชัญวลี ดิฉันอ่านข่าวเจอเรื่อง “กัญชาช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ” ซึ่งนักวิจัยศึกษาความเชื่อมโยงระหว่างกัญชากับความต้องการทางเพศพบว่า ชายและหญิงที่ใช้กัญชาทุกวันมีเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20 ในช่วงสี่สัปดาห์ของการทดลอง จึงอยากขอความรู้จากคุณหมอ ขอบคุณมากค่ะ

A.

         ร้อยละ 2.5 ของประชากรโลกใช้กัญชาโดยเฉพาะในวัยรุ่น กัญชาจึงเป็นสารเสพติดที่ใช้กันมากที่สุด แต่ความคิดเห็นต่างๆ นานาของการใช้กัญชา มักมีทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายคัดค้าน (pro and con) เสมอ

         งานวิจัยที่กล่าวถึงตีพิมพ์เมื่อ ค.ศ.2017 ชื่อเรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างการใช้กัญชากับความถี่ของการมีเซ็กซ์ในประเทศสหรัฐอเมริกา (Association Between Marijuana Use and Sexual Frequency in the United States: A Population-Based Study) ผลวิจัยพบว่า จากการสอบถามผู้หญิงจำนวน 28,176 คน (อายุเฉลี่ย 29.9 ปี) ผู้ชายจำนวน 22,943 คน (อายุเฉลี่ย 29.5 ปี) ในสี่สัปดาห์ก่อนเก็บข้อมูลเพื่อวิจัย คนที่ใช้กัญชาเพิ่มความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่มีปัญหาต่อเพศสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญ แต่ผลวิจัยนี้ ผู้วิจัยได้แจ้งข้อจำกัดที่อาจทำให้เชื่อถือไม่ได้ 3 ข้อคือ

  1. เป็นการวิจัยโดยใช้แบบสอบถาม ซึ่งขึ้นอยู่กับผู้ตอบ
  2. ผู้ที่ไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับการใช้หรือไม่ใช้กัญชาและความถี่ในการมีเพศสัมพันธ์ ถูกตัดออก
  3. ผู้วิจัยถามถึงความถี่ของเซ็กซ์เฉพาะช่วง 4 สัปดาห์ ก่อนตอบแบบสอบถาม ไม่ได้ถามถึงความถี่ของเซ็กซ์ในระยะยาว

ดังนั้น ผู้วิจัยแนะนำว่า ควรมีการศึกษาที่เชื่อถือได้เพื่อยืนยันผลวิจัยนี้ต่อไป

         ส่วนการคัดค้านการใช้กัญชาในการเพิ่มความถี่ของเซ็กซ์ มีเหตุผลว่าหลายประเทศหรือบางรัฐของประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่อนุญาตให้ใช้กัญชาในด้านนันทนาการ แต่ให้ใช้กัญชาในด้านการแพทย์เพื่อการดูแลรักษาผู้ป่วยและการศึกษาวิจัย เช่นเดียวกับประเทศไทย (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา 18 กุมภาพันธ์ 2562) สารสำคัญในกัญชา ได้แก่ THC และ CBD เมื่อเสพเข้าสู่ร่างกายจะไปทำงานร่วมกับระบบเอ็นโดแคนนาบินอยด์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับสื่อประสาท ทำให้อารมณ์ดี ลดความเจ็บปวดและการอักเสบ จึงมีฤทธิ์เป็นสารอโฟรดีเซีย (aphrodisiac) มีฤทธิ์กระตุ้นความต้องการทางเพศ

        อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยมากมายที่พบผลข้างเคียงของการเสพกัญชาเป็นประจำ และเกี่ยวข้องกับเซ็กซ์ เช่น ทำให้อวัยวะเพศชายไม่แข็งตัว ถึงจุดสุดยอดยากขึ้น

ประโยชน์ของสารสกัดกัญชา แบ่งเป็น 3 กลุ่มดังนี้

  1. ได้ประโยชน์ในการรักษาและสนับสนุนทางด้านวิชาการชัดเจน ได้แก่ การเจ็บปวดเรื้อรังในผู้ใหญ่ ภาวะคลื่นไส้อาเจียนในผู้ป่วยที่ได้รับเคมีบำบัด อาการกล้ามเนื้อหดเกร็งในผู้ป่วยปลอกประสาทเสื่อมแข็ง (MS) โรคลมชักที่รักษายากในเด็ก และโรคลมชักที่ดื้อยา ภาวะปวดประสาทที่รักษาด้วยวิธีอื่นๆ แล้วไม่ได้ผล
  2. น่าจะได้ประโยชน์ในการรักษาและควบคุมอาการ ซึ่งควรมีข้อมูลทางวิชาการสนับสนุนหรือวิจัยเพิ่มเติมในประเด็นความปลอดภัยและประสิทธิผลเพื่อสนับสนุนการนำมาใช้ เช่น ทำให้การนอนหลับดีขึ้นในคนไข้ที่หยุดหายใจเนื่องจากการอุดกั้น (OSAS: obstructive sleep apnea syndrome) ปวดพังผืดและกล้ามเนื้อ (fibromyalgia) โรคพาร์กินสัน โรคอัลไซเมอร์ โรควิตกกังวลทั่วไป ผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่ต้องดูแลแบบประคับประคอง เพิ่มการอยากอาหารเพื่อลดการสูญเสียน้ำหนักในผู้ป่วยเอชไอวี/เอดส์ ลดอาการตื่นเต้นด้วยวิธีทดสอบให้พูดในที่สาธารณะสำหรับผู้เป็นโรคกังวลต่อการเข้าสังคม (social anxiety disorder) ลดอาการภาวะป่วยทางจิตจากเหตุการณ์รุนแรง (PTSD: posttraumatic stress disorder)
  3. อาจมีประโยชน์ในการรักษา แต่ยังขาดข้อมูลสนับสนุนจากงานวิจัยที่ชัดเจนเพียงพอในประเด็นความปลอดภัยและประสิทธิผล เพราะต้องศึกษาวิจัยในหลอดทดลองและสัตว์ทดลองก่อนนำมาศึกษาวิจัยในมนุษย์ เช่น สมองเสื่อม (dementia) และการรักษาโรคมะเร็งชนิดต่างๆ

 

     

  1. ผลข้างเคียงระยะสั้นต่อระบบประสาท ได้แก่ รื่นเริงเกินไป เวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน ปากแห้ง ท้องผูก ง่วงนอน ลดสมาธิและการใส่ใจ ลดความจำ ง่วงนอน หูแว่ว เห็นภาพหลอน เคลื่อนไหวผิดปกติ กล้ามเนื้อกระตุก กล้ามเนื้อล้า เพลียง่าย เพิ่มอุบัติเหตุทางยวดยาน
  2. ผลข้างเคียงระยะยาวต่อระบบประสาท อาจมีผลต่อความจำระยะยาว ความสามารถในการวางแผน การตัดสินใจ อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
  3. ในเด็ก สำหรับเยาวชนอายุต่ำกว่า 25 ปี ที่ไม่มีข้อบ่งชี้ในการใช้กัญชาด้านการแพทย์ อาจทำให้ไอคิวลดลง ลดความจำ ขาดสมาธิ และการใส่ใจ เสี่ยงต่อโรคซึมเศร้า
  4. ในคนตั้งครรภ์ ห้ามใช้เพราะอาจมีผลกระทบต่อสมองและพัฒนาการที่ล่าช้าของลูก
  5. ในคนไข้สูงอายุ อาจเกิดการทรงตัวไม่ดี พลัดตก หกล้ม ลดความจำ เสี่ยงต่อหัวใจเต้นผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจตาย อาการทางจิต ฆ่าตัวตาย โรคหัวใจและหลอดเลือดอาจกำเริบ
  6. มีปฏิกิริยาต่อยาอื่น เช่นยากันการแข็งตัวของเลือดหรือละลายลิ่มเลือด เพิ่มระดับยาทำให้เลือดออกผิดปกติ ยากันชักระดับสูงจนมีผลต่อตับ ยาต้านซึมเศร้ามีผลต่ออารมณ์ ยาเบาหวานทำให้น้ำตาลต่ำ ไวอะกร้าเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ
  7. คนไข้โรคจิต หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคจิต การใช้กัญชาอาจส่งผลให้อาการทางจิตกำเริบขึ้นได้

 

วิธีลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงของการใช้กัญชา

  1. ต้องไม่ใช้กัญชาเพื่อเป็นนันทนาการหรือเพื่อเซ็กซ์ แต่ใช้เพื่อการรักษาวิจัยด้านการแพทย์เท่านั้น
  2. ต้องใช้สารสกัดกัญชาที่เชื่อถือได้ ทราบส่วนผสม เป็นยาตำรับแผนไทย ผ่านการรับรองจากอย.
  3. ใช้ในจำนวนน้อยที่สุดตามคำแนะนำ ไม่ควรเพิ่มจำนวนโดยพลการ
  4. ปรึกษาผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ เกี่ยวกับการรักษาด้วยกัญชา และมีการตรวจติดตาม
  5. มีอาการผิดปกติหลังใช้กัญชา เช่น ใจเต้น ใจสั่น หน้ามืดเป็นลม คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะรุนแรง มีความผิดปกติทางจิต สับสน ประสาทหลอน หมดสติ ไม่รู้ตัว ฯลฯ ควรพบแพทย์ทันที

 

References

Andrew J. Sun and Michae L. Eisenberg, “Association between marijuana use and sexual frequency in the United States: A population-based study, The Journey of Sexual Medicine, 2017; 14:1342–1347.

Renata Androvicova et al., Endocannabinoid system in sexual motivational processes: is it a novel therapeutic horizon?. Pharmacological Research. 2017; 115: 200-208.

E.L. Abel, “Marihuana and sex: a critical survey”, Drug Alcohol Dependence, 1981; 8: 1-22.

W.C. Koff, “Marijuana and sexual activity”, The Journey of Sex Research. 1974; 10: 194-204.

M.J. Noble et. el., “Acute cannabis toxicity”, Clinical Toxicology, 2019; 57:735.

Wayne Hall and Nadia Solowij, Adverse Effects of Cannabis. Lancet 1998; 352:1611.

"จะเห็นว่าไม่มีข้อบ่งใช้กัญชาในเรื่องเซ็กซ์เลย เพราะผลที่ได้อาจไม่คุ้มเสียจากผลข้างเคียงของกัญชา "

— พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
คอลัมน์สุขภาพสุขเพศ
Hug magazine ปี 13 ฉบับ 4


‘สิ่งที่มากกว่าความรัก’ หลุยส์ ชวนชื่น

คู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันได้ยั่งยืน ต้องใช้สิ่งใดเป็นหลักยึด ความรักแสนหวานเมื่อครั้งยังหนุ่มสาว อาจจืดจางไปตามวัยและเวลาที่ผ่านเลย แล้วสิ่งใดเล่าที่ทำให้คุณหลุยส์ ชวนชื่น (รณกร ตรงแสง) กับคุณเอ (เพ็ญศิริ ทรงแสง) ร่วมชีวิตกันมานานถึง 32 ปี เราเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่มีค่านั้น อยู่ในบ้านหลังนี้

 

 

จดหมายฝากรัก

     คุณหลุยส์เท้าความถึงตอนที่ยังเล่นตลกให้แก่คุณพ่อดม ชวนชื่น (อุดม ทรงแสง) และได้ไปเช่าบ้านของคุณพ่อคุณเอเพื่ออยู่อาศัยกับกลุ่มเพื่อนตลก ในตอนนั้นคุณเอกำลังศึกษาอยู่มหา’ลัยปีสอง

     “ผมเห็นเขาแล้วชอบ เลยเขียนจดหมายเอาไปเสียบที่หน้าประตูไว้ เริ่มจากเสียบหน้าบ้านบ้าง เสียบตามกระถางต้นไม้บ้าง เขามาเห็นก็เขียนตอบแล้วเสียบกลับไว้ แต่ผมเขียนไม่เป็นนะ ให้น้องๆ เขียนให้ ก็เริ่มมีแซวกันละ เขียนอยู่สี่ปีถึงจะได้ไปเที่ยวด้วยกัน”

     จากจุดตั้งต้นนั้นเองก็เริ่มเกิดความผูกพัน แต่ต้องพิสูจน์ตนเองครั้งใหญ่ เพราะครอบครัวคุณเอเป็นข้าราชการ มีตำแหน่งฐานะ พี่น้องในบ้านก็ล้วนเป็นเด็กเรียน คุณหลุยส์เล่าถึงวิธีชนะใจผู้ใหญ่ฝ่ายหญิง คือความจริงใจและการเข้าหาอย่างไม่หลบลี้หนีหน้า แม้ใช้เวลาถึงแปดปีจึงจะได้เข้าพิธีวิวาห์

     “ผมแสดงให้ที่บ้านเอเห็นว่าผมดูแลเขาได้นะ ที่บ้านเอได้เห็นตัวตนจริงๆ ของผมมาตลอด แล้วผมก็รู้ดีว่าเราตัดสินใจเลือกเขาแล้ว ตอนแต่งงานผมอายุประมาณสามสิบ เออ่อนกว่าผมสามปี เราไม่ได้เริ่มคบหากันตอนวัยรุ่น ทุกอย่างอยู่ในสายตาของพ่อแม่เขาตลอด เพราะผมเช่าบ้านอยู่ติดกัน คุณพ่อเขาเจอผมแทบทุกวัน ได้เห็นว่าเราเป็นคนทำมาหากินนะ ผมเรียนรู้จากเอเยอะมาก ก่อนนั้นผมได้เงินมาก็ซื้อความสุขให้ตัวเองและพี่น้อง เมื่อคบกับเอ เลยรู้ว่าเราต้องไม่หยุดอยู่แค่นี้ เริ่มซื้อบ้าน พาพ่อแม่ไปสู่ขอ พ่อแม่เขากังวลแค่กลัวไม่มีอนาคต ดังนั้นอยู่ที่ทำยังไงให้เขาเชื่อมั่นในตัวเรา”

     “พี่ไม่ได้มองคนที่อาชีพ มองที่ใจ เชื่อแบบคนโบราณที่ว่าการคบหาหรือใช้ชีวิตคู่ต้องศึกษากัน สิ่งที่พี่หลุยส์มีคือความขยัน ซึ่งเราประทับใจ คิดว่าฝากชีวิตไว้กับเขาได้แน่ ข้อที่สองพี่หลุยส์ใจดี ช่วยเหลือเอื้อเฟื้อ เพราะนอกจากรักเราแล้ว เขาก็รักพ่อแม่ครอบครัวเราด้วย ถ้ารักเราแต่ไม่เกื้อกูลครอบครัวเรา ชีวิตคู่อาจไปด้วยกันยาก”

 

ตลกกับความเจ้าชู้ และการเทคแคร์ดูแลกัน

     “ผู้หญิงมีความต้องการสามอย่าง คือการดูแลเอาใจใส่ จริงใจ และเขาต้องเป็นหนึ่ง เราต้องสนใจเขา กลับบ้านซื้อน้ำปั่นมาสักแก้ว ซื้อก๋วยเตี๋ยวมาสักถุง เขาก็ชื่นใจแล้ว หรือขับรถอยู่นึกได้ว่าร้านนี้เขาชอบกินนะ ซื้อติดมือกลับมา พยายามจำคำพูดของคนที่เราอยู่ด้วย ต้องมีเอาใจกันบ้าง อาจไม่ได้จำวันครบรอบทุกปี หรือฉลองวันเกิดทุกครั้ง เลยวันไปบ้างไม่เป็นไร บางทีทำงานกว่าจะได้กลับบ้านก็เลยวันเกิดเขาแล้ว ก็อวยพรทางโทรศัพท์แทน”

     ด้วยอาชีพตลกที่คร่ำหวอดกับแสงสี มีคนเข้าหามากมาย เคยนอกลู่นอกทางก็ต้องปรับปรุงตัว คุณหลุยส์ย้ำว่าเมื่อเลือกเขาเป็นคู่ชีวิตแล้ว คุณต้องตัดเรื่องคนอื่นไป เป็นครอบครัวต้องนึกถึงอนาคตและความรับผิดชอบ

     “สิ่งเดียวที่อย่าทำคือนอกใจแล้วอย่าให้เขาจับได้ (หัวเราะ) เขาจับได้ต้องเลิก ต้องให้ภรรยาเชื่อในตัวเรา แต่เมื่อทำไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาไม่เชื่อเราหรอก (หัวเราะ) การมีครอบครัวนั้นง่าย แต่ทำยังไงให้ไปด้วยกันได้มันยากกว่า คนเรามีทิฐิอยู่แล้ว ต้องลดทิฐิถ้าอยากให้เป็นครอบครัวอยู่ เวลาทะเลาะกัน ผมจะเป็นฝ่ายเงียบ ผมคิดว่าถ้าเราเงียบซะ ก็จะไม่มีผลกระทบกันแน่นอน และต้องไม่มีคำว่า ‘มึง กู’ ถ้าพูดว่า ‘เธอ ฉัน’ ต่อให้ทะเลาะกันแรงยังไงก็ไม่ตีกันแน่ สมมติพูดใส่ว่า มึงเป็นอะไรของมึง แล้วมึงทำไม อีนี่ไอ้นั่น ก็เริ่มตีกันในเรื่องที่ไม่ได้จะทะเลาะกันละ ด่าว่าหยาบคายใส่”

     “บางเรื่องที่เป็นข้อเสีย เราก็เอามาชั่งใจเทียบกับข้อดี ถ้าข้อดีมากกว่าก็ต้องมองข้ามและให้อภัย ไม่มีใครดีไปหมดแม้กระทั่งตัวเราเอง มันจึงใช้ชีวิตคู่กันได้นาน ที่จริงพี่หลุยส์ก็เยอะนะ ไม่ใช่น้อยๆ (หัวเราะทั้งคู่) แต่ถ้าเทียบกับข้อดีก็ มองข้ามไปได้ แล้วต้องไม่จู้จี้กันทุกเรื่อง”

     คุณเอยังบอกถึงหลักสำคัญข้อหนึ่งคือไม่ฉีกหน้าสามี ไม่ทำให้เขาต้องอับอาย

     “สิ่งที่ผู้ชายรับไม่ได้คือการประจานฉีกหน้า ทำให้เขาอับอาย ไม่ให้เกียรติกัน ผู้หญิงต้องไม่ทำ คุณไปทะเลาะหลังบ้านได้ แต่ต้องไม่ทำต่อหน้าคนอื่นๆ ส่วนตัวพี่ไม่ชอบออกสังคม อยู่ในเซฟโซน พี่หลุยส์จะไปไหนก็ไป แค่บอกให้รู้ว่าไปที่ไหน กลับประมาณเวลาไหน อาจติดต่อไม่ได้บ้าง แต่เรารู้ว่าเขาอยู่ไหน แล้วทำงานอะไรอยู่ ไม่ใช่เรื่องที่ต้องโทร.จิกกัน เขากำลังอัดรายการอยู่ ติดต่อไม่ได้หรอก ถ้าว่างก็จะโทร.กลับเอง ต้องเข้าใจและยอมรับ”

     ถึงจะดูเป็นคนใจดี แต่คุณหลุยส์ก็ไม่สบอารมณ์คนที่ชอบยุยงให้เขาทะเลาะกัน

     “ผมไม่โกรธคนที่ว่าผม แต่จะโกรธคนที่มาบอก มาบอกเพื่ออะไร ต้องการอะไร ให้ผมไปทะเลาะ ผมต้องไปสนใจไหม ต่างคนต่างไม่คุยกันก็จบ ไม่ชอบก็ไม่มีปัญหา ผมไม่สนเรื่องคนนอกบ้าน ยกเว้นถ้าข่าวสังคมนั้นเป็นเรื่องทางโลกที่เราต้องติดตาม”

 

ยอดนักวางแผน

     คุณหลุยส์มีนิสัยชอบวางแผนตั้งแต่ก่อนแต่งงาน เพื่อมิให้เกิดปัญหากันในภายหลัง สิ่งนี้ถือเป็นเคล็ดวิธีอย่างหนึ่งของความยั่งยืนในชีวิตคู่ได้

    “ผมวางแผนก่อนแต่งงานด้วยการคุยกันให้ชัดเจน เช่นจะไม่ยุ่งเรื่องงานของอีกฝ่าย ถ้าผมทำงาน คุณไม่ต้องโทร.หานะ ถ้าผมว่างเมื่อไร ผมจะโทร.ไป หรือมีอะไรให้ฝากข้อความไว้ ถ้าด่วนจริงๆ ให้คนมาตาม เพราะไม่รู้ว่าระหว่างถ่ายรายการผมจะออกมารับโทรศัพท์ได้ตอนไหน เราต้องตกลงกันก่อนว่าอะไรได้ไม่ได้ ไม่งั้นมันจะทะเลาะเถียงกันทั้งวัน”

     คุณหลุยส์ย้ำว่าต้องเปิดความจริงตั้งแต่ต้น ไม่มาเผยทีหลังเพราะอีกฝ่ายจะรับไม่ได้ สิ่งไหนที่ไม่ชอบก็รอมชอมปรับตัว บ้านนี้ก็เช่นกันที่ตกลงพูดคุยอย่างเปิดอก มีปัญหาอะไรก็สามารถพูดคุยกันได้เสมอ สิ่งนี้นับว่าเป็นข้อดี รวมทั้งเป็นแรงใจให้ผ่านบททดสอบครั้งแล้วครั้งเล่า

 

 

น้องภูมิที่รัก

     ในวันสัมภาษณ์เราได้พบ น้องภูมิ (ภูมิสิทธิ์ ทรงแสง) ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มที่เติบโตแข็งแรงสดใส ร่าเริงน่ารัก มีมารยาทชวนเอ็นดู เราไม่แปลกใจที่เด็กหนุ่มคนนี้คือผลแห่งการทุ่มเททั้งกายใจจากคุณพ่อคุณแม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณเอ ซึ่งตัดสินใจลาออกจากงาน เพื่ออยู่ดูแลลูกเองอย่างเต็มกำลัง คุณหลุยส์เล่าถึงเรื่องราวในครั้งนั้นให้ฟัง

     “เรามีลูกยาก ไม่มีลูกมาเกือบสิบปี ไปทำทุกโรงพยาบาลจนครั้งสุดท้ายก็ทำที่ศิริราช ระหว่างท้อง เอเป็นไส้ติ่งแตกพอดี ติดเชื้อ เลยต้องผ่าไส้ติ่งตอนท้องที่โรงพยาบาล พอลูกคลอด ถึงรู้ว่าเป็นออทิสติก ผมมองว่าเด็กขวบสองขวบน่ารักเป็นปกติ จนเริ่มเห็นพฤติกรรมเขาแปลก สองขวบยังไม่พูด เลยพาไปตรวจ หมอบอกไม่เป็นอะไร แล้วมีช่วงที่ลูกไม่สบาย เลยพาไปโรงพยาบาลเด็กโดยตรง หมอก็บอกว่าน้องเป็นออทิสติกนะ แต่แปลกที่ไม่มีอาการรุนแรงเลย ไม่โวยวาย ไม่กรีดร้อง มีสิทธิ์เป็นไปได้ว่าเป็นผลจากการเลี้ยงดูของพ่อแม่ เอดูแลลูกดีมาก ลูกเป็นเด็กที่อารมณ์ดี (ยิ้ม)”

     คุณเอเข้าใจหัวอกพ่อแม่ทุกคนดีว่าเมื่อรู้ต้องผิดหวังเสียใจ ตัวคุณเอเองก็เช่นกัน แต่สิ่งสำคัญคือการรีบตั้งสติและยอมรับว่าลูกเราเป็นแบบนี้ เพื่อจะได้รักษาอย่างทันท่วงที

     “บางสิ่งบางอย่างอาจไม่ต้องใช้เงินมาก แต่ต้องมีความใส่ใจเป็นเรื่องสำคัญ มีเวลาให้เขาเต็มที่ บางทีต้องไปเล่นร่วมกับลูก พี่อยากให้ทุกคนที่รู้ว่าลูกเราเป็นเด็กพิเศษ หรือเด็กพิการ ต้องใส่ใจดูแลให้ความรักค่ะ เด็กกลุ่มนี้ถ้าส่งเสริมหรือกระตุ้นอย่างถูกจุด บางคนอาจเป็นอัจฉริยะได้ แต่ถึงไม่ใช่ เราก็มีความสุขเล็กๆ ว่าลูกเราเป็นคนไม่คิดร้ายกับใคร มีจิตที่บริสุทธิ์ ทำอะไรแล้วมุ่งมั่น สิ่งสำคัญคือพ่อแม่ต้องไม่ท้อ ไม่ทอดทิ้งเขาเด็ดขาด”

     “ลูกผมปั่นจักรยานในหมู่บ้านทุกวัน คนในหมู่บ้านรักเขา กลับบ้านมีขนมมาตลอด เขาทักทายทุกคน อารมณ์ดี จำคนแม่น พ่อแม่ทุกคนที่มีลูกแบบนี้ อย่ามัวแต่ทำใจครับ ไม่งั้นจะท้อและถดถอย เลี้ยงเขาเหมือนเด็กปกติ เรารักเขาอยู่แล้ว ก็รักให้มาก อย่าไปตีเลย ตีไปสิบทีเขาแค่ตกใจ ไม่รู้ว่าทำอะไรผิด เขาจะช็อก ประมวลผลไม่ได้ ตีให้ตายก็ไม่รู้เรื่อง ให้ความรักเยอะๆ แทน เขาจะเชื่อใจเรา ฟังเรา ค่อยๆ สอน ที่บ้านคอยสอนตลอด ถึงเวลาเขาจะทำตามสิ่งที่สอนไว้ เช่นปิดไฟ เปิดแอร์ ฝนตกปิดประตู เราฝึกได้แค่ช้าหน่อย ผมรู้ว่ามีหลายคนที่รับไม่ได้ แต่ถ้าคุณรักลูก ต้องไม่อาย ลูกเราไม่ได้ไปฆ่าใคร ชีวิตครอบครัวเราไม่ต้องไปสนใจคนอื่นที่ไม่รู้จัก จะไปสนคนที่มาว่าทำไม”

     ทั้งสองยืนยันว่า เด็กกลุ่มนี้รับรู้ถึงความรักที่พ่อแม่คนรอบข้างมีให้ และจะตอบแทนรักนั้นด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างมาก

 

พลังบวกของบ้านทรงแสง

     เมื่อเราถามว่าสิ่งสำคัญของชีวิตคู่คืออะไร คุณเอก็ตอบว่าการเข้าใจและพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง ยิ่งเรื่องลูก ความกังวลต่างๆ ถาโถม แต่การที่สามีเป็นคนมองโลกแง่ดี ก็ช่วยปรับเปลี่ยนมุมมองของคุณเอให้กว้างขึ้น

     “พี่เป็นคนจริงจัง แต่ก่อนตั้งเป้าหมายในเรื่องลูกไว้มาก ตั้งแต่ตอนเตรียมมีลูก วางแผนว่าต้องเรียนที่ไหนอย่างไรจนถึงมหา’ลัย แล้วถ้าลูกเป็นเด็กหลังห้อง ฉันคงรับไม่ได้ แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าถอยไปเยอะ เป็นเด็กนอกห้องโน่น”

ทั้งคู่พากันหัวเราะแล้วกอดลูกชายที่รักเอาไว้แน่น เป็นเสียงหัวเราะที่สดใสมีพลัง

     “ถ้าไม่ใช่พี่หลุยส์ พี่อาจมาไม่ถึงจุดนี้ เพราะท้อใจ ผิดหวังมาก แต่พี่หลุยส์กระตุ้นให้มีกำลังใจ บอกว่าดูสิ เด็กบางคนที่อ่อนแรง พ่อแม่ต้องแบกมาหาหมอ หรือมาจากต่างจังหวัด ต้องเตรียมตัวล่วงหน้าหนึ่งวันเพื่อฝึกกิจกรรมบำบัดหนึ่งชั่วโมง พี่หลุยส์บอกว่าลูกเราวิ่งด้วยตัวเองได้ พูดได้ บอกรักเราได้ หูได้ยินว่าเราบอกรักเขา ไม่ได้อยู่ในรถเข็นตลอดเวลา แค่นี้ก็ดีมากแล้ว เพราะพี่หลุยส์เป็นคนแบบนี้ เราก็มีกำลังใจขึ้น (ยิ้ม) ได้ไปเข้ากลุ่มเพื่อศึกษา การเข้ากลุ่มสำคัญนะคะ อย่างผู้ปกครองที่เจอก็มีลูกที่ป่วยแต่อาการอาจต่างกัน เราก็คุยกันว่าจะช่วยแก้ยังไง แลกเปลี่ยนความรู้ เป็นแนวทางให้เราได้มาฝึกลูกด้วย”

     “ปัญหามีทุกคู่ครับ ไม่ว่ารวยหรือจนต้องเจอเรื่องท้อใจ ผมถึงบอกว่าต้องเข้าใจกันให้มาก ยิ่งท้อเท่าไร ยิ่งต้องเข้าหาคนที่เราสามารถคุยกับเขาได้ว่าเราท้อ แล้วช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผมเป็นกำลังใจให้พ่อแม่ทุกคนที่มีลูกแบบเราครับ”

     “อยากให้ลองมองในแง่บวกค่ะ เมื่อมีลูกแบบนี้ เขาก็ไม่ฝักใฝ่สิ่งไม่ดีแน่ๆ ไม่หันหายาเสพติด ไม่ออกไปแข่งรถ หรือหนีเที่ยว ติดเพื่อน เพราะลูกจะขลุกอยู่กับบ้านกับครูที่โรงเรียน พ่อแม่สบายใจได้ แต่สิ่งที่ห่วงก็มี เราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไง ถ้าวันข้างหน้าเราไม่อยู่แล้วละ ดีที่ญาติพี่น้องของพี่หลุยส์เยอะ เราพาลูกไปหาตลอด ก็ฝากฝังไว้”

     “ผมบอกไปว่าถ้าวันหนึ่งพวกเราไม่อยู่ ก็ฝากหลานด้วย ยกสมบัติให้หมด ขอแค่ดูแลภูมิก็พอ เคยพูดเล่นๆ ว่าใครมายอมเป็นเมียภูมิจะยกสมบัติให้หมด จะไปมีสามีใหม่ก็ได้ แต่ขอให้เลี้ยงเขาต่อ (หัวเราะทั้งคู่)”

 

ละลายกำแพงเพียงแค่พูดคุย

     “พี่หลุยส์เป็นคนคุยได้บอกได้ทุกเรื่อง ถ้าคุยกันได้อย่างนี้ ชีวิตคู่ก็จะไปต่อได้”

     “ถ้าอยากมีชีวิตคู่ที่ดี ต้องไม่ยุ่งเรื่องครอบครัวใคร ยุ่งเรื่องครอบครัวเราพอ แม้กระทั่งเพื่อนมาปรึกษา ผมบอกว่ากลับไปคุยกันเอง อย่าไปตัดสินชีวิตคนอื่น เพราะเราไม่ได้นอนกับเขา เพื่อนมาเล่าอาจไม่ดีก็ได้ พวกเขาเลือกอยู่กันเองแต่แรกแล้ว มันเป็นเรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา ประคองชีวิตเราให้ดีก็พอ บางทีที่เขาไม่ทำนั้นมีเหตุผล การใช้ชีวิตคู่ไม่ยากหรอก แต่ละคนมีมุมมองของตัวเอง คนเราต่างความคิดกันอยู่แล้ว แต่ทำยังไงให้อยู่ด้วยกันได้”

     ในยุคที่สื่อสารกันง่ายกว่าการเขียนจดหมายเสียบกระถางต้นไม้รออีกฝ่ายมาตอบ บางครั้งความสะดวกเกินไป อาจทำให้เราขาดความอดทนจนลืมนึกถึง “ใจเขาใจเรา” ก็เป็นได้

 

32 ปีที่ผ่านมาและอีกหลายสิบปีต่อจากนี้ไป

     ต่อคำถามสุดท้ายที่เราขอให้ทั้งสองคนได้เปิดใจ คุณหลุยส์ยิ้มกว้างตอบเสียงดังฟังชัดว่า

     “ถ้าผมแต่งกับผู้หญิงคนอื่น ชีวิตผมอาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เพราะผมไม่เก่งเรื่องหนังสือ ระบบต่างๆ ต้องติดต่อประสานงานยังไง เขาช่วยเราให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ ดูแลเรื่องเงิน เรื่องครอบครัว บริหารจัดการได้ ช่วยกันสร้างอนาคต บางทีสิ่งของบางอย่างผมอยากได้เองนะ เช่น ซื้อรถให้เขา เขาไม่รู้เรื่องเลย ผมก็ให้เขาด่าไป (ยิ้ม) คือเอต้องดูแลลูก ส่งลูก ต้องคอยนั่งแท็กซี่ไป เวลาฝนตกก็ลำบาก แล้วยุคหนึ่งมีข่าวเด็กเสียชีวิตในรถโรงเรียน ก็กลัวสิ แล้วลูกเราไม่ปกติ เกิดเรื่องขึ้นมาจะแจ้งยังไง เลยซื้อรถให้ ทั้งที่เขาขับไม่เป็นนะ ก็หัดขับในหมู่บ้านเนี่ยแหละ”

     “จู่ๆ ขับมาจอดไว้แล้วบอกว่าเธอต้องขับนะ ถ้าเธอไม่ขับก็ทิ้งไว้เนี่ยแหละ ต้องฝึกนะ แต่ฉันขับรถไม่เป็น (หัวเราะทั้งคู่)”

     ส่วนสิ่งที่คุณเออยากพูดถึง คือความใจดีของสามีซึ่งเป็นทั้งข้อดีที่รักและข้อด้อยที่ห่วง

     “พี่หลุยส์ให้ใจเต็มที่เวลาทำงาน ใครขอความช่วยเหลือก็ช่วยสุดตัว เลยห่วงว่ามันอาจไม่ชอบมาพากล กังวลว่าจะถูกหลอกหรือเปล่า กลัวโดนเอาเปรียบ กลัวไม่รอบคอบ”

    คุณหลุยส์ขอเสริมถึงความดีของภรรยาคู่ยากที่เขาอยากเล่าให้ใครต่อใครได้ฟัง

     “ตลอดเวลาที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ เอยอมรับการตัดสินใจของผมเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดีหรือไม่ดี บางครั้งผมทำอะไรก็มัดมือชกเขาเลย อย่างเปิดร้านอาหาร ‘อุดมชวนชื่น’ ก็ไม่บอกเขาก่อนนะ (หัวเราะ) เพราะผมรู้ว่าเขาไม่หักหน้าผมต่อหน้าใคร”

     “ไม่คิดว่าจะมีเงินไปเปิด (หัวเราะ) แล้วเขาก็เฉยมาก จนมารู้เนี่ยแหละ แถมบอกว่าเปิดต่อไม่ได้ถ้าเราไม่ช่วยมาดูแล คือพี่หลุยส์ไม่ถนัดเรื่องระบบการเงิน ส่วนพี่เป็นคนไม่เข้าสังคม ร้านอาหารเป็นสถานบริการที่ต้องเทคแคร์ลูกค้า พี่ทำไม่ได้ และไม่รู้เลยว่าระบบบัญชีต้องทำยังไง แต่เขาอยากให้ลองทำดู ที่ผ่านมาพี่หลุยส์เปลี่ยนพี่หลายอย่าง เราสองคนยากตั้งแต่เริ่มต้น พ่อแม่พี่เหมือนทดสอบเขาด้วย แล้วพี่ก็แคร์ความรู้สึกพ่อแม่ด้วย เลยยากตั้งแต่คบจนถึงแต่งงาน เรื่องลูกก็ยากอีก พี่หลุยส์มีผลกับการเปลี่ยนชีวิตพี่มาก พี่เป็นคนเซฟโซน ไม่ปาร์ตี้ ไม่สังคม บางคู่ต้องคนสไตล์คล้ายกันถึงจะเข้าใจกัน แต่เรากลับคนละขั้ว ต้องใช้ความเข้าใจและการพูดคุยกัน มีการให้อภัย ดังนั้นความใจดีของพี่หลุยส์จึงถ่ายเทมาถึงพี่ด้วย”

     “เอางี้ บ้านนี้ไม่เคยรับแขก ผมเล่นตลกมาสามสิบกว่าปีบางคนยังไม่รู้จักบ้านผมเลย แล้วผมไม่ได้บอกเขาก่อนด้วยนะว่าจะมีสัมภาษณ์ มัดมือชกเลย”

     คุณหลุยส์หัวเราะเสียงสดใส เป็นการปิดท้ายสัมภาษณ์ที่ทำเอาพวกเราคาดไม่ถึงจริงๆ.

 

 

ฝากความเข้าใจถึงคุณพ่อคุณแม่ทุกคน

“ต้องรีบรู้ตัวให้เร็ว เด็กกลุ่มนี้มีระยะเวลาการฝึก ยิ่งอายุน้อยยิ่งพัฒนาไว ถ้าไม่กระตุ้นโตไปจะเฉื่อย ให้คุณหมอดูว่าน้องอยู่กลุ่มไหน เพราะมีออทิสติก มีดาวน์ซินโดรม แล้วออทิสติกยังมีแยกไปอีกหลายกลุ่ม คุณหมอจะได้ให้ข้อมูลในการฝึกกระตุ้นที่ถูกต้อง จะดูได้ว่าลูกเราอ่อนทางด้านไหน กระตุ้นให้ตรงจุด ก่อนเข้าเรียนควรฝึกทักษะการใช้ชีวิต เพราะถ้าลูกยังไม่มีสมาธิก็เริ่มเรียนไม่ได้ และต้องดูว่าลูกไปได้แค่ไหน ถ้าเรียนกับเด็กปกติได้ เราเรียกว่าเรียนร่วม บางเคสอาจมีครูไปประกบ ถ้าไม่ได้เรียกว่าเรียนคู่ขนาน โรงเรียนจะมีแต่กลุ่มเด็กพิเศษ หลักสูตรจะเขียนขึ้นมาเฉพาะเด็กแต่ละคน ในห้องมีสิบคน มีหลักสูตรไม่เหมือนกัน แล้วแต่นักเรียน

สำหรับโรงเรียนของเด็กด้านนี้ ครูจะรู้ว่าต้องกระตุ้นอะไรบ้าง อารมณ์ สังคม ร่างกาย จิตใจ ฝึกการใช้ชีวิตประจำวัน เด็กบางคนที่อาการหนัก ครูต้องจั๊กจี้เอวถามว่าชอบใจไหม หัวเราะสิคะ เขาไม่รู้ว่าอารมณ์ข้างในตัวคืออะไร น้องภูมิก็เป็น ตอนคุณพ่อไปรับดีใจ แต่นอนร้องไห้ ไม่รู้จะแสดงออกยังไง เราต้องฝึกใหม่ พอพ่อมาก็บอกเขาว่าไม่ร้องไห้นะ แล้วจับมือปรบมือแทน บอกพ่อมาแล้ว ให้รู้ว่านี่คือดีใจ เด็กบางคนไม่รู้แม้กระทั่งรสชาติ ครูก็ฝึกให้รู้จัก เอาเกลือ กาแฟ สอนว่านี่คือเค็ม นี่คือขม น้ำตาลคือหวานนะ แล้วปัญหาส่วนใหญ่คือพูดช้าหรือไม่พูด ต้องฝึกให้พูด และต้องดูด้วยว่าหูได้ยินหรือเปล่าถึงไม่พูด หรือบางคนเกินกว่าปกติ อย่างที่เห็นเด็กนั่งปิดหู เพราะได้ยินมากกว่าเรา เลยมีความเครียด ที่เขาแสดงออกรุนแรงเพราะเขาบอกเราไม่ได้ ถ้าเขาบอกได้ จะผ่อนคลายลง

โรงเรียนเป็นสิ่งสำคัญ แต่โรงเรียนสำหรับเด็กกลุ่มนี้ยังมีน้อยอยู่ จึงต้องปรึกษาและช่วยเหลือพร้อมกันสามด้าน โรงเรียน คุณหมอ และผู้ปกครอง ขาดไม่ได้เลยค่ะ”

 

HUG MAGAZINE

รักไม่รู้จบ

เรื่อง : มาศวดี ถนอมพงษ์พันธ์

ภาพ : อนุชา ศรีกรการ


ความรักชนะทุกสิ่ง แต่คุ้มไหมกับนรกในใจ

          นักศึกษาสาวคนหนึ่งมีเรื่องทุกข์ใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับค่ะ เธอไปหารืออาจารย์ที่ปรึกษาก่อน อาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำให้มาพบจิตแพทย์ เพราะเธอมีอาการเครียดจนส่งผลกระทบต่อร่างกายจริงๆ อีกทั้งเธอเพิ่งผ่านการแท้งบุตรซึ่งสำหรับเด็กสาวอายุไม่ถึงยี่สิบปีถือเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก

 

        “ตอนนี้เรื่องไหนที่ทำให้คุณทุกข์ใจที่สุดคะ เรื่องที่คุณแท้งบุตรหรือเปล่า”

        “เรื่องนั้นหนูทำใจได้แล้วค่ะ ที่ตอนนี้หนูเครียดมากคือเรื่องแฟน หนูบอกคุณหมอก่อนนะคะว่าหนูได้เจอพี่คนนี้ตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ พี่เขาจีบหนู หนูก็เลยตกลงคบด้วย แต่ตอนหลังหนูเพิ่งมารู้ว่าพี่เขามีภรรยาแล้ว เขาบอกหนูว่าพยายามจะขอเลิกอยู่ เขาอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับหนู”

        “แสดงว่าที่แท้งบุตรก็เป็นการตั้งครรภ์กับผู้ชายคนนี้”

        “ใช่ค่ะ ที่ทำให้หนูเครียดมากคือทางบ้านหนูรู้เรื่อง พี่ชายหนูโกรธมาก เขามาตบหน้าหนู พ่อแม่ก็โกรธและผิดหวังในตัวหนู แล้วภรรยาของพี่ผู้ชายก็โทร.มาด่าว่าหนู ตอนนี้หนูไม่เหลือใครแล้ว เหลือแต่พี่ผู้ชายคนเดียว เขาก็บอกให้หนูเข้มแข็งแล้วจะผ่านไปด้วยกัน”

         เธอพูดพลางน้ำตาคลอแต่ก็ยังเข้มแข็งมากค่ะ พอถึงสถานการณ์ตรงนี้ก็เข้าใจความรู้สึกของคนรอบข้างนะคะ ในสายตาคนอื่น นักศึกษาสาวคนนี้เป็นชู้กับผู้ชายที่มีครอบครัวอยู่แล้วและคนรอบข้างก็พากันต่อว่าขับไล่ไสส่ง เธอเลยเหลือทางเลือกเดียวคือพึ่งพาผู้ชายที่มีส่วนร่วมในความทุกข์ครั้งนี้

 

 

         เราลองมามองอีกมุมแบบเปิดใจให้กว้างๆ นะคะ เธอเป็นวัยรุ่นที่เพิ่งจบมัธยมศึกษาไม่นาน อายุยังไม่ขึ้นเลขสองด้วยซ้ำ มีความสุขกับความรักและตอนนี้กำลังไร้ที่พึ่ง อีกฝ่ายคือผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ มีภรรยา มีงานทำ และรู้ว่าการมาจีบเด็กสาวก็จะทำให้ภรรยาต้องช้ำใจ ใครล่ะที่เราควรปกป้องเพราะเป็นเยาวชน และใครล่ะที่เราควรตำหนิเพราะเป็นผู้ใหญ่ที่ก่อเรื่องจนคนอื่นทุกข์ใจ ชีวิตจริงกลับกันค่ะเพราะคนที่ควรได้รับการปกป้องกลับถูกคนรอบข้างต่อว่า แต่คนที่ควรโดนตำหนิเพราะน่าจะมีวุฒิภาวะมากกว่า กลับบอกคนรอบข้างว่าต้องรับผิดชอบฝ่ายหญิงจึงไม่สามารถถอนตัวได้

          ปัจจุบันนักศึกษาสาวคนนี้ยังเรียนหนังสือได้อย่างเข้มแข็งค่ะ แต่ก็มีอาการเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ตอนนี้ปัญหาล่าสุดคือพ่อแม่ฝ่ายชายไปดักรอหน้าบ้านของนักศึกษาสาวและพาลโทษว่าเธอเป็นต้นเหตุให้สามีภรรยาเขามีปัญหากัน ขอให้เธอเลิกคบหา ถ้าผู้ชายไม่มีความหวังแล้วก็คงกลับไปหาภรรยาเหมือนเดิม กลายเป็นว่าคนเหล่านั้นผลักภาระมาให้เด็กสาวอายุไม่ถึงยี่สิบปีช่วยเสียสละเพื่อให้พวกเขามีความสุข ในทางกลับกันไม่มีใครช่วยให้คำปรึกษาหรือเข้าอกเข้าใจเธอเลย มีแต่การบีบบังคับและผลักภาระ

 

         “หมอเห็นใจคุณมาก หมอสามารถช่วยเรื่องความเครียดและนอนไม่หลับได้ แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นช่วยตรงไหนเพื่อให้ชีวิตคุณมีความสุขมากขึ้น ตอนนี้คุณพูดคุยได้แค่กับผู้ชายคนนั้น อาจารย์ที่ปรึกษา แล้วก็หมอเท่านั้นเหรอคะ มีคนอื่นอีกไหม”

          “ไม่มีหรอกค่ะ พี่ผู้ชายบอกว่าตอนนี้เขาเครียดมาก อย่าเพิ่งติดต่อไป หรือถ้าต้องคุยกันหนูก็อย่าเอาปัญหาไปให้เขา ส่วนอาจารย์ที่ปรึกษาหนูก็ไม่ค่อยสนิท เพราะคุยกันแค่ครั้งเดียวอาจารย์ก็แนะนำให้หนูพบจิตแพทย์เลย หนูเคยคิดว่าอุปสรรคเป็นเรื่องที่ต้องฝ่าฟัน แต่หนูชักไม่แน่ใจแล้วค่ะว่าหนูจะฝ่าฟันไปได้ไหม”

          “ถ้าครั้งหนึ่งการคบผู้ชายคนนี้ทำให้คุณมีความสุข หมอก็คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง คุณเลือกและยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต แต่พอเวลาผ่านไปความทุกข์มีมากกว่าความสุข คุณคงต้องลองพิจารณาว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร จะคบหาเขาต่อไปไหม ถ้าจะเลือกคบหรือไม่คบก็ไม่ใช่เพราะใครบอกให้ทำ แต่คุณต้องมองเห็นข้อดีข้อเสียและตัดสินใจเอง แล้วรับผิดชอบการตัดสินใจนั้น”

 

          เธอรับปากว่าจะกลับไปคิดอย่างจริงจังค่ะ บางครั้งเรายึดติดภาพในละครว่าผู้หญิงที่คบหาผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วคือตัวโกงและลืมมองไปว่าเธออาจจะไม่ใช่ตัวโกงแต่เป็นเยาวชนที่ตกเป็นเหยื่อความเห็นแก่ตัวก็ได้ คนรอบข้างไม่จำเป็นต้องแสดงความหวังดีด้วยการบังคับหรือต่อว่า เราแสดงความหวังดีด้วยการรับฟังและเห็นใจได้ค่ะ เมื่อเขาเริ่มมีสติจนพร้อมที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเองแล้ว เราค่อยให้คำแนะนำเขาก็จะรับฟังมากขึ้น อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่เอาแต่ต่อว่าและทำร้ายจิตใจค่ะ.

 

HUG MAGAZINE 

คุยชีวิตกับจิตแพทย์


โควิด ทำให้ชีวิตรักเปลี่ยนหรือ?

Q.

         “พี่อ้อยคะ หนูมีแฟนเป็นชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่อเมริกาฯ เราเพิ่งคบกันได้ 1 ปี หนูทำงานกลางคืน เขาเป็นลูกค้ามาเที่ยวร้าน เจอกันครั้งแรกก็ปิ๊งเลยค่ะ เลยตัดสินใจคบกันจริงจัง เขาพยายามบินมาหาหนูเท่าที่จะทำได้ ครั้งหนึ่งก็มาอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน เขาเป็นคนเนี๊ยบเรื่องเงินมาก ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล ไม่ชอบให้ขอ ถ้าอยากให้เขาจะให้เอง เราต่างเจอพ่อแม่ของทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว เขาขอให้หนูหยุดทำงานกลางคืน แล้วกลับไปอยู่บ้านหาอะไรทำ รอเวลาเขากลับมาแต่งงานกัน แล้วโควิดฯ รอบแรกก็มา ตอนนั้นสถานการณ์ที่อเมริกาฯ แย่มาก งานของเขาโดนยกเลิกหมด รายได้ไม่มีเลย เราไม่ได้เจอกัน 1 ปีเต็มๆ เขาเครียดเรื่องงานและเงิน จนเริ่มต่อว่าหนูให้รีบหางานอื่น หลายครั้งเข้าหนูก็รู้สึกกดดัน เลยพูดประชดไล่ให้เขาไปหาคนอื่นที่ทำอาชีพดีๆ คนที่เขาไม่ต้องช่วยเหลือเรื่องเงิน และไม่ต้องส่งเงินมาให้หนูแล้ว เขาโกรธหนูมาก บล็อกไลน์ บล็อกเบอร์ ทุกช่องทาง ไม่ยอมคุยกับหนู 4 เดือน จนในที่สุดหนูใช้อีกเบอร์ติดต่อไป เขาอยากให้เราโฟกัสเรื่องความอยู่รอดกันก่อน ขอให้หนูมีชีวิตใหม่ที่ดี เขาไม่ชอบความสัมพันธ์แบบไม่ได้เจอกัน คุยผ่านแต่โทรศัพท์ เขาเสียใจมาก เขาขอโทษ ตอนนี้ก็ยอมๆ ทำตามที่เขาขอ เช่น อาทิตย์นี้จะโทร.หาวันนั้นวันนี้นะ ห้ามหนูโทรหาถี่ๆ เขาไม่ชอบ

        พี่อ้อยคะ ช่วงที่ห่างหายกันไปเขาอาจไปคบคนอื่นหรือเปล่า เขาอยู่ไกลเราก็ไม่เห็น อะไรที่จะทำให้ความสัมพันธ์นี้ค่อยๆ ดีขึ้นบ้างคะ อะไรที่ทำให้รู้ว่าอย่าพยายามอีกเลย อะไรที่ทำให้มั่นใจว่าเขายังรักเราอยู่ รบกวนพี่อ้อยช่วยหนูหน่อยนะคะ”

A.

โควิดฯ ทำให้ชีวิตรักของหลายคนเปลี่ยนค่ะ เอาใหม่ ต้องพูดว่า

“โควิดฯ วัดใจว่าเรารักกันมากพอไหม ที่จะเดินหน้าต่อไปด้วยกัน”

น่าจะเหมาะกว่า

 

เราไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ ความเครียด ความกดดันมีกันทุกคน เคยมีคนตั้งคำถามด้วยซ้ำว่า “โควิดฯ ทำร้ายความรักของเรา เพราะอยู่ใกล้ไป หรืออยู่ไกลไป” เชื่อไหมคะว่าเป็นได้ทั้งสองแบบ การ work from home ทำให้หลายคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากจนเกินไป อบอุ่นกลายเป็นอึดอัด ทั้งที่รักมากแต่บางทีก็ยากจะอยู่ด้วย ต้องช่วยๆ กันหาพื้นที่ส่วนตัวไว้บ้าง เมื่อโลกส่วนเรา เบียดโลกส่วนตัว จนเริ่มกลัวการล้ำเส้น ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจ ต่างคนต่างกลัวความไม่ปลอดภัย

เลยกลายเป็นแรงกดดันให้เราไม่ค่อยหันหน้าเข้าหากัน พูดกันทีไรมีแต่ปัญหารำคาญใจ ก่อนหน้านี้บ่นแทบตาย ว่าเธอไม่ค่อยมีเวลา ตอนนี้พอมี “เวลา” กลายเป็นว่า หาช่องว่างระหว่างกันไม่ค่อยได้ เริ่มอยู่ใกล้แต่ไม่เห็นคุณค่า มีปัญหาเพราะเห็นหน้ากันมากเกินไป ทั้งที่คนอยู่ไกลกัน แสนจะอิจฉา เคยไปมาหาสู่กันได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ เฝ้ามองแต่หน้าจอรอเวลาที่จะได้กอดกัน ก็นับว่าเป็นปัญหาอีกแบบ

 

พี่เข้าใจรักทางไกลดีค่ะ ต้องใช้ใจทั้งสองฝ่ายเยอะมาก เพราะเราขาดกันได้ง่าย ได้แต่บอกตัวเองเรื่อยไป เจอโจทย์ยากจะได้รู้ว่ารักกันมากแค่ไหน และส่วนใหญ่ที่เรามักบอกกัน ต่อให้รักกันแค่ไหน ยังไงก็ต้องมีอาชีพของเรา รอแต่เงินของเขาก็ไม่รู้ว่าเราจะรอดไปได้นานแค่ไหน เพราะรักเป็นเรื่องไม่แน่นอนที่สุดในโลก เมื่อวานรัก วันนี้รัก พรุ่งนี้ก็ไม่รู้แล้วว่า เราจะยังรักกันอยู่ไหม โควิดฯ ยิ่งตอกย้ำให้เราตระหนักว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน

แต่ก่อนคิดว่ามีกระเป๋าเดียว ถ้าเป็นกระเป๋าใหญ่น่าจะรอดได้ ตอนนี้ในแต่ละครอบครัวต้องมีกันอย่างน้อย 2 กระเป๋า กระเป๋าเขา กระเป๋าเรา ช่วยกันหา ยังไงก็ดีกว่าหาอยู่คนเดียว พอเริ่มเหนื่อย เริ่มเครียด เริ่มอุ้มอีกคนไม่ไหว รักไปรู้สึกผิดไป กดดันกันไป เรายิ่งประชดเขายิ่งไปกันใหญ่ เหนื่อยแทบตายสุดท้ายโดนไล่ ใจเขาใจเราค่ะ เขาจะชื่นใจจากอะไรล่ะคะ ภาวะวิกฤติ ยิ่งต้องคิดดีๆ ก่อนจะสื่อสารกัน

 

นอกจากงานกลางคืน ซึ่งวันนี้ก็ใช่ว่าจะทำเงินได้ดีเหมือนเดิม ไหนจะความเสี่ยงสารพัด อันตรายสำหรับผู้หญิงอย่างน้อง ไหนจะต้องสร้างความภาคภูมิใจให้เขา ในฐานะสะใภ้ที่เขาแนะนำกับใครๆ ได้อย่างหน้าชื่นตาบานว่าเราทำงานอะไร งานกลางคืนก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอยู่แล้วในภาวะนี้ ด้วยความเคารพทุกอาชีพสุจริตนะคะ แค่ตอนนี้เสี่ยงไป เรามีความสามารถอื่นๆ ที่สร้างอาชีพได้ไหม อย่างน้อย ในวันหน้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะดูแลหรือไม่ดูแล เราก็ไม่ได้แย่เพราะยังทำมาหากินได้

สิ่งที่น้องกลัวสารพัดว่าเขาจะไปรักคนอื่นไหม ไกลก็ไกล มองก็ไม่เห็น พี่อยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่เข้าข้างนะคะ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ 4 เดือนไม่สนใจจะคุย จะทัก หากบอกว่า “รักมาก” ก็ไม่เห็นน่าเชื่อ ช่วงที่ห่างกันไป ไม่ห่วงเราบ้างหรือว่าเราจะอยู่ยังไง ปลอดภัยดีไหม โกรธเรา พี่เข้าใจ แต่ขนาดเป็นตายร้ายดียังไงฉันไม่สน ก็ดูไม่ใช่คนรักกันเท่าไหร่ ถ้าน้องไม่ติดต่อไป 4 เดือนอาจจะกลายเป็นปี ที่เขาดูเหมือนเลือกแล้วว่า ไม่อยากเดินหน้าต่อกับเรา สิ่งที่เขาบอกชัดเจนเหลือเกินว่า เขาอยากคบกับคนที่เจอกันทุกวัน มากกว่าคนไกล ที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ถ้าเขาเป็นคนแพ้ความไกลเมื่อเจอคนใกล้กว่า เขาก็คงต้องไป แต่หากเราเป็นคนที่ใช่ ไกลแค่ไหนเขาน่าจะรอ น้องยังรอเขาเลย เพราะเรารักเขามากกว่าที่เขารักเราไง ถึงอยากให้น้องรอไป เผื่อใจไป ยอมรับความจริงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หาอาชีพใหม่ของเราให้ได้ อย่างน้อยก็ภูมิใจที่พึ่งพาตัวเองได้ ไม่ใช่แบมือขอจากเขา การที่เขาบอกว่า อย่าโทร.บ่อยเพราะไม่ชอบ พี่กล้าตอบได้ว่า เหมือนเขากำลังมีใครที่น่าสนใจกว่า คนเรารักกันอยากได้ยินเสียงกันทั้งนั้น เขาวางเงื่อนไขเหมือนวางน้องไว้ไกลๆ โทร.ได้แค่บางวัน หลายครั้งสิ่งที่เราสงสัยอาจแปลว่าใช่แล้ว

 

พี่ไม่เคยบอกให้ใครอย่าพยายามอีกเลย ส่วนใหญ่จะยุให้พยายามจนถึงที่สุดก่อน คุยกัน สื่อสารกันเท่าที่ได้ ใช้เวลาอย่างที่เขาอยากให้เราใช้ แค่ไหนแค่นั้น “เวลา” จะบอกน้องได้เองว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน รักที่อยากได้จะอยู่ที่นั่นหรือเปล่า ทำให้ดีที่สุดในจุดของเรา ถ้าสุดมือสอย วันหนึ่งก็ต้องปล่อยเขาไป แต่ก่อนจะถึงวันนั้น พยายามให้เต็มที่ คุยกับเขาว่าเรากำลังหางานทำนะ เธอเป็นที่ปรึกษาให้ฉันได้ไหม เวลาที่มีปัญหา ไม่ได้ทำงานกลางคืนนะอย่างที่เธอขอ รอดูความสำเร็จในงานของฉันบ้างนะ ดูแลใส่ใจเขาแบบที่เราเคยเป็น เดี๋ยวน้องจะเห็นเองว่า ความใส่ใจของเราคือความชื่นใจของเขา หรือมองว่าเราน่ารำคาญ นั่นคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

 

         “เอาใจช่วยให้ความไกลทำอะไรความรักของน้องไม่ได้ หรือถ้าวันหนึ่งตัวไกลทำให้ใจห่าง ก็หวังว่าความรักในตัวเองของน้อง จะปกป้องให้น้องแข็งแกร่งเกินกว่าที่น้องคิดไว้ค่ะ”

— DJ อ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล

 

 

HUG Magazine

หัวใจไม่จนมุม


The Broken Hearts Gallery เพื่อ ‘จดจำ’ และ ‘ลืมเลือน’

The Broken Hearts Gallery

แกลเลอรี่แห่งเศษซากความรัก เพื่อ จดจำและ ลืมเลือน

 

 

         “เมื่อรักแหลกสลาย คุณจะเก็บซากของมันยังไง”

        ลูซี่ย้อน เมื่อนิคถามว่าจะทำยังไงกับข้าวของกองโตอันเนื่องมาจากความสัมพันธ์ในอดีต เป็นการย้อนด้วยคำถามที่ต้องถามตัวเองมากกว่าถามคนอื่น ในเมื่อเธอที่หมกมุ่นกับการเก็บข้าวของจิปาถะสิ่ง (เพื่อนสนิทเธอเรียกว่า ขยะ) เอาไว้ในบ้าน ทุกสิ่งทุกอย่างดูมีคุณค่าทางจิตใจไปเสียทั้งนั้น

 

        ลูซี่เจอกับนิคในวันที่เธอเพิ่งจบความสัมพันธ์อีกครั้ง (คราวนี้ของที่ระลึกคือเนคไท) แถมยังโดนไล่ออกจากงานผู้ช่วยภัณฑารักษ์ในแกลเลอรี่แห่งหนึ่ง

        เธอเข้าใจผิดคิดว่านิคคือคนขับรถรับจ้างที่ต้องมารับเธอ ในขณะที่นิคกำลังเผชิญความยากลำบากในฐานะนักธุรกิจ โรงแรมที่เขาตั้งชื่อว่า โคลอี้ ยังสร้างไม่เสร็จ แต่เงินทุนหมดไปแล้ว และดูเหมือนจะไม่มีธนาคารไหนให้กู้เพิ่ม

         ไอเดียการสร้างแกลเลอรี่สำหรับคนอกหัก รับข้าวของอันเป็นเศษซากจากความสัมพันธ์ครั้งเก่ามาจัดแสดงพร้อมด้วยเรื่องราวฝังใจ จึงเกิดขึ้นที่โรงแรมหน้าตาเหมือนไซต์ก่อสร้างของนิคอย่างปุบปับ

 

         สิ่งที่ทำให้หนังรอมคอมเล็กๆ เรื่องนี้มีความพิเศษ คือพล็อตที่น่าจะเป็นความรู้สึกร่วมของคนจำนวนไม่น้อย รวมทั้งบรรยากาศและความเป็นธรรมชาติของตัวละครในเรื่อง มันเป็นเรื่องราวเล็กๆ ในช่วงเวลาเล็กๆ เล่าเรื่องที่ไม่ใหญ่โตมาก แต่แผงความน่ารักกระจายไปทั่ว

         หนังไม่ลืมที่จะอธิบายพฤติกรรม “บ้าเก็บของ” ของนางเอกด้วยเหตุผลอันมีน้ำหนัก

         ไม่ลืมที่จะเฉลยในที่สุดว่า แม้แต่คนที่บอกว่าตัวเองเป็นมินิมัลลิสต์ ใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งของเท่าที่จำเป็นแบบพระเอก ก็ใช่ว่าจะไม่แบกความหลังอันทุกข์ใจไว้

 

         ดำเนินเรื่องด้วยบทสนทนาแสบๆ คันๆ ที่อาจจี้ใจดำมนุษย์คลั่งรักได้หลายคน เราเลยตระหนักว่า พื้นที่ที่ทำให้มนุษย์รู้จักปล่อยวาง เพื่อก้าวไปต่อนั้นสำคัญขนาดไหน

         แถมยังมีแก๊งตัวละครเพื่อนนางเอกที่โดดเด่นชวนรัก เป็นแก๊งเพื่อนสาวในฝันเอามากๆ

         และที่สำคัญ แม้จะไม่ได้ตรึงตาตรึงใจอะไรมากมาย แต่หนังฝากแง่คิดบางอย่างไว้เมื่อเราดูจบ เรานึกอยู่บ่อยๆ ว่าตอนนี้ยังมีข้าวของจากความสัมพันธ์ครั้งเก่า ครั้งก่อน ครั้งไหนที่เรายังเก็บเอาไว้บ้างมั้ยนะ แต่ละอย่างบันทึกเรื่องราวอะไร และถ้าต้องเลือกบางอย่างส่งไปเข้า The Broken Hearts Gallery ล่ะ เราจะเลือกชิ้นไหน

         เป็นหนังว่าด้วยข้าวของกับความทรงจำ และทำงานกับความทรงจำได้จริงๆ ด้วย

 

ขอทิ้งท้ายด้วยเกร็ดน่าสนใจ พิพิธภัณฑ์จัดแสดงข้าวของจากความสัมพันธ์ที่จบไปแล้ว มีจริงนะคะ อยู่ที่ซาเกร็บ เมืองหลวงของประเทศโครเอเชีย ชื่อ Muzej prekinutih veza กับอีกแห่งคือ Museum of Broken Relationships ที่ลอสแองเจลิส สหรัฐอเมริกา

อยากวาร์ปไปเที่ยวได้จริงๆ เลย.

 

HUG Magazine

คอลัมน์: สวมแว่นสีชมพูดูหนัง 


หยุดเวลาที่ "สุกันทรา แคสเคด รีสอร์ท"

“ธรรมชาติจะเยียวยาทุกสิ่ง”

 

 

          ทริปนี้ขอพาหนีกรุง ไปนอนฟังเสียงน้ำตกในรีสอร์ทนอกเมืองเชียงใหม่ สุดแสนจะ unseen จนคนดังระดับโลกอย่าง “แองเจลินา โจลี” และอีกหลายคน นิยมมาพักผ่อนกันที่นี่ ซึ่งถ้าเป็นช่วงปกติก็คงยากจะมีโอกาสได้ไปพัก แต่ช่วงนี้รัฐบาลร่วมสนับสนุน ชวนไปเที่ยวเมืองไทย เลยไม่รอช้าออกเดินทางไปในช่วงที่อากาศกำลังสบายที่สุดของปี

 

         “สุกันทรา แคสเคด รีสอร์ท” ที่พักสุดหรูท่ามกลางธรรมชาติแห่งนี้ ตั้งอยู่ในอำเภอแม่ริม ใกล้กับน้ำตกตาดหมอก ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ไม่มาก ใช้เส้นทางเดียวกับม่อนแจ่ม

          รถคู่ใจวิ่งไปตามจุดหมายที่ปักหมุดไว้ในโทรศัพท์ เวลาผ่านไปเพียง 40 นาทีกับระยะทาง 20 กว่ากิโลเมตร บนเส้นทางคดเคี้ยว พอให้ได้ตื่นเต้นเล็กน้อย เมื่อเจอป้ายจราจรสีเหลืองรูปนกยูง เป็นสัญญาณบอกว่า กำลังจะถึงจุดหมายของการพักผ่อนครั้งนี้แล้ว เพียงแค่ก้าวเท้าลงจากรถ เดินเข้าสู่ตัวรีสอร์ท บรรยากาศแห่งความร่มรื่นก็ได้หอบเอาความสดชื่นมาทักทาย เสียงสายน้ำส่งเสียงต้อนรับ จากตรงนี้ทำให้เรารู้ได้ว่า ไม่ว่าจะยืนอยู่จุดไหนของรีสอร์ทแห่งนี้ก็สามารถเห็นน้ำตกขนาดใหญ่ที่ไหลผ่านกลางรีสอร์ท ตอนนี้เรามีน้ำตกเป็นของตัวเองแล้วนะ

 

         เมื่อประตูห้องเปิดออกอากาศเย็นสบาย กลิ่นหอมสะอาด เรียกรอยยิ้มได้ไม่ยากเลย ห้องพักตกแต่งแบบเรือนล้านนา แต่ให้บรรยากาศเหมือนอยู่บาหลี สิ่งอำนวยความสะดวกมีให้ครบครัน ด้านหน้ามีสระว่ายน้ำเล็กๆ ให้ลงไปแช่ตัว หรือจะเลือกนั่งเอกเขนกในศาลาริมน้ำแบบสบายๆ ปล่อยร่างกายให้ธรรมชาติได้บำบัด ท่ามกลางป่าเขาสีเขียวขจี สายน้ำธรรมชาติที่ไหลมาจากน้ำตกตาดหมอกนั้น ไหลเอื่อยๆ เหมือนเสียงดนตรีจากป่ามาบรรเลงขับกล่อม ราวกับว่าเวลานี้เข็มนาฬิกากำลังเดินช้าลง ให้โอกาสธรรมชาติได้เติมเต็มความสุขอีกครั้ง

 

 

        แสงอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า ก็ถึงช่วงเวลาของอาหารกาย ดินเนอร์ตำรับล้านนาในขันโตก อาหารที่แสนอร่อยจนติดอันดับ ร้านอาหารแนะนำในบรรยากาศสุดโรแมนติก ภายใต้ม่านน้ำตกสุดอลังการ ร่ำลาวันแห่งความสุขในเย็นวันนี้ด้วยมื้อสุดพิเศษ จากบริการสุดประทับใจ เสียงน้ำตก เสียงหรีดหริ่งเรไร ขับกล่อมให้หลับใหล ค่ำคืนที่แสนสุขใจผ่านไปอย่างรวดเร็ว

        ยามเช้ากับเจ้านกยูงสัญลักษณ์ของที่นี่ แวะเวียนมารำแพนหาง ส่งเสียงทักทายถึงหน้าห้อง เราจึงอยากชมเป็นขวัญตา รีบลุกจากที่นอนแต่งตัว ออกสำรวจรอบรีสอร์ทยามเช้าตรู่ อากาศหนาวเย็นจนแตะเลขสองหลักต้นๆ เห็นหมอกจางๆ ลอยเรี่ยรายบนผิวน้ำ เหนือสายน้ำตกที่ไหลลดหลั่นผ่านหน้าผาหิน กลายเป็นม่านน้ำ บางจุดกลายเป็นแอ่งน้ำใส ชวนให้นั่งลงแล้วเอาเท้าจุ่มน้ำ นกน้ำฝูงใหญ่กำลังเข้าแถว เล่นสไลด์เดอร์ธรรมชาติอยู่บนน้ำตกกันอย่างครื้นเครง

 

         กลางรีสอร์ทมีสะพานไม้ทอดยาวไปยังอีกฝั่ง สามารถเดินข้ามไปมาได้ เราเดินไปถึงกลางสะพาน แล้วมองไปที่น้ำตก รู้สึกดีมากจริงๆ เป็นอีกหนึ่งเช็คพ้อยท์ของที่นี่ที่ห้ามพลาด จากจุดนี้เรานั่งดื่มด่ำบรรยากาศยามเช้า มองไปทางไหนก็เจอต้นไม้และดอกไม้นานาพรรณบานสะพรั่ง เหมือนกำลังชักชวนให้ไปถ่ายรูป เก็บไว้อวดใครต่อใคร ว่าได้มาเยือนแล้วนะ ตอนนี้มีความรู้สึกราวกับว่า กำลังได้รับการปรนนิบัติจากธรรมชาติ

 

         ก่อนจะอำลาก็ต้องแวะเติมพลังด้วยอาหารเช้า ที่มีให้เลือกหลากหลายแบบ อร่อยและถูกใจทุกเมนู แถมยังมีนกยูงคอยแวะเวียนมารำแพนหาง โชว์ตัวเป็นระยะๆ กับบรรยากาศบริเวณน้ำตก วิวที่มองกี่ครั้งก็แสนสบาย จนกลายเป็นอีกหนึ่งที่พักในดวงใจในเมืองเชียงใหม่

 

        ถ้าวันพักผ่อนครั้งหน้ายังไม่รู้จะไปที่ไหน ขอแนะนำให้เดินทางไปผ่อนคลายกับสายน้ำ ปล่อยให้ธรรมชาติได้โอบกอด ใช้ชีวิตแบบใกล้ชิดธรรมชาติ สูดอากาศบริสุทธิ์ ชมนกชมไม้ ในที่พักบรรยากาศสุดหรู แล้วหยุดเวลาไว้ที่ “สุกันทรา แคสเคด รีสอร์ท” แม่ริม เชียงใหม่ สักครั้ง.

 

 

HUG MAGAZINE 

พาหัวใจไปเที่ยว

น้องฟาง