“พี่อ้อยครับ ผมเลิกกับแฟนที่รู้จักและคบกันนานกว่า 12 ปี เลิกมาประมาณ 6 เดือนแล้วครับ ทำใจยอมรับได้แล้ว แต่หลังจากนั้น ลองคบกับคนใหม่แค่เดือนเดียว รู้สึกไปต่อไม่ได้ ผมเป็นคนเดินออกมาเอง รู้สึกว่าเริ่มต้นใหม่เป็นอะไรที่ยากกว่าเดิม เลยเบื่อ และเหนื่อยกับความรักที่ต้องเริ่มทำความรู้จักใหม่ บางครั้งเจอคนที่ชอบ ก็แอบส่อง Facebook มีทักไปบ้าง พอเห็นว่าเขาดีกว่าเราทุกอย่าง ทั้งการงาน ความรู้ ฐานะที่บ้าน ในใจจะมีความคิดลบ จนท้อแล้วก็ถอยในที่สุด ผมไม่รู้จะแก้ปัญหานี้ยังไงดี บางครั้งก็คิดไปว่า หรือเราไม่ควรมีใครแล้ว เราเกิดมาเพื่อจะอยู่คนเดียว (ผมเป็นลูกคนเดียว มีโลกส่วนตัวอยู่พอควรครับ) หรือผมยังไม่พร้อมจะมีใครครับ”
A.
ยังไม่ต้องหาเหตุผลนั่นนี่จะดีไหม ชีวิตไม่มีอะไรซับซ้อน รักใครก็อยู่กับคนนั้น ไม่รักกันก็ต่างคนต่างไป คนเก่าคบกันมา 12 ปี ยังมีวันเลิกกัน ย่อมสอนเราว่า ความรักคือเรื่องไม่แน่นอนที่สุดในโลก เมื่อวานรัก วันนี้รัก วันข้างหน้าอาจไม่รักเท่าวันนี้ ก็แค่ดูแลรักที่มีอย่างดีที่สุดในทุกวัน และเมื่อความรักครั้งเก่าผ่านไป แต่หัวใจของเรายังอยู่ ก็เดินหน้าต่อไป ไว้เจอคนที่ใช่ค่อยเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแบบไม่กดดันตัวเอง ว่าต้องมีและต้องให้ได้ดีกว่าเก่า เพราะเราเจ็บมาเยอะแล้ว ต่างกรรม ต่างวาระค่ะ คนละคนอย่าเอาไปปนกัน บางคนเจ็บซ้ำๆ แค่เปลี่ยนคนมาทำให้เจ็บ บ้างก็เจ็บซ้ำๆ กับคนเดิมๆ ที่เพิ่มเติมคือเริ่มชิน เลยต้องเจ็บวนไปแบบนี้
การเริ่มต้นใหม่เป็นอะไรที่ยากกว่าเดิมน่ะดีแล้ว อะไรที่เริ่มต้นง่ายๆ เวลาสูญไปจะไม่เสียดายเท่าไหร่ กับคนเก่าเรายังต้องทำความรู้จักกันมาตั้ง 12 ปีถึงจะรู้ว่าไม่ใช่ กับคนใหม่จึงยิ่งคัดกรองให้เข้มขึ้น หัวใจเราไม่ได้แข็งแกร่งพอจะเจ็บซ้ำได้บ่อยๆ ค่อยๆ เรียนรู้กันไป ถ้าไม่ใช่ก็หยุด สุดแค่ไหนก็แค่นั้น ไม่รักก็บอก ไม่ต้องหลอกว่ารัก ไม่ต้องเสียดายคนดี ยิ่งถ้าเขาดี ยิ่งควรปล่อยให้เขาไปเจอคนดีที่รักเขามากกว่าเรา ไม่ต้องแทงกั๊กทั้งที่เราไม่ค่อยได้รักเท่าไหร่ ใจเขาใจเราค่ะ ถ้ามีใครเก็บเราไว้เป็นตัวเลือก ทั้งที่ไม่เลือก เราก็คงเสียใจเช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรผิดถ้าคิดว่าคนเก่าไม่ใช่ก็ต้องต่างคนต่างไป
ในการหาคนใหม่ การไปเฝ้าดูใครในโซเชียลฯ ของเขา ต้องเข้าใจก่อนนะคะว่า ไม่มีใครเปิดเผยทุกมุมในชีวิต คนเราล้วนมีมุมน่าอิจฉาและน่าสงสารแตกต่างกันไป เราเองเช่นกัน กว่าจะลงรูปซักรูป บางคนผ่านตั้งหลายแอพฯ เพื่อเก็บภาพ หรือบันทึกเรื่องราวที่ดีที่สุดไว้ในโซเชียลฯ การมองเห็นแต่มุมน่าอิจฉาในชีวิตเขา ไม่ได้แปลว่าเราด้อยกว่า ถึงได้ย้ำเสมอว่า ต่อให้เจอกันในโลกออนไลน์ ก็ต้องมาศึกษาดูใจในโลกของความเป็นจริง เพราะทุกสิ่งไม่สามารถเล่าผ่านโซเชียลฯ ได้ทั้งหมด
มีแฟนไม่ใช่รับสมัครงาน คุณสมบัติทุกอย่างอาจตรงตามที่ต้องการ แต่กลับไม่รู้สึกรักก็มี บางทีเจอคนดี๊ดีแต่กลับไม่มีใจ คนที่เรารักเขาแทบตาย กลายเป็นคนที่ทำร้ายเราได้มากที่สุดก็เยอะ “เหมาะสม” หรือ “ไม่เหมาะสม” ไม่ได้อยู่ที่ใครมอง แต่อยู่ที่คนสองคนรักกันมากพอจะเดินต่อหรือไม่ ไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่า “รัก” หรือ “ไม่รัก” เท่านั้นเอง
คนเราต่อให้มีโลกส่วนตัวสูงแค่ไหน เมื่อเจอใครซักคนที่ใช่ เราจะเปิดใจ เปิดโลกของเราให้เขาเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ไม่มีเหตุผลใดๆ นอกจากใจล้วนๆ มนุษย์ทุกคนแม้เกิดมาคนเดียว แต่ไม่มีใครอยากเติบโตไปอย่างโดดเดี่ยว เราถึงอยู่กันเป็นสังคม และอยากสร้างครอบครัวกับใครซักคนที่รักกัน เพียงแต่ถ้ายังไม่เจอใครคนนั้น เราก็อยู่ให้ได้ด้วยตัวเอง สุขทุกข์ขึ้นอยู่กับเรา ยังไม่ต้องเอาไปผูกขาของใคร ใครคนนั้นเดินเข้ามาในชีวิตเมื่อไหร่ ค่อยแบ่งปันความสุข เฉลี่ยความทุกข์กับคนที่เป็นทีมเดียวกับเรา วันที่ไม่มีเขา เราก็อยู่ได้ ไม่มีใครเป็นลมหายใจของกันและกัน เราต่างมีลมหายใจเป็นของตัวเอง แค่มีความสุขในการหายใจใกล้ๆ กันก็แค่นั้น
ถ้าตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า ลองหาวิธีเป็นผู้ “ให้” ในรูปแบบไหนก็ได้ ถ้าร่างกายแข็งแรงดีอาจไปบริจาคเลือด คนขาดเลือดเยอะนะ แล้วจะรู้ว่าเลือดเราต่อชีวิตคนอื่นๆ ได้อีกตั้ง 3 คน การให้ยิ่งทำให้เรามีค่า พอรู้สึกมีค่าน้องจะรู้เลยว่า คุณค่าของเราอยู่ที่วางตัวยังไง ไม่ได้อยู่ที่ใครจะเลือกหรือไม่เลือก พอหัวใจแข็งแรง อุดมด้วยความสุข เดี๋ยวก็จะมีคนมาขอแบ่งความสุขใกล้ๆ แล้ววันนั้นค่อยๆ ศึกษาดูใจ ความรักเริ่มต้นใหม่ได้ทุกวัน ปลายทางไม่ได้สำคัญเท่าระหว่างทาง อยู่ที่ว่าความสุขใจในการดูแลกันในทุกๆ วัน ตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่น้องพร้อมจะมีใครไหม แต่อยู่ที่ยังไม่มีใคร ทำให้น้องสุขใจจนอยากเริ่มต้นความรักใหม่อีกครั้งมากกว่า.
HUG Magazine
คอลัมน์ ‘หัวใจไม่จนมุม’
“การงาน” “ความรู้” หรือแม้แต่ “ฐานะทางบ้าน” ไม่ใช่เครื่องการันตีว่า คนสองคนนี้จะรักกันได้ไหม มันอยู่ที่ใจของทั้งคู่ว่า เมื่อตกหลุมรักแล้วจะยอมรับในความไม่สมบูรณ์แบบของอีกฝ่ายได้มากแค่ไหน
— DJ อ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล
การแต่งงานของเราเป็นแบบคลุมถุงชนรึเปล่า? : สำรวจวัฒนธรรมคลุมถุงชนอย่างเข้าใจง่าย
การแต่งงานของเราเป็นแบบคลุมถุงชนรึเปล่า (Is your marriage…