นักศึกษาสาวคนหนึ่งมีเรื่องทุกข์ใจจนกินไม่ได้นอนไม่หลับค่ะ เธอไปหารืออาจารย์ที่ปรึกษาก่อน อาจารย์ที่ปรึกษาแนะนำให้มาพบจิตแพทย์ เพราะเธอมีอาการเครียดจนส่งผลกระทบต่อร่างกายจริงๆ อีกทั้งเธอเพิ่งผ่านการแท้งบุตรซึ่งสำหรับเด็กสาวอายุไม่ถึงยี่สิบปีถือเป็นประสบการณ์ที่เลวร้ายมาก

 

        “ตอนนี้เรื่องไหนที่ทำให้คุณทุกข์ใจที่สุดคะ เรื่องที่คุณแท้งบุตรหรือเปล่า”

        “เรื่องนั้นหนูทำใจได้แล้วค่ะ ที่ตอนนี้หนูเครียดมากคือเรื่องแฟน หนูบอกคุณหมอก่อนนะคะว่าหนูได้เจอพี่คนนี้ตอนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ๆ พี่เขาจีบหนู หนูก็เลยตกลงคบด้วย แต่ตอนหลังหนูเพิ่งมารู้ว่าพี่เขามีภรรยาแล้ว เขาบอกหนูว่าพยายามจะขอเลิกอยู่ เขาอยากเริ่มต้นชีวิตใหม่กับหนู”

        “แสดงว่าที่แท้งบุตรก็เป็นการตั้งครรภ์กับผู้ชายคนนี้”

        “ใช่ค่ะ ที่ทำให้หนูเครียดมากคือทางบ้านหนูรู้เรื่อง พี่ชายหนูโกรธมาก เขามาตบหน้าหนู พ่อแม่ก็โกรธและผิดหวังในตัวหนู แล้วภรรยาของพี่ผู้ชายก็โทร.มาด่าว่าหนู ตอนนี้หนูไม่เหลือใครแล้ว เหลือแต่พี่ผู้ชายคนเดียว เขาก็บอกให้หนูเข้มแข็งแล้วจะผ่านไปด้วยกัน”

         เธอพูดพลางน้ำตาคลอแต่ก็ยังเข้มแข็งมากค่ะ พอถึงสถานการณ์ตรงนี้ก็เข้าใจความรู้สึกของคนรอบข้างนะคะ ในสายตาคนอื่น นักศึกษาสาวคนนี้เป็นชู้กับผู้ชายที่มีครอบครัวอยู่แล้วและคนรอบข้างก็พากันต่อว่าขับไล่ไสส่ง เธอเลยเหลือทางเลือกเดียวคือพึ่งพาผู้ชายที่มีส่วนร่วมในความทุกข์ครั้งนี้

 

 

         เราลองมามองอีกมุมแบบเปิดใจให้กว้างๆ นะคะ เธอเป็นวัยรุ่นที่เพิ่งจบมัธยมศึกษาไม่นาน อายุยังไม่ขึ้นเลขสองด้วยซ้ำ มีความสุขกับความรักและตอนนี้กำลังไร้ที่พึ่ง อีกฝ่ายคือผู้ชายที่เป็นผู้ใหญ่ มีภรรยา มีงานทำ และรู้ว่าการมาจีบเด็กสาวก็จะทำให้ภรรยาต้องช้ำใจ ใครล่ะที่เราควรปกป้องเพราะเป็นเยาวชน และใครล่ะที่เราควรตำหนิเพราะเป็นผู้ใหญ่ที่ก่อเรื่องจนคนอื่นทุกข์ใจ ชีวิตจริงกลับกันค่ะเพราะคนที่ควรได้รับการปกป้องกลับถูกคนรอบข้างต่อว่า แต่คนที่ควรโดนตำหนิเพราะน่าจะมีวุฒิภาวะมากกว่า กลับบอกคนรอบข้างว่าต้องรับผิดชอบฝ่ายหญิงจึงไม่สามารถถอนตัวได้

          ปัจจุบันนักศึกษาสาวคนนี้ยังเรียนหนังสือได้อย่างเข้มแข็งค่ะ แต่ก็มีอาการเครียดจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ตอนนี้ปัญหาล่าสุดคือพ่อแม่ฝ่ายชายไปดักรอหน้าบ้านของนักศึกษาสาวและพาลโทษว่าเธอเป็นต้นเหตุให้สามีภรรยาเขามีปัญหากัน ขอให้เธอเลิกคบหา ถ้าผู้ชายไม่มีความหวังแล้วก็คงกลับไปหาภรรยาเหมือนเดิม กลายเป็นว่าคนเหล่านั้นผลักภาระมาให้เด็กสาวอายุไม่ถึงยี่สิบปีช่วยเสียสละเพื่อให้พวกเขามีความสุข ในทางกลับกันไม่มีใครช่วยให้คำปรึกษาหรือเข้าอกเข้าใจเธอเลย มีแต่การบีบบังคับและผลักภาระ

 

         “หมอเห็นใจคุณมาก หมอสามารถช่วยเรื่องความเครียดและนอนไม่หลับได้ แต่ไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นช่วยตรงไหนเพื่อให้ชีวิตคุณมีความสุขมากขึ้น ตอนนี้คุณพูดคุยได้แค่กับผู้ชายคนนั้น อาจารย์ที่ปรึกษา แล้วก็หมอเท่านั้นเหรอคะ มีคนอื่นอีกไหม”

          “ไม่มีหรอกค่ะ พี่ผู้ชายบอกว่าตอนนี้เขาเครียดมาก อย่าเพิ่งติดต่อไป หรือถ้าต้องคุยกันหนูก็อย่าเอาปัญหาไปให้เขา ส่วนอาจารย์ที่ปรึกษาหนูก็ไม่ค่อยสนิท เพราะคุยกันแค่ครั้งเดียวอาจารย์ก็แนะนำให้หนูพบจิตแพทย์เลย หนูเคยคิดว่าอุปสรรคเป็นเรื่องที่ต้องฝ่าฟัน แต่หนูชักไม่แน่ใจแล้วค่ะว่าหนูจะฝ่าฟันไปได้ไหม”

          “ถ้าครั้งหนึ่งการคบผู้ชายคนนี้ทำให้คุณมีความสุข หมอก็คิดว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง คุณเลือกและยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต แต่พอเวลาผ่านไปความทุกข์มีมากกว่าความสุข คุณคงต้องลองพิจารณาว่าจะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไร จะคบหาเขาต่อไปไหม ถ้าจะเลือกคบหรือไม่คบก็ไม่ใช่เพราะใครบอกให้ทำ แต่คุณต้องมองเห็นข้อดีข้อเสียและตัดสินใจเอง แล้วรับผิดชอบการตัดสินใจนั้น”

 

          เธอรับปากว่าจะกลับไปคิดอย่างจริงจังค่ะ บางครั้งเรายึดติดภาพในละครว่าผู้หญิงที่คบหาผู้ชายที่มีครอบครัวแล้วคือตัวโกงและลืมมองไปว่าเธออาจจะไม่ใช่ตัวโกงแต่เป็นเยาวชนที่ตกเป็นเหยื่อความเห็นแก่ตัวก็ได้ คนรอบข้างไม่จำเป็นต้องแสดงความหวังดีด้วยการบังคับหรือต่อว่า เราแสดงความหวังดีด้วยการรับฟังและเห็นใจได้ค่ะ เมื่อเขาเริ่มมีสติจนพร้อมที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเองแล้ว เราค่อยให้คำแนะนำเขาก็จะรับฟังมากขึ้น อย่างน้อยก็มากกว่าตอนที่เอาแต่ต่อว่าและทำร้ายจิตใจค่ะ.

 

HUG MAGAZINE 

คุยชีวิตกับจิตแพทย์