คู่รักสะพานบุญ : สุวรรณฉัตร พรหมชาติ

หากเอ่ยถึงแท็กซี่จิตอาสาที่รับส่งผู้ป่วยผู้พิการคนสูงวัยฟรีอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย หลายคนย่อมเคยได้ยินกิตติศัพท์ของเขาคนนี้ คุณเดี่ยว สุวรรณฉัตร ชายผู้เดินบนเส้นทางจิตอาสานี้มายี่สิบกว่าปี เพราะการเป็นสะพานบุญนี่เองที่ทำให้เขาได้พบผู้คนมากมาย รวมถึงผู้ที่กลายมาเป็นคู่ร่วมบุญสนับสนุนบนเส้นทางชีวิตนี้ด้วย คุณหมอจำเนียร พรหมชาติ วันนี้ ฮัก มีโอกาสรับฟังเรื่องราวของคู่รักคู่ชีวิตที่ร่วมกันฝ่าฟันอุปสรรคด้วยหัวใจที่แข็งแกร่งมั่นคง รอยยิ้มของทั้งคู่ยามมองตากัน เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่สุขล้นหัวใจ และเป็นสัญญาณว่าพวกเขาจะยังคงเดินต่อไปบนเส้นทางสะพานบุญแห่งนี้

 

ชีวิตบนสายจิตอาสา

คุณเดี่ยวเล่าย้อนความหลังถึงถิ่นเกิดว่าเป็นชาวจังหวัดนครศรีธรรมราช อำเภอช้างกาง เป็นแท็กซี่จิตอาสาเข้าสู่ปีที่ 24 ในปัจจุบันไม่ได้วิ่งหากิน เน้นช่วยเหลือคนเป็นหลัก นอกจากรับส่งคนก็ช่วยดูแลสิทธิต่างๆของคนป่วยที่พึงได้รับตามกฏหมาย และรับบริจาคข้าวของต่างๆ ซึ่งผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคมาให้ ทั้งอุปกรณ์ทางการแพทย์ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ทั้งหมดนี้คุณเดี่ยวส่งมอบให้ผู้ป่วยโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ เมื่อผู้ป่วยคนไหนจากไปแล้ว ทางครอบครัวบริจาคสิ่งของมาให้ ก็จะคัดกรองส่งต่อให้ผู้ป่วยท่านอื่นๆได้ใช้ต่อไป เป็นการให้ที่ส่งต่อเรื่อยๆ ไม่สิ้นสุด คุณความดีนี้ส่งผลมาถึงตัวคุณเดี่ยวเองเช่นกัน

คุณเดี่ยว: ผมได้รับความช่วยเหลือจากหลายๆท่าน รถคันนี้คุณต๊อด (ปิติ ภิรมย์ภักดี) ก็ยกให้ฟรีๆ ไปทานข้าวหลายที่ก็ไม่เก็บเงิน ไปล้างรถก็ไม่เก็บเงิน โตโยต้าเอมไพร์ดูเรื่องน้ำมันเครื่องน้ำมันเกียร์ให้ตลอด ส่วนยางรถยนต์บริษัทสงวนกันยางก็ดูแลให้ตลอดชีวิต มีคนเข้ามาเอื้อเฟื้อ สนับสนุน ผมเลยสามารถใช้ชีวิตเพื่อสังคมอย่างเดียวได้ ล่าสุดทางเราได้ทำโต๊ะบริจาคให้โรงเรียนตามถิ่นทุรกันดาร 500 ชุด มีจิตอาสาไปช่วยกันประกอบบนดอย 13 วันเสร็จ

 

คู่ชีวิตจากสะพานบุญ

การพบกับคู่ชีวิตในวัยที่ต่างฝ่ายต่างผ่านการมีครอบครัวมาแล้ว ทำให้การตกลงปลงใจในเรื่องต่างๆ ดูชัดเจนมากขึ้น ปัจจุบันคุณหมอจำเนียรเป็นข้าราชการบำนาญ จากเดิมเป็นแพทย์ทั่วไปอยู่โรงพยาบาล พอครบอายุราชการจึงตัดสินใจลาออกมาเป็นจิตอาสาเต็มตัวเพื่อร่วมสนับสนุนสามี เมื่อถามถึงวันแรกที่ได้พบกัน คุณหมอก็หัวเราะออกมาทันที

หมอจำเนียร: มีคนแชร์เรื่องที่เขาดูแลผู้ป่วยมายี่สิบกว่าปี ทีแรกคิดว่ามีจริงเหรอ แท็กซี่ที่ช่วยเหลือคนป่วยฟรี (หัวเราะ) ส่วนใหญ่มักได้ยินแต่ในทางที่ไม่ดี เช็คข้อมูลจึงรู้ว่าเขาทำตรงนี้จริง เลยอยากร่วมบุญ ครั้งแรกร่วมบุญเป็นค่าโทรศัพท์ เพราะเขาต้องคอยโทร.เช็คคิวคนป่วยอยู่ตลอด เติมไปห้าร้อยบาท

คนหนึ่งขับแท็กซี่ อีกคนเป็นหมอ แต่กลับมีสิ่งที่ชอบเหมือนกันคือการดูแลผู้ป่วย สิ่งนี้ทำให้คุณหมอจำเนียรรู้สึกประทับใจชื่นชมเป็นอย่างมาก 

หมอจำเนียร: ญาติผู้ป่วยบางคนไม่รู้ตรงนี้เลย เข้าออกโรงพยาบาลเป็นสิบปี แต่ไม่มีใครแนะนำว่าควรไปขอเอกสารจากแพทย์ จะได้สิทธิต่างๆ ที่ดีขึ้นกว่าเป็นผู้ป่วยทั่วไป เมื่อก่อนพี่เดี่ยวต้องอุ้มคนไข้ไปหาหมอที่อื่นเพื่อรับรองความพิการ ยิ่งนอนติดเตียงการเคลื่อนย้ายลำบาก ตอนนี้ไม่ต้อง เพราะแพทย์ทุกคนสามารถออกใบนี้ได้ และเราไปอบรมเพื่อให้ความรู้แน่นขึ้น เคยออกให้คนไข้ที่บ้านมาก่อน จึงช่วยกันง่ายขึ้น ยังช่วยในเรื่องสิทธิอื่นอย่างสิทธิประกันสังคม ได้ไปแนะนำ ทำให้คุณภาพชีวิตเขาดีขึ้น

คุณเดี่ยว: หลายครั้งมีคนป่วยนอนติดเตียงแล้วสายท่อส่งอาหารหลุด เรียกเอกชนวิ่งมาก็คิดสองพัน ค่าใส่ก็ห้าร้อย การที่เขาโทรมาหาเราแล้วมีคุณหมอสามารถใส่ให้ได้เลยโดยไม่ต้องเคลื่อนย้าย สะดวกต่อคนป่วยอย่างมาก คุณหมอห่างกับผมเก้าปี แต่เราไปด้วยกันได้ เรียกว่าศีลเสมอกัน ความคิดไม่สวนทางกัน สละเวลาให้คนอื่นได้เหมือนกัน สละทรัพย์สินเพื่อประโยชน์หรือบรรเทาทุกข์เพื่อคนอื่นได้ ไม่เกิดความขัดแย้ง ถ้าไม่เข้าใจกันอาจทำให้เกิดการหย่าร้างกัน เหมือนอย่างอดีตที่ผมเคยผ่านมา

 

จังหวะที่จะก้าวไปด้วยกัน

คุณเดี่ยว: พอคุณหมออาสาเข้ามามีส่วนร่วมในการทำดี ออกเอกสารรับรองให้ผู้ป่วยยื่นสิทธิต่างๆ คลุกคลีกันได้ระยะหนึ่งก็ชวนจดทะเบียนสมรสกันเลย (หัวเราะ) แต่ก่อนผมต้องไปรับส่งคุณหมอถึงบ้านทุกวันที่ฉะเชิงเทรา หรือบางวันคุณหมอก็นั่งรถตู้มาเอง เพื่อไปออกเอกสารให้คนป่วย บางวันไปส่งตีสี่ตีห้าก็มี จนตกลงปลงใจ ต่างฝ่ายไม่ใช่เด็กวัยรุ่น ผ่านอะไรมาเยอะ เริ่มผูกพันแล้ว รู้ว่าใช่แล้วละ

หมอจำเนียร: ถ้าคนมองภายนอกจะว่า อุ้ย แท็กซี่กับหมอเหรอ มันไม่แปลกที่จะมองตามค่านิยมของสังคม แต่เรามองความดีในสิ่งที่เขาทำมากกว่า เลือกเขาเพราะตัวเขา มาทำตรงนี้ไม่ได้มีสมบัติฐานะดีมาก่อน ได้เงินจากผู้ใจบุญให้มาเป็นสะพานบุญ ตัวเราเมื่อก่อนรับเงินต่อเดือนหลักแสน ตอนนี้เหลือแค่หนึ่งส่วนสี่ ลูกเรียนเกือบจบแล้ว สามารถส่งได้ ไม่มีภาระอะไรมาก ไม่มีหนี้สิน เลยอยากจะแบ่งปัน

 

เมื่อเอ่ยถึงคู่ชีวิต

เมื่อให้เอ่ยถึงความประทับใจภรรยาคนนี้ คุณเดี่ยวที่พูดจาฉาดฉานมาตลอดกลับแสดงอาการขัดเขิน และยิ้มอายๆ แต่ยอมเอ่ยตรงๆ ต่อหน้าหมอจำเนียรที่แอบอมยิ้มรอฟังอยู่

คุณเดี่ยว: เพราะความมีจิตเมตตาแบ่งปันและคิดเหมือนกัน ทำเพื่อผู้อื่นได้โดยไม่ขัดแย้งกัน ชีวิตผมไม่นึกว่าจะเจอคนแบบนี้ ตอนแปะสติกเกอร์ข้างรถที่บอกว่าส่งฟรีก็เคยถูกคนอื่นคัดค้านมาโดยตลอด บอกให้ลอกออก แม้แต่ที่เกี่ยวกับคนพิการก็ถูกสั่งให้ลอกออก เมื่อได้เจอผู้หญิงที่ไม่ขัดแย้งแล้วยังส่งเสริมสนับสนุน มันยิ่งกว่าคำว่าใช่ เมื่อก่อนเราจะรักใคร ต้องคำนึงถึงรูปร่างหน้าตา แต่วันนี้คำนึงถึงความดีเพียงอย่างเดียว มีศีลธรรม มีจิตเมตตาเอื้อเฟื้อ กลายเป็นความรักที่ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลังก็ไว้วางใจกันได้ เกิดความผูกพัน 

หมอจำเนียร: เห็นเขาทุ่มเทดูแลคนป่วยออกจากบ้านตีสองตีสาม การดูแลตัวเองเรื่องกินนอนพักผ่อนก็ไม่พอเพียง เราจึงอยากจะไปดูแลเขา (ยิ้ม) เขาดูแลคนอื่น แต่ไม่มีใครดูแลเขาเลย ถ้าเราเลือกเขาแล้วต้องปรับตัวเข้าหากัน อย่างตัวเราจะเป็นคนทำตามแบบแผน แต่เขาบางทีเปลี่ยนแผนไปเรื่อยๆ ทำให้คิดได้ว่าเราจะตึงมากไปก็ไม่ดี หย่อนบ้างก็ได้ ถ้ามันผิดแผนก็ไม่เป็นไร เดี๋ยวไปทำแบบนี้แทน เราเลยตกลงกันคร่าวๆ เอามาผสมผสานกัน

คุณเดี่ยว: แต่ก่อนผมอุ้มคนป่วยไม่มีพัก แผลกดทับเต็มตัว เลือดเลอะเต็มเสื้อเต็มรถเลย ใช้แอลกอฮอล์เช็ดล้างรถแทน ผมดูผอมมาก กินข้าวมื้อเดียวเพราะติดพันในการอุ้มคนป่วย บางทีหาที่จอดรถไม่ได้ เพราะกลัวจะไปอุ้มไม่ทัน จึงกินไม่เป็นเวลา ไปกินทีเดียวเย็นเลย พอได้คบหากับคุณหมอ ผมก็เริ่มหันมาดูแลตัวเองทำ กายภาพบำบัดเพราะหลังผมตึงแข็งมาก การอุ้มคนป่วยหลายๆชั้นลงบันไดมานานหรืออุ้มไกลๆ ทำให้หลังเกร็งจนปวด

 

ความผูกพันที่เพิ่มพูน

คุณเดี่ยว: ตั้งแต่อยู่ด้วยกัน คุณหมอดูแลทุกอย่าง ผมไม่เคยต้องซักผ้าเอง คุณหมอทำให้หมด แม้กระทั่งถุงเท้าคุณหมอก็ใส่ให้ บอกว่าอย่าก้มมาก เดี๋ยวเจ็บหลัง (ยิ้ม) ดูแลผมเหมือนเมียทั่วไป โดยไม่ได้คิดว่าต้องมาบริการเอาใจอะไร ทำอย่างนี้ทุกวัน ผมเป็นเด็กกำพร้า มารู้จักพ่อตอนอายุสิบสามสิบสี่ พ่อมีเมียมีลูกเยอะ ปัญหาครอบครัวสารพัด สมัยก่อนผมยังเจ้าชู้บ้าง แต่พอเชื่อเรื่องบาปบุญ คำสาปแช่งคน กลัวทำให้ต้องเกิดทุกข์ บาปกรรมนะ กลายเป็นว่าผมไปไหนหมอไม่ต้องกังวล ผมไม่มีเรื่องเจ้าชู้แน่นอน แต่ส่วนใหญ่เราสองคนไปไหนก็ไปด้วยกันตลอด ไม่เคยห่างกัน

หมอจำเนียร: ชีวิตคู่อยากให้เห็นคุณค่าในทุกวันที่ได้อยู่ด้วยกัน สิ่งที่ทำให้ทุกวัน เช่นบีบยาสีฟันใส่แปรงให้ทุกเช้า หากพอวันหนึ่งถือแปรงแล้วไม่มียาสีฟัน จะรู้สึกว่าทำไมมันขาดหายไป อยากให้เห็นคุณค่าของทุกวันในตรงนี้ อย่างเขาขับรถเราก็นั่งเพลิน ฉุกคิดได้ว่า การที่เขาขับรถแบบนี้คือเขารับผิดชอบทั้งชีวิตเราสองคน ต้องคอยมองสังเกตต่างๆ รับผิดชอบตลอดการเดินทางเลยนะ ดังนั้นจึงเป็นสิ่งปกติที่วิเศษที่สุดที่เราได้รับอยู่ทุกวัน ตื่นเช้ามาแค่ได้เห็นเขาอยู่กับเราก็ยิ่งกว่าถูกล็อตเตอรี่ ลองตื่นมาไม่เจอเขาแล้ว ไม่สามารถเรียกเขากลับคืนได้อีก คงไม่อยากให้ถึงวันนั้น

คุณเดี่ยว: ชีวิตคู่เหมือนลิ้นกับฟัน ไม่ราบรื่นตลอดหรอก ผมพูดกับคุณหมอเสมอว่า ถ้ามีเรื่องอะไรติดใจหรือมีอะไรที่ผิดพลาด จนรู้สึกอึดอัดใจ ไม่สบายใจ อย่าเก็บไว้ เดี๋ยวมันจะระเบิด ไม่ชอบสิ่งไหนให้พูดออกมา คุยกันตรงไปตรงมาโดยที่ไม่ต้องเก็บความน้อยเนื้อต่ำใจไว้ คนเราถ้าเกิดทิฐิเมื่อไร-พัง ให้นึกถึงความดีของเขา ถ้ามองในแง่ลบเมื่อไรก็รบกันได้ตลอด ถ้ามองในแง่บวกก็ให้อภัยเมตตาต่อกันได้ การใช้ชีวิตคู่ต้องเริ่มด้วยคำสุภาพ ถ้าใช้คำหยาบใส่กันมากเข้า วันหนึ่งก็ต้องแตกหัก

 

สิ่งที่อยากพูดถึงกัน

คุณเดี่ยว: จริงๆ ทุกวันเราพูดกันอยู่เสมอว่า ใช้ชีวิตเหมือนวันสุดท้ายนะ วันนี้นั่งคุยกัน วันหน้าอาจนอนป่วยติดเตียง ชีวิตมันไม่แน่นอน อาจต้องตายจากกัน แต่บอกกันเสมอว่าอย่าเสียใจกับสิ่งที่ทำไป อย่าร้องไห้ฟูมฟาย ทุกคนที่ได้ไปอุ้มเขาที่ตายจากกันไป ท้ายสุดติดตัวแค่บาปบุญ ให้นึกถึงความดีในสิ่งที่ทำ ผมบอกคุณหมอไว้ว่าถ้าวันเผาศพผม ให้เปิดคลิปที่ได้ไปช่วยคนก็พอแล้ว เปิดให้คนมางานดู ไม่ต้องตั้งไว้หลายวัน ต้องขอบคุณที่มาร่วมใช้ชีวิตกัน ขอบคุณที่ต่างฝ่ายต่างมีประสบการณ์มาก่อน ทำให้คิดถึงความรู้สึกของกันและกัน ผมที่ดูแลแต่คนอื่นๆ โชคดีมากๆที่คุณหมอมาดูแลผม ในชีวิตผมไม่เคยซื้อหวย ไม่เคยถูกรางวัลใหญ่ที่ไหน แต่รู้สึกว่าวันนี้ผมเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่งกับการที่ได้คุณหมอมาเป็นภรรยา (ยิ้ม) เป็นความโชคดีมากๆ จริงๆ

หมอจำเนียร: คิดว่าตัดสินใจถูกแล้วจริงๆ ไม่เคยคิดว่าจะมาเจอคนแบบเขา อาจมีคนเดียวในโลกก็ได้ (หัวเราะ) ความชอบของแต่ละคู่อาจต่างกัน แต่ตัวเขาคือดีที่สุดในโลกสำหรับเรา ถ้าไม่ได้เจอเขา เราคงยังนั่งตรวจคนไข้ไปวันๆ ไม่มีโอกาสได้เข้าไปช่วยคนหลากหลายแบบนี้ ไม่มีทางได้เข้าไปพระที่นั่งสวนอัมพรได้รับกระแสคำชมเชยจากในหลวง เพราะความดีของเขา ชีวิตห้าสิบกว่าของเราได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้เห็น ได้มาเจอ ได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น คอยช่วยเหลือคน กลายเป็นสนุกทุกวัน (ยิ้ม)

 

สิ่งที่ใช้สู้กับปัญหา

คุณเดี่ยว: ผมเคยโดนต่อต้านอย่างแรงจากหลายๆ ฝ่าย ทั้งชาวบ้านหรือญาติๆ แม้แต่งานศพก็ไม่ยอมมานั่งใกล้ผม รับไม่ได้กับสิ่งที่ผมทำ จนวันหนึ่งเมื่อเขาเข้าใจ ค่อยยอมรับสิ่งที่ผมทำมากขึ้น เมื่อก่อนเคยบวชเณร เอาหลักธรรมะมาใช้กับชีวิต สิ่งที่ผมทำวันนี้อาจมีคนกดถูกใจหลายหมื่นหลายแสน อีกวันหนึ่งอาจมีแค่สี่ห้าคน แต่ไม่เป็นไร อย่าไปยึดติดกับชื่อเสียง ไม่ว่าทางดีหรือไม่ดีก็ตาม สิ่งที่ผมทำ คือทำให้มันเป็นปกติซ้ำๆ ซากๆ ทุกวัน จนสุดท้ายคนก็ไม่รู้จะวิจารณ์อะไร

หมอจำเนียร: คนอื่นจะพูดอะไรก็พูดไป ให้มั่นใจในสิ่งที่เราเลือก เราเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าคนที่เข้าใจก็จะเคารพการตัดสินใจของเรา ถ้าเรามั่นใจในสิ่งที่เลือกแล้ว มุ่งมั่นศรัทธา ไม่ต้องสนใจว่าใครพูดอะไร ต้องผ่านช่วงเวลานั้นให้ได้ ไม่มีใครเห็นด้วยกับสิ่งที่เราทำทุกอย่างหรอก (ยิ้ม) น่าแปลกที่คนในโซเชียลกลับไม่มีคำตำหนิด่าว่ารุนแรงในเรื่องนี้ หนังสือเอย สื่อเอยก็ช่วยการันตีในตัวพี่เดี่ยว เป็นกำลังใจให้ด้วย

คุณเดี่ยว: เวลาเรามอบของให้คนป่วยก็ให้เขาขอบคุณเป็นคลิปวิดีโอ หรือเป็นภาพ ส่งต่อให้แก่ผู้ให้มา เงินที่บริจาคมาแม้แต่สลึงเดียวผมก็ไม่เอา นอกจากเขาจะบอกว่าให้เก็บไว้ใช้เองเท่านี้นะ ถึงจะรับ แต่ถ้าให้มาเพื่อซื้อสิ่งใดสิ่งหนึ่งจะต้องมีหลักฐานใบเสร็จชัดเจนว่าได้รับจริงๆ สร้างความเชื่อถือและให้เขาสบายใจ เวลาที่คนป่วยได้รับ พวกเขาดีใจมาก ขอบคุณคนที่ให้มา คนป่วยเอ่ยชื่อนามสกุลคนที่ให้มาได้เลย พวกผมแค่เป็นสะพานบุญเท่านั้น ถ้าวันไหนผมไม่มีกินจริงๆ ก็วิ่งกดมิเตอร์เหมือนแต่ก่อน แล้วเอาเวลาที่เหลือช่วยคนไปด้วย ถ้าวันหนึ่งเกิดอะไรจะไม่เสียใจว่าทำไมตอนร่างกายแข็งแรงถึงยังไม่ทำ

ดังเช่นสำนวน “ปิดทองหลังพระ” ทุกวันนี้ทั้งสองยังช่วยกันทำความดีโยไม่ใส่ใจว่าใครจะรับรู้หรือไม่ไปเรื่อยๆ และใช้การกระทำเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างแท้จริง จนละลายทิฐิของคนรอบข้างได้อย่างหมดสิ้น

 

สะพานบุญที่ทอดยาวไปเรื่อยๆ

คุณเดี่ยว: บางคนอายในการทำความดี แต่พอเห็นเราทำอย่างสม่ำเสมอก็อยากทำบ้าง การทำความดีไม่ต้องรอพร้อม หรือรวยก่อน แต่ทำในขณะที่สุขภาพดี ใจมีความสุข บางครั้งช่วยคนลากรถไปเปลี่ยนยางล้อ เขาควักเงินให้เป็นพัน ผมไม่รับ แต่ขอเขาว่าวันนี้ผมช่วยคุณ วันหน้าถ้าคุณเจอเหตุอะไรขอให้ช่วยคนอื่นแทน แล้วเราจะได้คนดีอีกคนเพิ่มขึ้น ผมเคยเจอบ้านที่คุณยายนอนติดเตียง เข้าห้องน้ำบนเตียง แขวนถุงปัสสาวะอุจจาระ หลานก็ทำความสะอาดให้หมดไม่มีรังเกียจใดๆ บอกว่าหนูรักยาย ถ้าไม่มียายก็ไม่มีแม่หนู อยากช่วยยาย บางครอบครัวมีการรังเกียจ แต่พอผมเข้าไปช่วยบ่อยๆ เขาก็เริ่มเข้ามาช่วยเพราะเห็นว่าเราเป็นคนนอกยังไม่รังเกียจ แต่เขาเป็นญาติทำไมจะทำไม่ได้ การช่วยกันดูแลทำให้คนป่วยมีกำลังใจมากขึ้น บางคนกลับมาลุกนั่งเองได้ หรือเดินได้ก็มี

หมอจำเนียร: บางคนคิดว่าจิตอาสาต้องมีเวลา ฉันไม่มีเวลาหรอก จริงๆ ไม่ใช่ แค่เห็นคนจะข้ามถนน คุณก็จอดให้ข้าม หรือเห็นอะไรรอบตัวที่ช่วยใครได้ ก็สามารถทำได้ทุกเวลา ไม่ต้องใช้เงินก็ได้ เอาที่ใกล้ตัวเรา เราทำได้โดยที่ไม่เดือดร้อน เป็นการช่วยเหลือกัน ส่งต่อการทำบุญ ทุกวันนี้พี่เดี่ยวได้มีโอกาสเป็นวิทยากร ให้ทหารตำรวจทุกหน่วยงาน เพื่อเป็นแม่พิมพ์ให้จิตอาสาทั่วประเทศ ตัวเขาจบแค่ป.สี่แต่ไปเป็นวิทยากรให้ระดับนายพลนายพัน คนสี่ห้าร้อยคนไม่ประหม่าเลย (ยิ้ม)

คุณเดี่ยว: ผมแค่พูดในสิ่งที่ผมทำมายี่สิบกว่าปี พูดประสบการณ์ชีวิตที่ทำมา สร้างแรงบันดาลใจหรือจูงใจให้เขาอยากจะทำความดีตอบแทนคุณแผ่นดิน ตัวผมพูดอยู่เสมอว่า ให้รักษาความสุจริตเท่ากับชีวิตของตัวเอง ถ้าเราทำได้ คนจะศรัทธา เมื่อเราทำสิ่งใด คนก็จะเข้ามาช่วยเหลือ เราจะไม่เอาบุญนั้นเป็นของตัวเอง เราเป็นสะพานบุญส่งต่อกัน.

 

HUG Magazine ปีที่ 11 ฉบับที่ 5

คอลัมน์ ‘รักไม่รู้จบ’

เรื่อง: มาศวดี ถนอมพงษ์พันธ์

ภาพ: อนุชา ศรีกรการ, นฤเบศร์ เทียนมณี

" วันนี้ผมเหมือนถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง การที่ได้คุณหมอมาเป็นภรรยา

เป็นความโชคดีมากจริงๆ. "

— สุวรรณฉัตร พรหมชาติ


เมื่อโลกมันเครียดต้องเรียนรู้โรคเครียด

     ใครๆ ก็รู้จักความเครียด แต่วิธีขจัดมันนั้น มีน้อยคนที่จะรู้ ยิ่งในสถานการณ์ที่ความเครียดทางสังคมสูงขึ้นจนน่าหวั่นใจว่าคนไทยจะสู้ไหวไหม เราจึงได้นัดสนทนากับ รองศาสตราจารย์ แพทย์หญิงวินิจทรา นวลละออ จิตแพทย์ทางด้านจิตเวชผู้ใหญ่ เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการรับมือโรคนี้ อย่าเพิ่งยอมแพ้กันละ

 

การรับมือความเครียดที่ไม่อาจเลี่ยง

“ความเครียดมีสองแบบค่ะ จากตัวกระตุ้นหรือตัวเรา บางคนอ่อนไหวกับสิ่งกระตุ้น ขอย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อความเสียใจของคนไข้อย่างมาก คือการสวรรคตของรัชกาลที่ 9 มีผู้ป่วยหลายคนเข้ามารับการรักษา ว่าจิตใจห่อเหี่ยว เศร้ามาก แล้วข่าวออกทุกวัน มีพระราชกรณียกิจเก่าๆ มาให้เห็น ความเศร้าเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถ้าเสพมากไปก็ยิ่งเศร้าหนักขึ้น ต้องรู้ตัว และเสพให้น้อยลง เปลี่ยนไปดูข่าวที่สดชื่นบ้าง ผู้รายงานข่าวก็ควรนำเสนอข่าวด้านบวก ส่วนความเครียดจากตัวเรา ต้องรู้ตัวว่ามีความเครียดมากน้อยแค่ไหน สื่อแบบเดียวกัน บางคนไม่รู้สึกอะไร แต่บางคนอ่อนไหวมาก จึงต้องสังเกตตัวเอง ถ้าดูแล้วใจคอห่อเหี่ยว อึดอัด วิธีง่ายสุดคือปิดช่องทางเสพ และกำหนดลมหายใจเข้าออก เข้าลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ หลับตาแล้วจินตนาการถึงภาพที่สวยงามจะทำให้ร่างกายสงบลงได้

“บางครั้งคนที่เครียดมากมักกันตัวเองอยู่คนเดียว จัดการด้วยตัวคนเดียว ซึ่งไม่ดีนัก เพราะจะจมอยู่กับความเศร้าหรือความเครียด ควรสื่อหรือเชื่อมสัมพันธ์กับสิ่งที่ทำให้มีความสุข เช่น โทร.หาคนในครอบครัวหรือคนที่รัก พูดคุยทั่วไปก็ได้ ให้รู้สึกว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลก ถ้าไม่รู้จะโทร.หาใครอาจไปทำงานอดิเรกที่ชอบก็ได้ค่ะ การเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งที่เครียดไปสู่สิ่งที่สนใจ ทำให้จิตใจดีขึ้น

“การพยายามหลีกเลี่ยงด้วยการปิดหูปิดตาไม่รับข่าวสาร เป็นวิธีที่ไม่เหมาะกับโลกความเป็นจริง ต้องรู้ข่าวสารบ้าง เพราะงั้นเลือกเสพอย่างมีสติจึงดีที่สุด”

 

สังคมเครียดขึ้น หรือเพราะสื่อมีให้เสพมากขึ้น

“คนยุคใหม่เครียดขึ้นจริงๆ สมัยก่อนสื่อน้อย คนจึงเครียดจากการไม่รู้อะไรเลย ปัจจุบันรู้ทุกเรื่องก็เครียดเพราะข้อมูลมากเกินไป โฆษณาสมัยก่อนให้ความสำคัญแก่คนทำงานหนัก ภาคภูมิใจในการดูแลครอบครัว แต่โฆษณายุคนี้จะให้ออกไปใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ต้องทำงานที่รักจนเหมือนไม่ได้ทำงาน สิ่งที่อยากทำเท่านั้นจึงจะทำ ค่านิยมเปลี่ยน ทำให้เครียดมากขึ้น คนรุ่นเก่าใช้ชีวิตปลงได้ อยู่ได้แม้ไม่ชอบงาน เพราะคุณค่าชีวิตคือการได้ดูแลครอบครัว ต่างจากวัยรุ่นที่ถูกสื่อนำเสนอ เมื่อก่อนดูดาราแต่ในทีวี เดี๋ยวนี้เห็นทางสื่อโซเชียล เห็นวิถีชีวิตดาราที่ดูมีความสุข เข้าใจว่านั่นคือความสุขเลยแสวงหาตาม พอทำไม่ได้เลยเครียด

“คนรุ่นใหม่เข้าใจว่าความหมายของชีวิตคือมีเงินเดือนสูงๆ ได้เที่ยวที่ที่อยากไป แต่เงินเดือนสูงจริงก็ไม่เห็นสุขเลย หรือเที่ยวสนุกตอนไป พอกลับมารู้สึกว่างเปล่า มีความสุขที่ได้กิน ได้เที่ยว แล้วจบแค่นั้น เพราะหาความหมายของชีวิตไม่เจอ เห็นคนอื่นทำแล้วมีความสุข ทั้งที่จริงแล้วไม่ได้อยากกินของแบบนั้น หรือไม่ได้อยากมีกระเป๋าแบบที่ดาราโชว์ แค่อยากมีความสุขเท่านั้นเลยทำตาม ค่านิยมแบบนี้มีมานานแล้ว เพียงแต่สมัยก่อนไม่มีสื่อโซเชียลให้คนมาอวดกันว่าฉันมีความสุขจากอะไร เรื่องคุณค่าชีวิตต้องใช้เวลาค้นหาด้วยตัวเอง แต่ไม่ควรจะหานานนัก”

 

เมื่อปัญหาเศรษฐกิจเริ่มบีบคั้นสังคมครอบครัวมากขึ้น ผู้ใหญ่ควรพูดอย่างไรกับเด็กๆ

“หมอเชื่อว่าพ่อแม่ไม่อยากผลักภาระนี้ให้ลูก ไม่อยากให้ลูกลำบาก แต่ตอนนี้กิจการปิดไปหลายอย่าง พ่อแม่ต้องออกจากงาน บางคนขาดรายได้ ก็ควรบอกลูกอย่างตรงไปตรงมา มีทั้งแบบเหตุผลและแบบอารมณ์ แบบอารมณ์นั้นไม่ควรทำ เช่น พ่อแม่ก็ลำบาก ทำไมหนูเป็นแบบนี้ ซึ่งไม่ควรพูด เพราะเด็กไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรให้พ่อแม่ลำบาก เขาใช้ชีวิตตามปกติอย่างที่ผ่านมา ควรบอกด้วยเหตุผล เช่น ตอนนี้พ่อต้องหยุดงาน ขาดรายได้ เพราะงั้นอะไรไม่จำเป็นเราช่วยกันประหยัดนะ พอกลับไปมีเงินเท่าเดิม เราก็จะกลับสู่ชีวิตปกติ ไม่ต้องกังวล”

 

วิธีประคองครอบครัวให้รอดในสังคมอุดมความเครียดนี้

“ต้องให้อภัยกันค่ะ เวลาเครียดทุกคนจะมีปฏิกริยาโดยอัตโนมัติ คือเริ่มโทษว่าเป็นความผิดของใคร เราจะโกรธ โทษคนนั้นคนนี้ บางทีโทษใครไม่ได้ก็โทษครอบครัว ว่าเป็นเพราะเธอไม่เข้าใจฉัน ไม่รับฟังฉัน ฉันเลยเครียด เป็นเพราะลูกไม่ทำตัวให้ดี พ่อเลยเครียด ต้องให้อภัยกันก่อน ความเครียดไม่ได้เป็นความผิดของใคร มันเกิดตามธรรมชาติ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง อย่าเพิ่งทะเลาะกันจนบ้านแตก บางครอบครัวที่เข้าใจกันจะไม่มีความเครียด แต่ถ้าไม่เข้าใจ กล่าวโทษกัน ก็ไปต่อไม่ได้”

สังคมไทยกำลังขาดอะไร

“ใกล้ตัวที่สุดในตอนนี้คือสติค่ะ ทุกคนดูตกใจมากเลย ข่าวมาทางไหนรับทุกด้าน ไม่กลั่นกรองก่อน อยากให้ติดตามข่าวอย่างมีสติ อยู่กับปัจจุบัน ดูว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ตามข่าววันละครั้งพอ ไม่ต้องดูทุกชั่วโมง เปิดทุกช่องทาง เอาแค่ทางเดียวที่น่าเชื่อถือ”

 

จะขจัดความเครียดได้อย่างไร

“ความเครียดทำให้นอนไม่หลับ หลับๆตื่นๆ กลายเป็นวงจร เครียด นอนไม่หลับ วันรุ่งขึ้นอารมณ์ไม่ดี จะเครียด แล้วนอนไม่หลับอีก ก่อนนอนให้เจริญสติ นั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ สาเหตุที่นอนไม่หลับเกิดจากความฟุ้งซ่าน เรายังหมกมุ่นอยู่กับความคิดตอนกลางวัน และให้หลีกจากจอที่มีแสงทุกอย่าง ไม่ว่าจะคอมฯ หรือโทรศัพท์มือถือ เลิกเล่นประมาณ1 ชั่วโมงก่อนเข้านอน เพราะแสงจะหลอกสมองว่ายังกลางวันอยู่ อ่านหนังสือ ผ่อนคลาย เล่นโยคะยืดเหยียดสบายๆ ดนตรีบำบัดคลายเครียดก็มีค่ะ มีหลายวิธีที่ดูแลตัวเองเบื้องต้น

“ถ้าไม่ได้จริงๆ ต้องขอความช่วยเหลือ ไม่ใช่ว่าเราไม่เก่ง คนเรามักมีวิธีจัดการปัญหาแบบเดียว และคิดว่าใช้กับทุกปัญหาได้หมด แต่พอไม่ได้ผล ก็คิดว่ายังพยายามไม่มากพอ แล้วใช้วิธีเดิมไปเรื่อยๆ ดังนั้นแก้ด้วยตัวเองไม่ได้ ให้คุยกับคนอื่น เขาจะมีวิธีการแก้อีกแบบหนึ่ง ลองรับฟังวิธีการของเขาบ้าง”

 

     เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้ ลองทำตามดูสักนิด ลดละเลิกวางความเครียด เพื่อให้โลกของเรายังคงสดใสได้ต่อไป อย่าให้โรคร้ายมาทำร้ายโลกของเรา.

 

HUG Magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 5

คอลัมน์ ‘แขกรับเชิญ’

"เวลาเครียดทุกคนจะมีปฏิกริยาโดยอัตโนมัติ คือเริ่มโทษว่าเป็นความผิดของใคร บางทีโทษใครไม่ได้ก็โทษครอบครัว ความเครียดไม่ได้เป็นความผิดของใคร มันเกิดตามธรรมชาติ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง"

 -พญ.วินิทรา นวลละออง-


ดูดีแบบคนดัง 'เฟิร์น-เกษรา วัฒนสังข์'

 

     เจ้าเชื้อโควิด-19 นั้นคงอยู่กับการใช้ชีวิตประจำวันของเราไปสักระยะ สาวๆ ต้องอดทนกันต่อไป อย่าลืมดูแลสุขภาพและความสวย อย่าหยุดสวยค่ะ หมั่นเติมความสุขให้ตัวเองด้วยเรื่องง่ายๆ ใกล้ตัว เหมือนกับสาวสวยคนนี้ที่มีวิธีดูแลตัวเองมาฝาก.

 

ผลงานละครในปีนี้

     ปีนี้มีละครเรื่อง จากศัตรูสู่หัวใจ อีกเรื่อง เจาะเวลาหาผู้ใหญ่ ของ พี่เติ้ล-ตะวัน สองเรื่องนี้เรารับบทบาทที่แตกต่างกันมาก เรื่องแรกเล่นเป็นตัวละครที่ฉลาด ช่างคิด แอบร้ายนิดๆ เป็นเรื่องราวในยุคปัจจุบัน ส่วนเรื่องที่สองได้รับบทเป็นเด็กแก่นๆ เป็นคนที่คอยติดตามแม่ เป็นเรื่องราวในอดีตจึงมีการใช้คำที่ค่อนข้างยาก

 

ทริคบำรุงผิว

     เรื่องผิวพรรณเราต้องทาครีมกันแดด ไม่ว่าจะออกแดดหรือไม่ก็ตาม แดดเมืองไทยต่อให้อยู่ที่ไหนก็แรง และทาเจลว่านหางจรเข้ เพื่อช่วยฟื้นฟูผิว ทุกคนควรดูแลผิวหน้าให้สะอาด ถึงจะไม่ได้แต่งหน้าแต่เราทาครีมกันแดด ก็ต้องหมั่นล้างทำความสะอาด ยิ่งช่วงนี้อากาศร้อน การทาครีมยังช่วยป้องกันมะเร็ง สิว ฝ้า แม้ไม่ได้ออกไปข้างนอกก็ต้องทาครีมบำรุงค่ะ ก่อนออกจากบ้านต้องพกเจลแอลกออฮอล์ และสวมหน้ากากด้วยค่ะ

 

ทุกปัญหามีไว้แก้ไข

     เฟิร์นเคยอ่านบทความหนึ่งของคุณนิ้ง-ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ นักแสดงซีรี่ส์เรื่องเคว้งและเดทไลน์ ว่า เมื่อเจอปัญหา เราไม่จำเป็นต้องหนีปัญหา อยู่กับมันแล้วค่อยคิดว่าพรุ่งนี้จะทำยังไงให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่ต้องจมอยู่กับปัญหามากจนเกินไป คุณนิ้งทำให้เฟิร์นรู้สึกว่า การมีปัญหาทำให้เราได้ใช้ชีวิตในการแก้ไข หาวิธีที่ทำให้พรุ่งนี้เราเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม เราไม่จำเป็นต้องจมอยู่กับปัญหา และไม่ต้องหาทางหนี เมื่อเจอปัญหาก็แก้ไขเพื่อให้เราเป็นคนที่ดีขึ้น

Stop Bully

     บางคนคิดว่าการแกล้งหรือหยอกล้อผู้อื่นนั้นเป็นเรื่องสนุก ตัวเราอาจสนุกแต่คนที่ถูกกระทำนั้นไม่สนุก เฟิร์นเคยถูกพูดถึงด้วยถ้อยคำที่ไม่ดีหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ไม่เห็นสวยเลย แค่คำนี้เราก็เก็บมาคิดแล้ว ทำให้ก่อนออกจากบ้านคิดเสมอว่า สวยหรือยัง กลายเป็นว่าเราใส่ใจคำพูดคนอื่นมากไป อยากให้ทุกคนคิดสักนิด เพราะคำพูดอาจเป็นอาวุธที่ทำร้ายจิตใจใครต่อใครได้ ควรคิดก่อนพูด อย่าตัดสินคนอื่นด้วยคำพูดของเรา มุมมองความสวยของแต่ละคนไม่เท่ากัน อย่าวิจารณ์ว่า ทำไมเธอไม่แต่งแบบนี้ ทำไมเธอมีผิวแบบนี้ อย่าไปจำกัดค่าของความสวยดีกว่าค่ะ

     เฟิร์นขอเป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนที่โดนคำพูดไม่ดี อย่าจมปลักกับคำพูดของคนที่มาตัดสินตัวเรา ใส่ใจในสิ่งที่ชอบดีกว่า ใช้ชีวิตให้มีความสุข อย่าใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้นเพราะมันไม่มีคุณค่าต่อเรา ทำทุกวันให้ดีที่สุดค่ะ.

Fern’s Tip

     ช่วงนี้หลายคนเกิดความเครียด เฟิร์นอยากบอกว่า เราเครียดกับปัญหาได้แต่อย่าลืมดูแลตัวเองให้แข็งแรง เพราะสุดท้ายแล้วเราก็ต้องเผชิญกับปัญหานั้นค่ะ.

 

คอลัมน์ 'ดูดีคนดัง'

เรื่อง: พี

ภาพประกอบ: @ferngatesara1a


ยาคุมกำเนิดเพศชายได้ผลจริงหรือ?

ยาคุมกำเนิดเพศชายได้ผลจริงหรือ?

สวัสดีครับคุณหมอชัญวลี

ผมอยากขอความรู้เกี่ยวกับยาคุมกำเนิดสำหรับผู้ชายครับ ผมเคยอ่านเจอในข่าวเมื่อปีที่แล้ว อยากทราบถึงผลข้างเคียงและรายละเอียดอื่นๆ ครับ ขอบคุณมากครับ.


 

  • การคุมกำเนิดแบ่งเป็น ชนิดชั่วคราว และชนิดถาวร 
  • ประเทศไทยเช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ที่การคุมกำเนิดล้วนเป็นความรับผิดชอบของฝ่ายหญิง ไม่ว่าจะเป็นชนิดชั่วคราวหรือถาวร จึงเป็นความใฝ่ฝันของผู้หญิงทั่วโลกที่จะให้ฝ่ายชายรับผิดชอบคุมกำเนิด เป็นไปตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 27 ว่า บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน ชายและหญิงมีสิทธิเท่าเทียมกัน ฯลฯ
  • ที่ผ่านมาการคุมกำเนิดชั่วคราว ร้อยละ 75-80 อยู่ในมือฝ่ายหญิงซึ่งเป็นการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพมากกว่าร้อยละ 90 ได้แก่ ยาคุมกำเนิดชนิดกิน ชนิดฉีด ชนิดฝัง และการใส่ห่วงอนามัย
  • ส่วนการคุมกำเนิดที่ฝ่ายชายเป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนใหญ่ เป็นการคุมกำเนิดที่เชื่อถือได้ไม่ดี มีประสิทธิภาพร้อยละ 60-80 เท่านั้น เป็นการคุมกำเนิดชั่วคราวแบบดั้งเดิม (Traditional methods) ได้แก่

 

  1. ถุงยางอนามัย นอกจากคุมกำเนิดยังป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ด้วย แม้ถุงยางอนามัยได้รับการออกแบบให้มีลูกเล่นมากมาย เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ เช่น มีหลากสี เรืองแสง บางเฉียบ มีกลิ่น มีรส มีรูปร่างขนาดต่างๆ แต่ยังมีข้อจำกัดในการใช้ ผู้ใช้ส่วนหนึ่งรู้สึกว่าไม่เป็นธรรมชาติ นอกจากนั้นบางรายไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง เช่น ไม่สวมถุงยางอนามัยทันทีเมื่อพร้อม แต่สวมเมื่อจะหลั่งน้ำอสุจิ เป็นต้น
  2. เว้นระยะการมีเพศสัมพันธ์ช่วงไข่ตก ไข่มีอายุอยู่เพียง 24 ชั่วโมง หากไม่มีเพศสัมพันธ์ช่วงนี้ ไข่จะฝ่อหายไป ทำให้ไม่เกิดการปฏิสนธิ ปัญหาคือ นับวันไข่ตกไม่เป็น ใช้สูตรหน้า 7 หลัง 7 โดยถือว่าประจำเดือนมานับเป็นวันที่ 1 แต่บางคนมีเลือดออกช่วงไข่ตก จึงเข้าใจผิดว่าเป็นเลือดประจำเดือน การคุมกำเนิดวิธีนี้จึงอาจท้องได้
  3. หลั่งนอก หลักการคือไม่ให้น้ำอสุจิเข้าไปข้างใน หลังมีเพศสัมพันธ์โดยการสอดใส่ เมื่อจะหลั่งก็ชักออกมาหลั่งข้างนอก ปัญหาคือชักไม่ทัน หรือมีอสุจิปนเปื้อนอยู่ก่อนหลั่งแล้ว

 

 

การคุมกำเนิดชั่วคราวสมัยใหม่ (Modern methods) ได้แก่

  1. ฉีดสารอุดตันท่ออสุจิ (Vas occlusion) ใช้สารโพลีเมอร์ พลาสติก หรือสารอื่นๆ ฉีดผ่านผิวหนังอัณฑะไปอุดตันท่ออสุจิ ประสิทธิภาพไม่เทียบเท่าการทำหมันชาย ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพัฒนา
  2. อบลูกอัณฑะ (Heating) เป็นที่ทราบกันว่า ความร้อนช่วยลดการสร้างและทำลายอสุจิได้ เช่น ชายที่เป็นหมันเพราะลูกอัณฑะไม่ลงถุงอัณฑะ หรือแช่น้ำร้อนเป็นประจำ วิธีนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนพัฒนา แต่อบลูกอัณฑะฟังแล้วอาจน่ากลัวไปหน่อย
  3. ใช้วัคซีนอสุจิ มีการค้นพบมาเป็นเวลานานแล้วว่า ชายที่มีภูมิต้านทานอสุจิมักมีลูกยากหรือเป็นหมัน จึงมีการคิดค้นวัคซีน แต่อาจก่อให้เกิดปฏิกิริยาภูมิแพ้ต่อลูกอัณฑะหรือระบบการสร้างอสุจิ ปัจจุบันวัคซีนอสุจิใช้ในการทดลองกับสัตว์
  4. ใช้สารเคมีที่ไม่ใช่ฮอร์โมน สารเคมีจากพืชหลายชนิด ทำให้มีลูกยากเป็นหมัน เช่น น้ำมันเมล็ดฝ้าย (Gossypol) คื่นช่าย กระเทียม ใบผักชี หรือสารเคมีอื่นๆ ทั้งจากธรรมชาติและการประดิษฐ์ แต่ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ต้องระมัดระวังผลข้างเคียง เช่น เป็นพิษต่อระบบประสาท ตับ ไต เป็นต้น
  5. ฮอร์โมนเพศ วิธีนี้เป็นการคุมกำเนิดชั่วคราวแบบสมัยใหม่ที่ผ่านการวิจัย และจะผลิตเพื่อนำมาใช้เป็นยาคุมกำเนิดในเพศชายต่อไปในอนาคต

ผลการทดลองพบว่า ยาคุมกำเนิดรวมสำหรับเพศชายนี้สามารถคุมกำเนิดได้ร้อยละ 98 ไม่มีผลข้างเคียงเรื่องการขาดฮอร์โมนเพศชาย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงของระดับไขมัน ไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคตับ โรคมะเร็งต่อมลูกหมาก นอกจากในบางรายที่ส่งผลให้ผิวหน้ามัน เป็นสิว หนวดเคราดกเพิ่มขึ้นจากฤทธิ์ของฮอร์โมนเพศชาย นอกจากนั้นหลังจากหยุดฉีดแล้วอสุจิจะกลับมาปกติภายใน 2-3 เดือน

การทดลองนี้ทำอย่างกว้างขวางใน 13 ประเทศทั่วโลกในประชากรชายนับหมื่นคน ทั้งสามีและภรรยาต่างยอมรับและพึงพอใจ ประเทศอินเดียจึงเป็นประเทศแรกที่ประกาศใช้ยาคุมกำเนิดเพศชายฮอร์โมนรวมชนิดฉีด ภายในกลางปี 2563 นี้

 

จาก เรื่อง “ยาคุมกำเนิดเพศชายได้ผลจริงหรือ?”
คอลัมน์ “สุขภาพสุขเพศ”
โดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
Hug magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 5
(15 เม.ย.-14 พ.ค. 2563)


รักที่หัวเราะร่า น้ำตาริน ของ จวบเป็นต่อ

 

รักที่หัวเราะร่า น้ำตาริน ของ จวบเป็นต่อ

แค่เจอหน้าผู้ชายคนนี้ ก็เหมือนได้ยินเสียงเพลงอึกทึก เสียงสรวลเสเฮฮาดังลอยมา กระตุ้นความสนุกสนานตื่นเต้นในใจที่เราจะได้สนทนากับพี่สร้อย สารคาม หรือพี่จวบ แห่งบางบาร์ ในเป็นต่อ ซิตคอมชื่อดัง พร้อมด้วยภรรยาคนสวย พี่ปุ้ย (ชนัดดา อนุเวชทีวงค์) และกำลังใจสุดหล่อหน้าทะเล้น น้องปวิช อนุเวชทีวงค์ ถึงเรื่องจริงของชีวิตรักที่มีทั้งเสียงหัวเราะเคล้าน้ำตา

 

แรกเจอคู่ลิขิต

ทุกอย่างต้องมีที่มาที่ไป พี่สร้อยหัวเราะร่วนทันทีกับคำถามแรกนี้ เพราะไม่ใช่ห้างสรรพสินค้าหรือที่เที่ยวไหน แต่พบกันที่วัด เรานึกทันทีว่าคู่บุญนี่นา พี่สร้อยเป็นศิษย์ก้นกุฏิของพระมหาสมบัติ วัดเขาคูบา ในสระบุรี จึงไปลงแรงช่วยเหลือบ่อย เลยได้เจอกับพี่ปุ้ย ที่เพิ่งเคยไปวัดนี้เป็นครั้งแรก กลุ่มเพื่อนทั้งสองต่างรู้จักกันจึงกลายมาเป็นพ่อสื่อแม่ชัก เราว่าแล้วพรหมลิขิตมีจริง ไม่มีเหตุบังเอิญแน่นอน

     “ตอนนั้นผมกับปุ้ยต่างผิดหวังมาก่อน เคยมีครอบครัวแล้วเลิกราไป เลยเหมือนคุยภาษาเดียวกัน ได้คุยกันเรื่อยมา จากนั้นรถเขาเข้าศูนย์ซ่อม ระหว่างที่ไม่รู้จะเอารถที่ไหนไปทำงาน เผอิญผมมีรถสองคัน ก็เลยให้เอาไปใช้”

เมื่อทั้งคู่ต่างเคยมีครอบครัว มีลูกติดมาคนละหนึ่ง แล้วอะไรที่ทำให้กล้าเปิดใจกันได้ เราถามอย่างสงสัย เพราะเป็นสิ่งที่หลายคนประสบอยู่และอยากรู้คำตอบเช่นกัน

     “พี่สร้อยบอกว่าอย่ามัวแต่คิดถึงอดีต มันผ่านไปแล้ว เอากลับมาไม่ได้ ทำวันข้างหน้าให้ดีกว่าไหม ใช้ชีวิตต่อไป ปุ้ยเคยฟังบรรยายที่เปิดโลกมาก ว่าอย่าจมปลักกับคำว่าเพื่อลูก ต้องถามลูกว่าอยากอยู่ในสภาพนั้นหรือเปล่า ปุ้ยเลยคิดได้ ไม่ต้องแคร์คำว่าเคยมีครอบครัวมาก่อน หรือเคยมีชีวิตล้มเหลว คนที่คบเรา โอเคกับเรา ก็ก้าวต่อไปด้วยกัน พยายามใช้ชีวิตวันต่อไปให้ดีๆ”

     “ผมเจอคนที่ใช่ แล้วยิ่งมีลูก (น้องปวิช) ทำให้ผมเริ่มทุกสิ่งใหม่ ตัดสินใจเด็ดขาด จะทำตัวเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วนะ ไม่ว่าเรื่องเงินทองที่เมื่อก่อนได้มาหมดไป เปลี่ยนรถเป็นว่าเล่น ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว เงินทุกบาทให้ภรรยาเก็บ ทำงานได้เท่าไรไม่รู้ มีหน้าที่ขอจากเขาเท่านั้น ลูกผู้ชายรักเดียวใจเดียวได้นะ อาชีพผมเจอคนมากมาย ใจแตกเยอะ จนมาเจอปุ้ย เลิกหมด คุยเฮฮาได้ แต่ไม่มีเรื่องแบบนั้น”

 

ตลกต้องเจ้าชู้

เราได้ยินมาตลอดว่า ตลกต้องเจ้าชู้ ดั่งเป็นคำสาปที่ตราหน้าอาชีพนี้ ชนวนเหตุเนื่องจากคนรักเก่าของพี่สร้อยติดต่อมาจนพี่ปุ้ยเกิดความระแวง แม้จบไปด้วยดี แต่ปัญหานี้ยังชวนให้แคลงใจไม่หาย เพราะถึงไม่เล่นด้วย ก็มีคนเข้าหาเพื่อหวังสบายทางลัด เพราะถือคติที่ว่า ดารา มีเงิน อายุมาก ครบสูตร อย่างเช่นรายนี้

     “มีผู้หญิงส่งรูปใส่ชุดบิกินี่มาในไลน์พี่สร้อย บอกขอทานเบียร์นะคะ วันนี้เหนื่อยจังค่ะ เราก็คิดแล้วสิว่าต้องรู้จักกันถึงมาขอกันแบบนี้ พี่สร้อยบอกไม่รู้จัก แต่เข้าใจว่าพี่สร้อยโพสต์เบอร์เรื่องงานไว้ วันนั้นเลยไลน์กลับไปถามว่าทำไมต้องขออนุญาตด้วย ผู้หญิงคนนั้นโทรกลับมาบอกสวัสดีค่ะ พี่จวบ อ้อ ไม่ใช่ค่ะ เมียพี่จวบ มีธุระอะไรคะ พอรู้ว่าเป็นเรา ก็อ้างว่าคนชื่อจวบมีตั้งเยอะแยะ แล้วหายไป นั่นแหละ คงคิดว่าผู้ชายวัย50 กำลังอยู่ในวัยเจริญพันธุ์ (ยิ้ม)”

     “ทุกวันนี้ยังมีเข้ามาแต่ผมไม่ยุ่ง บางทีก็น้อยใจที่ไม่เชื่อ สาบานแล้วแท้ๆ (หัวเราะ) เวลาผู้ชายโกหกเชื่อง่ายมาก แต่เวลาพูดความจริงผู้หญิงมักไม่เชื่อ ผมไม่ทำเพราะมันถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แม่ไม่ต้องคิดมากเลย ตอนนี้พ่อมีแม่คนเดียว”

     “เราชอบคิดว่าตัวเองไม่ผิด ทั้งที่เอาอารมณ์หงุดหงิดจากข้างนอกมา กลับมาเจอบ้านเลอะเทอะ ก็ตูม แล้วพาลไปเรื่องอื่น แต่พอได้ยินคำขอโทษก็จบนะ รู้ตัวว่าไม่ถูกต้อง ตอนนี้พยายามแก้ไขตรงนี้ เมื่อก่อนเวลาอารมณ์ขึ้นจะพูดๆ มาตอนนี้เงียบ พูดให้น้อยลง มีที่คุมไม่ได้บ้าง พี่สร้อยก็รู้สึกว่าทำไมเราเงียบ เพราะปกติเป็นคนช่างพูด สิ่งที่ดีของพี่สร้อย ในเวลาที่ปุ้ยโมโหมาก เขาจะบอกลูกว่ามาดูเร็ว แม่เป็นอะไร แม่เป็นยักษ์ไปแล้ว ทำให้เราขำ”

 

ยิ่งวิกฤตยิ่งรักกัน

มรสุมของแต่ละชีวิตคู่ ย่อมแตกต่างกันไป ที่หนักหนาสาหัสถึงกับบ้านแตก ก็มีไม่น้อย บ้านนี้กลางม่านน้ำตา กลับยังหัวเราะร่าน้ำตารินและรักกันมากขึ้นโดยไม่มีคำจำกัดความใด เพราะทั้งคู่ก็ไม่รู้ว่าทำไม

     “ครอบครัวเคยล้ม ถึงขั้นที่คิดว่าไปต่อไม่ได้แล้ว เราทำสกรีนเสื้อขาย โรงเย็บที่ส่งงานเจ๊งปิดตัว เลยเจ๊งตาม ตอนนั้นเพิ่งซื้อบ้าน ก็กู้สินเชื่อได้แล้ว วันหนึ่งรายรับหายไป แต่รายจ่ายยังอยู่ ทำให้เครียดมาก กอดคอร้องไห้กันทุกวัน เป็นช่วงปีที่โดนผลกระทบหลายอย่างด้วย (การสวรรคตของรัชกาลที่ 9) งานพี่สร้อยหายหมด ปุ้ยยังไปทำงานอยู่ หนี้ทุกอย่างเป็นชื่อปุ้ยเอง ทั้งกู้บ้าน สินเชื่อทุกตัว บัตรทุกใบ เราไม่รู้จะยืมใคร มันยากนะ ใครจะกล้าให้ยืม ก็สู้กันเอง ดอกเบี้ยแค่ไหนสู้หมด รถสองคันเข้าไฟแนนซ์”

     “ตอนเจอปัญหา วิธีแรกลดค่าใช้จ่าย ปกติลูกน้องกินอยู่กับเราเลย เงินเดือนต่างหาก ตัดสินใจลดตรงนี้ พอมีงานค่อยโทร.ตาม ถ้างานน้อยก็ทำกันเองสองคน ละครไม่ได้ออนแอร์ยาว อีเว้นท์ไม่ต้องพูดถึง ประจวบกับธุรกิจทรุด หนี้สุมหัว ไม่มีรายรับ มีแต่รายจ่าย มีแค่เงินเดือนปุ้ยคนเดียวที่ใช้เลี้ยงครอบครัว แต่ตอนนั้นผมกับปุ้ยรักกันมากขึ้นกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่มีเหตุผล แค่รักกันตลอดเวลา”

พี่ปุ้ยมองว่าทุกคนเมื่อเจอแบบนี้เครียดกันหมด แต่สิ่งสำคัญคือกำลังใจที่เติมให้กันตลอด อยากอยู่กับเขาเพราะเขาเอาใจเรา เราก็ต้องเอาใจเขาด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเรื่องใหญ่หรือเรื่องเล็กก็ตาม ให้ชีวิตคู่มีความสุข ให้ทั้งสองคนเป็นคนคนเดียวกัน เมื่อถึงวิกฤติแล้วจะผ่านไปได้ด้วยดี ในท่ามกลางมรสุมที่พัดมา ในรั้วบ้านนี้จึงยังมีความรักความอบอุ่นและเป็นกำลังใจให้กันเสมอมา

 

ถึงคนที่กำลังอยากลอง

การนอกใจคือปัญหาหลักของชีวิตคู่ ส่วนใหญ่ จึงขอฝากถึงคนที่กำลังจะทำ ทั้งคนนอกและคนใน

     “รู้ว่าเขามีภรรยาอยู่แล้วยังอยากไปยุ่งด้วย ถูกตราหน้าว่าเป็นมือที่สาม คุณคิดผิดมาก ถ้าเขาเล่นด้วยจนครอบครัวแตกแยก คิดหรือว่าวันข้างหน้าคุณจะไม่โดนแบบนั้นเช่นกัน ขนาดเมียที่แต่งงานด้วยยังเลิกได้ ถ้ามีคนอื่นเข้ามาใหม่จะไม่เลิกกับคุณงั้นรึ คิดให้ดี ผมอาจพูดแรงไปหน่อย แต่มันเป็นเรื่องจริง คนนอกใจไม่ใช่แค่ผู้ชายนะ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงก็เป็น ผู้ชายก็อย่าไปใจอ่อน รักเดียวใจเดียวทำให้ครอบครัวเจริญรุ่งเรือง"

     “ปุ้ยมองว่าถ้าทำถึงขนาดนั้น แสดงว่าไม่ได้รักเราแล้วละ ถ้าคุณคิดจะมีครอบครัว มีลูก ให้หยุดซะ ใช้ชีวิตกับครอบครัวให้มีความสุขในแต่ละวัน คุณก็จะไม่ก้าวไปนอกทาง ไม่ต้องเอาไฟเข้ามา ทุกอย่างเกิดจากพื้นฐานความรักในครอบครัวค่ะ”

 

บอกรักจนถึงวันสุดท้าย

วันนี้อยู่ด้วยกัน พรุ่งนี้ไม่รู้จะได้เจออีกหรือไม่ พี่ปุ้ยจึงมักบอกรักเสมอ อย่างน้อยก็ต้องไม่เสียใจเมื่อสายเกินไป

     “ทุกวันเจอกันถาม พ่อรักแม่ป่ะ แม่รักพ่อนะ รักเหมือนเดิม (ยิ้ม) ตัวปุ้ยเคยผิดหวังจากความรัก อยากได้คนมาดูแลเราบ้าง เวลากลับจากทำงานเหนื่อยๆ มีคนคอยให้กำลังใจ ชีวิตคงจะดีเนอะ พี่สร้อยมาเติมเต็มตรงนั้นพอดี ตอบโจทย์ทุกอย่าง ปุ้ยเป็นคนใจร้อน เขาคอยเป็นน้ำให้เรา ชีวิตต้องการแค่นี้แหละ ผ่านมาเกือบสิบปีก็ยังเป็นแบบนี้อยู่ รักพ่อ รักลูก รักทุกคนในครอบครัว อยากให้เติมความหวานให้กัน ห้ามหมดโปรโมชั่น (หัวเราะ)”

     “ตั้งแต่เริ่มแรกเลย ผมรู้สึกสงสารมากกว่าความรัก ก่อนจะพัฒนามาเป็นความรัก ทุกวันนี้ยังมีนะ บางทีแม่เครียดจากงานมา พ่อสงสารนะ (พี่ปุ้ยน้ำตาคลอ) เวลาเขาโดนหัวหน้าด่า จะโทร.มาระบายให้ผมฟังตลอด สงสารเขา (นิ่งไปนานมาก) ยังไงก็ไม่หมดรักกันแน่นอน ผมรักเขานะ”

     “แม่ก็รักพ่อนะ (หัวเราะทั้งน้ำตา)”

     “คิดว่าเป็นวาสนา ที่คนสองคนจะได้ร่วมหัวจมท้ายกันแบบนี้ มันหายาก ถึงจะสุขปนทุกข์ พ่อก็พยายามทำให้แม่สบายใจในทุกสิ่งอย่าง อันไหนแม่ไม่ชอบ พ่อพยายามละเลิก ไม่ทำ ยังรักแม่คนเดียวเสมอ”

เราได้เห็นพี่สร้อยน้ำตาคลอ รับทิชชู่จากภรรยาและลูกมาซับน้ำตาพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า วันนี้รักของพวกเขาสมบูรณ์แบบแล้วจริงๆ นี่แหละคือการเอาใจเขามาใส่ใจเราที่ดีที่สุด.

 

ข้อคิดจากบ้านสร้อย สารคาม

     “บางคนคิดเรื่องศักดิ์ศรี มีอีโก้ เช่นผู้ชายคิดว่าทำไมต้องตากผ้า ทำไมต้องทำงานบ้าน ให้คิดว่าเป็นคนในครอบครัวช่วยเหลือกัน ไม่ใช่งานใครคนใดคนหนึ่ง ให้เอาใจผัวไปใส่ใจเมีย เมียไปใส่ใจผัว ให้คนสองคนรวมกันเป็นหนึ่ง ชีวิตคู่ไม่มีคู่ไหนราบรื่นตลอดชีวิต มีอุปสรรคเข้ามา แต่ข้ามไปได้โดยการเอาใจเขามาใส่ใจเรา ถ้าโดนเองจะรู้สึกอย่างไร ให้เปรียบเทียบดู ถ้าทำได้ไม่มีทะเลาะกัน รับรองว่ามีความสุข อยู่กันได้ยืดยาว”

 

คอลัมน์ 'รักไม่รู้จบ'

เรื่อง: มาศวดี ถนอมพงษ์พันธ์

ภาพ: อนุชา ศรีกรการ

สถานที่: Here Comes The Sun @ต้นซุงอเวนิว


ตี้นี่ห้วยพ่าน “หนีร้อนนอนชิลล์ริมน้ำน่าน”

คอลัมน์ 'พาหัวใจไปเที่ยว'

เรื่อง: น้องฟาง

     เส้นทางลึกเข้าไปจากถนนสายน่าน-ทุ่งช้าง คดเคี้ยวลัดเลาะไปบนถนนลูกรังขนาดกว้างพอดีกับตัวรถ เสียงคนขับตะโกนบอกเราว่า ถึงจุดหมายปลายทาง “บ้านห้วยพ่าน” หมู่บ้านในตำบลเปือ อำเภอเชียงกลาง อำเภอที่เล็กที่สุดของจังหวัดน่าน ทริปของเราจึงเริ่มต้นขึ้น

     ผู้ใหญ่บ้าน “ธวัชชัย ใจปิง” แนะนำให้เรารู้จักกับ “โชค” เจ้าควายร่างอวบเสมือนยักษ์ใหญ่ ที่ต้อนรับอยู่ด้านหน้า ช่างน่าเอ็นดู ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่เป็นชาวลัวะ ที่แต่เดิมตั้งถิ่นฐานบริเวณภูดอยแถบต้นแม่น้ำน่าน จนเมื่อ พ.ศ.2514 เกิดเหตุการณ์สู้รบระหว่างพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยกับรัฐบาลไทย ส่งผลให้ชาวบ้านต้องอพยพหนีภัยสงคราม กระทั่งมาถึงพื้นที่ระหว่างหุบเขาริมน้ำน่าน จึงก่อตั้งชุมชนบ้านห้วยพ่านตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

     ผู้ใหญ่พาข้ามสะพานแขวนข้ามแม่น้ำน่าน ที่น่าจะมีไม่เกิน 5 แห่งในประเทศ แลนด์มาร์คสำคัญอันเป็นทางเข้าออกหลักของหมู่บ้าน ความกว้างของสะพานเท่ากับรถ 1 คัน ทุกก้าวที่เหยียบลงบนสะพานที่มีสายสลิงยึดโยงมาจากเสาบนฝั่ง โดยไม่มีเสาปักลงในน้ำ สะพานแกว่งไกวพาให้ใจตื่นเต้น ข้างใต้เป็นแม่น้ำมีน้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา เปรียบเสมือนลมหายใจของชาวห้วยพ่าน เป็นเส้นเลือดสายใหญ่ที่ไหลลงมาตามสันเขา เป็นแหล่งน้ำสำหรับอุปโภคบริโภค ลำน้ำน่านเป็นทุกอย่างให้เธอในชุมชนนี้แล้วจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่ชาวบ้านห้วยพ่านนั้นรักและหวงแหนลำน้ำสายนี้เป็นอย่างมาก

 

     ที่ตั้งของชุมชนมีความอุดมสมบูรณ์ มีน้ำ มีป่า มีแหล่งอาหารเป็นของตัวเองเปรียบเสมือนคลังอาหาร ลืมตาตื่นขึ้นมา ถ้าท้องหิวก็เข้าป่าหาอาหาร เมนูพิเศษตำรับชาวห้วนพ่านคือ “หลามป๊า” หรือแกงปลาในกระบอกไม้ไผ่ ที่อุดมด้วยคุณค่าทางอาหารแต่กรรมวิธีไม่ซับซ้อน กระเพาะส่งเสียงร้องด้วยความหิว พร้อมมื้อกลางวันในสำรับกลางป่าแบบฉบับชาวห้วยพ่าน ที่มีผืนป่าเป็นคลังวัตถุดิบที่มีสิ่งต่างๆ ให้เลือกสรรมากมาย

 

     ชาวบ้านที่นี่ทำนาเป็นอาชีพหลัก เห็นได้จากบ้านทุกหลังจะมียุ้งข้าวอยู่ข้างๆ เสมอ เมื่อถึงฤดูกาลปักดำหรือเก็บเกี่ยว ชาวบ้านจะมารวมตัวช่วยกันเวียนทำจนครบทุกแปลง บรรยากาศในวันเกี่ยวข้าว เหมือนงานรื่นเริงเล็กๆ ข้าวปลาไม่ขาด เจ้าของนาคอยเลี้ยงดูปูเสื่อเป็นอย่างดี แปลงนาผืนน้อยใหญ่กลายเป็นสนามเด็กเล่นของเด็กๆ เลียนแบบผู้ใหญ่ จนเกิดเป็นความคุ้นเคยและชำนาญ กระทั่งซึมซับเป็นวิถีชีวิตในที่สุด

 

     ด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ วิถีชีวิตที่คงไว้ซึ่งความเข้มแข็งทางวัฒนธรรม ประกอบกับแนวคิดของผู้นำด้านการศึกษาที่ก้าวหน้าเพื่อเยาวชนในชุมชน เพื่อบ่มเพาะให้คนในชุมชนเติบโตได้ด้วยตนเองท่ามกลางทรัพยากรที่ชุมชนมีอย่างยั่งยืน ให้ชุมชนบ้านห้วยพ่านเป็นชุมชนท่องเที่ยวตัวอย่างแห่งหนึ่งของจังหวัดน่าน วิถีอันแสนเรียบง่ายนี้ยังช่วยให้เราได้เรียนรู้การใช้ชีวิตในอีกรูปแบบหนึ่งด้วย.

 

 


คบซ้อนสาม อย่าถามว่าเลือกใคร

คอลัมน์ 'หัวใจไม่จนมุม'

เรื่อง: DJ อ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล

 

ถาม.

     ดิฉันมีครอบครัวแล้ว แล้วมีคนมารักดิฉันถึง 2 คนค่ะ เลือกไม่ถูกว่าต้องอยู่กับใคร เพราะเข็ดกับเรื่องความรัก คนที่ 1 คบกันมา 10 กว่าปี แต่เขามีอายุมากกว่าหลายรอบ คนที่ 2 พึ่งเข้ามาได้ 1 ปี เขาดูแลด้วยการหาของมาฝากตลอด แต่เขาก็มีครอบครัวนะคะ คนที่ 3 อยู่กับดิฉัน มีลูกด้วยกัน 1 คนคือลูกชายอายุ 10 กว่าปี แต่ดิฉันไม่มีใจให้แก่คนที่ 3 อยู่เพื่อลูกค่ะ ควรทำยังไงกับความรักของตัวเองดี.

 

 

ตอบ.

     มีสองชายมาติดพัน ไม่รู้เรียกได้เต็มปากไหมว่าน่าอิจฉา ตราบเท่าที่ยังมีสามีอยู่เป็นตัวเป็นตน คนมีเสน่ห์ ไม่ใช่แค่มีชายอื่นติดพัน แต่หมายถึง คนที่มีคู่รักปักใจรักเราคนเดียวได้น้านนาน ในคำถามบอกว่า ไม่อยากเลือกใคร เพราะเข็ดกับความรัก “ไม่เลือก” แต่ก็ “รวบ” ไม่ได้ค่ะ อยู่กับสามีมาจนถึงวันนี้ ความหวือหวาเร้าใจอาจน้อยลง กลายเป็นความผูกพันมั่นคง ยิ่งเป็นพ่อและแม่ของลูกแล้ว จะปล่อยตัวปล่อยใจ เอาแต่ใจ และถูกอกถูกใจกับความตื่นเต้นเร้าใจของชายอื่นไม่ได้ค่ะ ยังไงก็ต้องให้เกียรติคำว่า “แม่” ที่ลูกเรียกเรา หากคิดว่าทนอยู่กับสามีเพื่อลูก แต่ดันปันใจให้ผู้ชายอีก 2 คน ถ้าอย่างนั้นเลิกกันไปให้ชัดๆ ลูกยังไม่ร้าวรานเท่านี้นะคะ

     ไม่กล้าบอกเลิกแต่กล้านอกใจ หายนะครั้งใหญ่ๆ มักเริ่มต้นจากความคิดที่ว่า “ไม่น่าจะเป็นอะไร” ลงท้ายก็บานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่

     คนที่ 1 คบกันตั้ง 10 ปีไม่มีท่าทีว่าอยากใช้ชีวิตครอบครัวกับเราหรือคะ หรือเพราะเขาไม่คิดจริงจังด้วย อยากได้ก็มา อยากลาก็ไป คบซ้อนกับคนอื่นๆ เช่นกันหรือเปล่า อย่าคิดว่าเราเป็นฝ่ายกระทำเพียงฝ่ายเดียว เห็นมาเยอะ นึกว่าเราคือผู้เลือก แต่ที่จริงคือ 1 ในหลายตัวเลือกที่เขาไม่ได้คิดจะเลือกมาตั้งนานแล้ว

     คนที่ 2 เขามีครอบครัวอยู่แล้ว เราอยู่ในฐานะอะไรคะ เป็นชู้อย่างเต็มใจ ไร้ตัวตน เป็นคนในเงาซ่อนไว้ไม่ให้ภรรยาเขารู้ อยู่แบบนี้ไร้ค่าไปไหม บอกว่าเข็ดกับความรัก แล้วตอนนี้เราไปทำคนอื่นทำไม รักของเราต้องไม่ทำร้ายหัวใจใคร พิษภัยความเจ็บหนักหนาขนาดไหน เราเคยรู้ดี แล้วตอนนี้เราดันทำเอง

     คนที่ 3 ไม่เลือกก็ต้องเลือกค่ะ ไม่ค่อยรักเท่าไหร่ แต่มีลูกกับเขาแล้ว เมื่อเลือกแบบไหน ก็ต้องรับผิดชอบสิ่งที่เลือก เขาคงเคยเป็นคนดีถูกใจในยามที่ต้องเลือก และเมื่อเดินด้วยกันมาไกลขนาดนี้ ถอยไม่ได้ ก็ต้องทำหน้าที่สุดความสามารถ ถ้าหยุดที่เขาไม่ได้ ต้องบอกเลิกให้จบไป ไม่ใช่นอกใจอย่างที่กำลังเป็นอยู่

     ผู้ชาย 2 คนนั้นแค่มาเจอชั่วครู่ชั่วยาม หันมุมดีๆ เข้าหากัน ถ้าต้องอยู่ด้วยทุกวัน จะรับกันได้จริงๆ หรือเปล่า ผู้ชายที่รักมา 10 ปี แต่ไม่มีความคืบหน้าในความสัมพันธ์ ผู้ชายที่หาของมาให้ทุกวัน แต่เป็นสามีชาวบ้าน ให้เลิกกับภรรยาเพื่อผู้หญิงที่ทรยศสามีอย่างเรา จะมีคุณค่าตรงไหน ผู้หญิงที่ผู้ชายคนนั้นกอดที คนนี้ก็กอดได้ เราลดคุณค่าตัวเองมากไปหรือเปล่าต้องถามใจดู

     ผู้ชายในชีวิตทั้ง 3 คนรู้ไหมว่าเราไม่มีความซื่อสัตย์ให้เขาเลย สามีเผลอ ก็มาเจอกับอีกคน วนลูปไป

อย่าบอกว่า “รัก” ใคร ถ้าความซื่อสัตย์ง่ายๆ เรายังมีให้เขาไม่ได้

     พิจารณาจากสิ่งที่เล่า เหมือนไม่ได้รักใครยกเว้นตัวเอง จนเรียกว่า “เห็นแก่ตัว” และไม่แคร์หัวใจใคร ไม่ว่าเป็นผู้ชายคนไหน หรือแม้แต่ภรรยาของคนที่เราคบด้วยก็ตาม เป็นตัวจริงอยู่ดีๆ อยากไปมีชีวิตเป็นส่วนเกิน เป็นของแถมนอกบ้านของคนอื่น แล้วบอกว่าเข็ดกับความรัก ดูย้อนแย้งกันสิ้นดี

     ถ้าความรักเคยทำให้เราเจ็บ เราต้องเข็ด และไม่พาตัวเองไปเจ็บกับเรื่องซ้ำๆ ที่เปลี่ยนจากผู้ถูกกระทำมาเป็นผู้กระทำซะเอง มีคนมารักตั้งหลายคน แต่แปลกไหม ที่ไม่มีใครทำให้สุขใจหรืออุ่นใจได้จริงๆ ความรักไม่ใช่แค่รัก ต้องมีความเข้าใจ และเหนือสิ่งอื่นใด คือความซื่อสัตย์ที่ให้กันได้ไม่ยาก ในวันที่เรารักใครซักคนมากพอค่ะ.

 


3 วิธีบอกเลิกให้ใจเจ็บไม่มาก.

จากคอลัมน์ 'ห้องเรียนหัวใจ'

เรื่อง: ยาชา

 

เคยรู้สึกมั่นใจบางเรื่องมากๆ แต่ลงท้ายสิ่งที่คิดเอาไว้ว่าใช่แน่นอน กลับไม่เป็นดังที่เราคาดหวัง เหมือนกำลังพายเรือไปข้างหน้าสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งใจไว้ ได้แต่พายวกไปเวียนมา จนต้องแวะพักและคิดว่าจะทำอย่างไรดี จะพายต่อไปทั้งๆ ที่มองไม่เห็นปลายทาง หรือจะพายกลับเข้าฝั่ง แล้วเริ่มต้นหาหนทางใหม่เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย

ถ้าคุณเลือกทางหลัง ก็เท่ากับคุณตัดสินใจหยุดความสัมพันธ์ เพราะมองไม่เห็นว่าจะมีทางไหนที่ดีกว่านี้ เมื่อมาถึงจุดนี้ การบอกเลิกดูจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะอย่างน้อยทั้งสองฝ่ายก็ไม่ต้องทนอยู่กับความรู้สึกที่รังแต่ละแย่ลงไปทุกที การเลิกราน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณทั้งสอง แต่จะเริ่มบอกเลิกอย่างไรดี ทั้งสองฝ่ายจึงจะเจ็บปวดน้อยที่สุด ฮักมีวิธีบอกเลิกแบบแมนๆ มาฝากกันค่ะ.

 

 

+ เมื่อรักเริ่มจากคนสองคน การหมดรักก็ต้องเป็นเรื่องของคนสองคนเช่นกัน

ประเด็นที่เซนซิทีฟที่สุด คือการบอกเลิกผ่านคนอื่น แบบนี้ไม่ควรทำนะคะ คุณไม่ควรดึงบุคคลที่สามเข้ามายุ่งเรื่องนี้ การบอกเลิกเป็นเรื่องทำร้ายจิตใจกันมากอยู่แล้ว ยิ่งรู้ผ่านคนอื่น ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ในเมื่อกล้ารักกัน ก็ต้องกล้าบอกเลิก ส่วนมากคนที่เป็นฝ่ายบอกเลิกรู้สึกผิด กลัวว่าจะโดนมองไม่ดี เลยไม่กล้าบอกเลิกกันโดยตรง แต่วานให้เพื่อนสนิทหรือครอบครัวอีกฝ่ายช่วยพูด ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าคุณคุยกันซึ่งๆ หน้าก็จะช่วยให้รู้ถึงเหตุผลที่ไปกันไม่ได้ เป็นการบอกเลิกที่เคลียร์ที่สุด เลิกรากันโดยไม่ต้องมีเรื่องคาใจ เผลอๆ คุณอาจจะมีเพื่อนที่หวังดีเพิ่มขึ้นอีกคนก็ได้.

 

+ หลีกเลี่ยงคำพูดที่ให้ความหวัง

เป็นไปได้มากที่คุณไม่รู้จะสรรหาคำบอกเลิกอย่างไร เพื่อให้อีกฝ่ายช้ำใจเพียงเล็กน้อย เลยเลือกใช้คำพูดที่ดูเหมือนยังมีเยื่อใยอยู่ ท่าทีแบบนี้แม้ว่าเป็นการปลอบโยนและถนอมน้ำใจอีกฝ่าย แต่อาจส่งผลเสียในอนาคตได้ เขาจะเข้าใจผิด คิดไปเองว่ายังมีความหวังที่ลมรักจะพัดหวน จึงไม่ยอมตัดใจซักที หมกมุ่นอยู่กับความทรงจำเดิมๆ และคาดหวังอยู่กับเรื่องที่ไม่มีวันเป็นจริงได้ วิธีนี้นอกจากทำร้ายอีกฝ่ายทางอ้อมแล้ว คุณเองก็พลอยรู้สึกเสียใจ ไม่คุ้มกันเลย.

 

+ ใจเย็นและเจียมตัว

ในการบอกเลิก แน่นอนว่าอีกฝ่ายย่อมทำใจไม่ได้ และอาจโวยวาย ใช้คำพูดประชดประชันและทำร้ายจิตใจ ยัดเยียดความผิดให้คุณ หากคุณใจร้อน โต้ตอบไป เรื่องจะเลวร้ายบานปลาย การบอกเลิกอาจจบได้ไม่สวย และกลายเป็นความทรงจำย่ำแย่ ทางที่ดีควรใจเย็นและเตรียมรับมือสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น ถ้าฝ่ายหนึ่งร้อน อีกฝ่ายเย็น ก็น่าจะพอพูดคุยกันได้

 

ขอให้การบอกเลิกครั้งนี้เป็นไปอย่างเข้าอกเข้าใจ และเลิกรากันด้วยดี.

 

 

Did You Know?

บริษัทจัดหาคู่ในไทย MeetNLunch (มีทแอนด์ลันช์) มีสถิติความรักและคนโสดของคนไทย เพื่อเป็นแนวทางในการสละโสด ผลสำรวจเฉพาะคนกรุงเทพฯ พบว่า มีโอกาสหาแฟนได้ง่ายที่สุดถึงร้อยละ 60 และการบอกเลิกจะใช้ออนไลน์แทนการบอกต่อหน้าถึงร้อยละ 68 

 


'Spirited Away' แด่การเติบโตของผู้ที่เคยอายุ 10 ขวบ และกำลังจะอายุ 10 ขวบ

จากคอลัมน์ 'สวมแว่นสีชมพูดูหนัง'

เรื่อง: รอมคอมแอดมิน

FB: Romcomsociely

 

นึกถึงตัวเองตอนอายุ 10 ขวบ.. 

เราเป็นเด็ก ป.4 หัวยุ่งๆ อยู่ในโรงเรียนประจำแห่งหนึ่งในจังหวัดทางภาคเหนือ มองย้อนกลับไปตอนนั้น เด็กที่มีบุคลิกลักษณะแบบเราคงเรียกว่าเด็กเนิร์ด แต่ ณ ขณะนั้น เราไม่รู้จักคำนี้ ไม่เข้าใจคำอธิบายตัวเอง ได้แต่คิดเรื่อยเปื่อยว่าฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้วนะตั้งแต่อนุบาล 2 

จิฮิโระ ตอนอายุ 10 ขวบ เป็นเด็กผู้หญิงที่กำลังต้องย้ายบ้านตามพ่อแม่มาอยู่เมืองใหม่ กำลังอึดอัดคับข้องใจในการเปลี่ยนแปลงที่เข้ามา ต้องไปผจญภัยอยู่ในมิติแห่งวิญญาณ ผลลัพท์ที่ได้คือการเติบโตในตัวตน ความเข้าใจในมิตรภาพ การเรียนรู้คุณค่าในตัวเอง ในความสัมพันธ์ และอื่นๆ อีกมากมาย

 

Spirited Away เป็นผลงานแอนิเมชันระดับมาสเตอร์พีชของ Studio Ghibli เป็นเรื่องที่โด่งดังทำเงินมากที่สุด กวาดรางวัล และครองพื้นที่หัวใจของผู้คนทั่วโลก เป็นเจ้าของรางวัล Best Animated Feature ในเวทีออสการ์ ครั้งที่ 75 ตัวละคร No face คุณผีไร้หน้าขี้เหงาที่หลายคนเคยผ่านหูผ่านตามาจากเรื่องนี้เช่นกัน ทั้งหมดเป็นส่วนผสมของความสนุกสนาน ความลึกซึ้งในแก่นเรื่อง นัยยะทางปรัชญา สังคม ชีวิต ความละมุนละไมในวิธีเล่า เพลงประกอบที่ดีงาม และการเข้าถึงหัวใจคนดูในระดับตัวตนอย่างแท้จริง

เรานึกอยากย้อนเวลากลับไปดูตั้งแต่ออกฉายเมื่อ  ค.ศ. 2001 ตอนนั้นเราอายุ 14 จากเลข 10 เติบโตขึ้นมาอีก 4 ปี เรายังคงเป็นเด็กเนิร์ดที่คิดว่าตัวเองโตเป็นผู้ใหญ่แล้วเช่นเดิม เพิ่มเติมคือความว้าวุ่น และความคิดหลายหมื่นหลายพันเทระไบต์ที่วิ่งวนอยู่ในหัว เรื่องตัวเอง ตัวตน เพื่อนฝูง ความสัมพันธ์ อนาคต ครอบครัว ชีวิต และโลกใบนี้

 

แท้จริงแล้วเราไม่ต่างจากการผจญภัยในมิติวิญญาณของจิฮิโระ ถ้าได้รู้จักจิฮิโระและผองเพื่อนในตอนนั้น ตัวตนและจิตใจของเราจะเปลี่ยนไปไหม อย่างน้อยคงรับรู้ว่าการเติบโตนั้นไม่ลำพังและเดียวดาย

กระนั้น การมาได้ดูในอายุ 30 กว่า ก็ยังไม่สาย Spirited Away พาให้เราครุ่นคิดและเติบโตจากภายในใจ

ในส่วนลึกของตัวตนได้อยู่ดี

 

เป็นแอนิเมชั่นสำหรับทุกคน ดังคำกล่าวของ Hayao Miyazaki ผู้สร้าง กำกับ และเขียนบทเรื่องนี้ในชื่อบทความ

"For the people who used to be  10 years old. and the people who are going to be 10 years old." 

"แด่ผู้ที่เคยอายุ 10ขวบ และกำลังจะอายุ 10 ขวบ"


ดูดีแบบคนดัง 'โบ & จอยซ์ Triumphs Kingdom'

สังคมขณะนี้มีทั้งปัญหาฝุ่น PM2.5 รวมถึงโรคระบาด และอีกหลายต่อหลายเรื่อง จนผู้คนต่างตกอยู่ในภาวะเครียด จึงขอชวนดูโอ้แห่งยุค 90s ที่แม้เข้าสู่ปี 2020 แต่เพลงของพวกเธอกลับไม่เคยตกยุค พร้อมมาบอกวิธีสะบัดความเครียดทิ้งแบบไม่ต้องเก็บกลับมา เพราะความเครียดเป็นศัตรูของความสวย หากสาวๆ พร้อมแล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเตรียมเต้นตามได้เลย

เจ้าแม่ดูโอ้แห่งความสนุก

จอยซ์: ตอนนี้ช่วยแฟนทำงานบริษัทเอกชนเกี่ยวกับรถยนต์ และยังรับงานเพลงอยู่ค่ะ ส่วนการเต้นนั้นอยู่ในสายเลือดไม่ต้องฝึกเยอะ (หัวเราะ) พอได้ขึ้นคอนเสิร์ตอีกครั้งเราดีใจมาก ภาพความทรงจำนั้นหวนคืนมาทำให้ได้ระลึกถึงวันวาน เพราะได้เจอเพื่อนๆ เหมือนอยู่ในงานเลี้ยงรุ่น

โบ: ส่วนโบทำงานที่โรงเรียนสอนภาษาค่ะ ช่วยเรื่องมูลนิธิและที่โบสถ์ พอเราทำงานอย่างจริงจังก็เกิดความเครียด แต่พอได้ขึ้นเวทีกลับรู้สึกผ่อนคลาย แต่มีบ้างบางครั้งที่รู้สึกว่าใจเรายังไหว แต่ขาสั่นเหมือนจะไม่ไหว (หัวเราะ)

 

หยุดความสวยเอาไว้

จอยซ์: ไม่เครียด มีรอยยิ้ม มีตีนกาก็จริงแต่มาจากรอยยิ้ม อายุเยอะแล้ว ต้องกินให้อิ่ม นอนให้หลับ และรักษาความสะอาด ถ้าฟื้นฟูผิวเร่งด่วนจะดื่มน้ำเยอะๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ

โบ: การไม่ล้างเครื่องสำอางแล้วนอนเลยนั้นไม่ควรทำ เพราะความสะอาดสำคัญที่สุด แล้วตามด้วยการบำรุงผิวจึงจะเห็นผลดี เพราะยิ่งอายุมากขึ้นยิ่งมีริ้วรอย ต้องบำรุงให้มาก เริ่มจากภายในโดยมองโลกในแง่บวกเข้าไว้

จอยซ์: ส่วนเรื่องรูปร่างก็ควบคุมอาหารแต่อย่าอด ใช้วิธีลดตามสัดส่วน ถ้ามีเวลาไม่มากก็ใช้วิธียืดเส้น เมื่อตื่นนอนให้เริ่มจากการบิดขี้เกียจก่อนเลยค่ะ

โบ: ส่วนใหญ่ผู้หญิงรู้เรื่องวิธีการดูแลตัวเอง แต่ทำไม่ได้และไม่อยากทำ (หัวเราะ)

 

ความเปราะบางในสังคม

จอยซ์: ความมั่นใจเกิดจากการที่เราเรียนรู้และรู้จักตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีตาสองชั้นหรือผิวขาวเหมือนเพื่อน แต่ควรรักษาผิวพรรณให้สะอาดสะอ้าน เพราะแต่ละคนมีเสน่ห์เฉพาะตัว ไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่น เราสวยในแบบที่พระเจ้าสร้างมาอยู่แล้ว (ยิ้ม)

โบ: การโดนบูลลี่ในโลกโซเชียล ถ้าเราไม่ชอบก็ออกมาจากตรงนั้น มาอยู่ในที่ที่เราสบายใจ ถ้าใจรับไม่ได้ จงเดินออกมาอย่าฝืนทนค่ะ (ยิ้ม)

ทริคปรับอารมณ์เป็นบวก

จอยซ์: อ่านหนังสือค่ะ เพราะเมื่อสมองจับจดว่ามีเรื่องไม่สบายใจหรือทุกข์ จะเปลี่ยนจุดโฟกัสไปอ่านหนังสือ อ่านความคิดของคนอื่น ทำให้ลดสิ่งที่กำลังทุกข์อยู่ได้ หนังสือเล่มหนึ่งอาจให้แรงบันดาลใจที่ดี ทำให้เราหายจากทุกข์ อย่างน้อยอยากให้รู้ไว้เสมอว่า ไม่ใช่เราเพียงคนเดียวในวันนี้ที่มีความทุกข์ บนโลกนี้ยังมีคนทุกข์อีกมากไม่ต่างจากเรา

โบ: เวลาเครียดจะคุยกับสามี เรารู้ตัวว่าเครียดเพราะมีเรื่องคิดเยอะเกินไปจนไม่สามารถจัดการได้ สามีจะคอยเป็นผู้ช่วยจัดวางเรียงใส่กล่องความคิดให้ทีละเรื่องค่ะ

 

TK’s Tips

โบ: สังคมที่ขาดความรักจะกลายเป็นสังคมที่เห็นแก่ตัว หากมีความรักทุกอย่างจะง่ายขึ้น เพราะมุมมองที่มีต่อกันคือความเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ทำร้ายกัน

จอยซ์: ในความรักมีความเข้าใจ หากเข้าใจในกันและกันย่อมก่อให้เกิดความรัก ไม่มองใครในแง่ลบ ทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนแตกต่าง ถ้ามีความเข้าใจกัน เราจะรักและรู้สึกดีต่อกัน

ภาพประกอบ : @triumphs_kingdom