Q.

         “พี่อ้อยคะ หนูมีแฟนเป็นชาวญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่อเมริกาฯ เราเพิ่งคบกันได้ 1 ปี หนูทำงานกลางคืน เขาเป็นลูกค้ามาเที่ยวร้าน เจอกันครั้งแรกก็ปิ๊งเลยค่ะ เลยตัดสินใจคบกันจริงจัง เขาพยายามบินมาหาหนูเท่าที่จะทำได้ ครั้งหนึ่งก็มาอยู่ได้ประมาณ 1 เดือน เขาเป็นคนเนี๊ยบเรื่องเงินมาก ใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล ไม่ชอบให้ขอ ถ้าอยากให้เขาจะให้เอง เราต่างเจอพ่อแม่ของทั้ง 2 ฝ่ายแล้ว เขาขอให้หนูหยุดทำงานกลางคืน แล้วกลับไปอยู่บ้านหาอะไรทำ รอเวลาเขากลับมาแต่งงานกัน แล้วโควิดฯ รอบแรกก็มา ตอนนั้นสถานการณ์ที่อเมริกาฯ แย่มาก งานของเขาโดนยกเลิกหมด รายได้ไม่มีเลย เราไม่ได้เจอกัน 1 ปีเต็มๆ เขาเครียดเรื่องงานและเงิน จนเริ่มต่อว่าหนูให้รีบหางานอื่น หลายครั้งเข้าหนูก็รู้สึกกดดัน เลยพูดประชดไล่ให้เขาไปหาคนอื่นที่ทำอาชีพดีๆ คนที่เขาไม่ต้องช่วยเหลือเรื่องเงิน และไม่ต้องส่งเงินมาให้หนูแล้ว เขาโกรธหนูมาก บล็อกไลน์ บล็อกเบอร์ ทุกช่องทาง ไม่ยอมคุยกับหนู 4 เดือน จนในที่สุดหนูใช้อีกเบอร์ติดต่อไป เขาอยากให้เราโฟกัสเรื่องความอยู่รอดกันก่อน ขอให้หนูมีชีวิตใหม่ที่ดี เขาไม่ชอบความสัมพันธ์แบบไม่ได้เจอกัน คุยผ่านแต่โทรศัพท์ เขาเสียใจมาก เขาขอโทษ ตอนนี้ก็ยอมๆ ทำตามที่เขาขอ เช่น อาทิตย์นี้จะโทร.หาวันนั้นวันนี้นะ ห้ามหนูโทรหาถี่ๆ เขาไม่ชอบ

        พี่อ้อยคะ ช่วงที่ห่างหายกันไปเขาอาจไปคบคนอื่นหรือเปล่า เขาอยู่ไกลเราก็ไม่เห็น อะไรที่จะทำให้ความสัมพันธ์นี้ค่อยๆ ดีขึ้นบ้างคะ อะไรที่ทำให้รู้ว่าอย่าพยายามอีกเลย อะไรที่ทำให้มั่นใจว่าเขายังรักเราอยู่ รบกวนพี่อ้อยช่วยหนูหน่อยนะคะ”

A.

โควิดฯ ทำให้ชีวิตรักของหลายคนเปลี่ยนค่ะ เอาใหม่ ต้องพูดว่า

“โควิดฯ วัดใจว่าเรารักกันมากพอไหม ที่จะเดินหน้าต่อไปด้วยกัน”

น่าจะเหมาะกว่า

 

เราไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ ความเครียด ความกดดันมีกันทุกคน เคยมีคนตั้งคำถามด้วยซ้ำว่า “โควิดฯ ทำร้ายความรักของเรา เพราะอยู่ใกล้ไป หรืออยู่ไกลไป” เชื่อไหมคะว่าเป็นได้ทั้งสองแบบ การ work from home ทำให้หลายคู่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมากจนเกินไป อบอุ่นกลายเป็นอึดอัด ทั้งที่รักมากแต่บางทีก็ยากจะอยู่ด้วย ต้องช่วยๆ กันหาพื้นที่ส่วนตัวไว้บ้าง เมื่อโลกส่วนเรา เบียดโลกส่วนตัว จนเริ่มกลัวการล้ำเส้น ประกอบกับปัญหาเศรษฐกิจ ต่างคนต่างกลัวความไม่ปลอดภัย

เลยกลายเป็นแรงกดดันให้เราไม่ค่อยหันหน้าเข้าหากัน พูดกันทีไรมีแต่ปัญหารำคาญใจ ก่อนหน้านี้บ่นแทบตาย ว่าเธอไม่ค่อยมีเวลา ตอนนี้พอมี “เวลา” กลายเป็นว่า หาช่องว่างระหว่างกันไม่ค่อยได้ เริ่มอยู่ใกล้แต่ไม่เห็นคุณค่า มีปัญหาเพราะเห็นหน้ากันมากเกินไป ทั้งที่คนอยู่ไกลกัน แสนจะอิจฉา เคยไปมาหาสู่กันได้ แต่ตอนนี้ไม่ได้ เฝ้ามองแต่หน้าจอรอเวลาที่จะได้กอดกัน ก็นับว่าเป็นปัญหาอีกแบบ

 

พี่เข้าใจรักทางไกลดีค่ะ ต้องใช้ใจทั้งสองฝ่ายเยอะมาก เพราะเราขาดกันได้ง่าย ได้แต่บอกตัวเองเรื่อยไป เจอโจทย์ยากจะได้รู้ว่ารักกันมากแค่ไหน และส่วนใหญ่ที่เรามักบอกกัน ต่อให้รักกันแค่ไหน ยังไงก็ต้องมีอาชีพของเรา รอแต่เงินของเขาก็ไม่รู้ว่าเราจะรอดไปได้นานแค่ไหน เพราะรักเป็นเรื่องไม่แน่นอนที่สุดในโลก เมื่อวานรัก วันนี้รัก พรุ่งนี้ก็ไม่รู้แล้วว่า เราจะยังรักกันอยู่ไหม โควิดฯ ยิ่งตอกย้ำให้เราตระหนักว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน

แต่ก่อนคิดว่ามีกระเป๋าเดียว ถ้าเป็นกระเป๋าใหญ่น่าจะรอดได้ ตอนนี้ในแต่ละครอบครัวต้องมีกันอย่างน้อย 2 กระเป๋า กระเป๋าเขา กระเป๋าเรา ช่วยกันหา ยังไงก็ดีกว่าหาอยู่คนเดียว พอเริ่มเหนื่อย เริ่มเครียด เริ่มอุ้มอีกคนไม่ไหว รักไปรู้สึกผิดไป กดดันกันไป เรายิ่งประชดเขายิ่งไปกันใหญ่ เหนื่อยแทบตายสุดท้ายโดนไล่ ใจเขาใจเราค่ะ เขาจะชื่นใจจากอะไรล่ะคะ ภาวะวิกฤติ ยิ่งต้องคิดดีๆ ก่อนจะสื่อสารกัน

 

นอกจากงานกลางคืน ซึ่งวันนี้ก็ใช่ว่าจะทำเงินได้ดีเหมือนเดิม ไหนจะความเสี่ยงสารพัด อันตรายสำหรับผู้หญิงอย่างน้อง ไหนจะต้องสร้างความภาคภูมิใจให้เขา ในฐานะสะใภ้ที่เขาแนะนำกับใครๆ ได้อย่างหน้าชื่นตาบานว่าเราทำงานอะไร งานกลางคืนก็ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีอยู่แล้วในภาวะนี้ ด้วยความเคารพทุกอาชีพสุจริตนะคะ แค่ตอนนี้เสี่ยงไป เรามีความสามารถอื่นๆ ที่สร้างอาชีพได้ไหม อย่างน้อย ในวันหน้าไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาจะดูแลหรือไม่ดูแล เราก็ไม่ได้แย่เพราะยังทำมาหากินได้

สิ่งที่น้องกลัวสารพัดว่าเขาจะไปรักคนอื่นไหม ไกลก็ไกล มองก็ไม่เห็น พี่อยู่ข้างๆ แต่ก็ไม่เข้าข้างนะคะ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้เสมอ 4 เดือนไม่สนใจจะคุย จะทัก หากบอกว่า “รักมาก” ก็ไม่เห็นน่าเชื่อ ช่วงที่ห่างกันไป ไม่ห่วงเราบ้างหรือว่าเราจะอยู่ยังไง ปลอดภัยดีไหม โกรธเรา พี่เข้าใจ แต่ขนาดเป็นตายร้ายดียังไงฉันไม่สน ก็ดูไม่ใช่คนรักกันเท่าไหร่ ถ้าน้องไม่ติดต่อไป 4 เดือนอาจจะกลายเป็นปี ที่เขาดูเหมือนเลือกแล้วว่า ไม่อยากเดินหน้าต่อกับเรา สิ่งที่เขาบอกชัดเจนเหลือเกินว่า เขาอยากคบกับคนที่เจอกันทุกวัน มากกว่าคนไกล ที่ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ถ้าเขาเป็นคนแพ้ความไกลเมื่อเจอคนใกล้กว่า เขาก็คงต้องไป แต่หากเราเป็นคนที่ใช่ ไกลแค่ไหนเขาน่าจะรอ น้องยังรอเขาเลย เพราะเรารักเขามากกว่าที่เขารักเราไง ถึงอยากให้น้องรอไป เผื่อใจไป ยอมรับความจริงกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า หาอาชีพใหม่ของเราให้ได้ อย่างน้อยก็ภูมิใจที่พึ่งพาตัวเองได้ ไม่ใช่แบมือขอจากเขา การที่เขาบอกว่า อย่าโทร.บ่อยเพราะไม่ชอบ พี่กล้าตอบได้ว่า เหมือนเขากำลังมีใครที่น่าสนใจกว่า คนเรารักกันอยากได้ยินเสียงกันทั้งนั้น เขาวางเงื่อนไขเหมือนวางน้องไว้ไกลๆ โทร.ได้แค่บางวัน หลายครั้งสิ่งที่เราสงสัยอาจแปลว่าใช่แล้ว

 

พี่ไม่เคยบอกให้ใครอย่าพยายามอีกเลย ส่วนใหญ่จะยุให้พยายามจนถึงที่สุดก่อน คุยกัน สื่อสารกันเท่าที่ได้ ใช้เวลาอย่างที่เขาอยากให้เราใช้ แค่ไหนแค่นั้น “เวลา” จะบอกน้องได้เองว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน รักที่อยากได้จะอยู่ที่นั่นหรือเปล่า ทำให้ดีที่สุดในจุดของเรา ถ้าสุดมือสอย วันหนึ่งก็ต้องปล่อยเขาไป แต่ก่อนจะถึงวันนั้น พยายามให้เต็มที่ คุยกับเขาว่าเรากำลังหางานทำนะ เธอเป็นที่ปรึกษาให้ฉันได้ไหม เวลาที่มีปัญหา ไม่ได้ทำงานกลางคืนนะอย่างที่เธอขอ รอดูความสำเร็จในงานของฉันบ้างนะ ดูแลใส่ใจเขาแบบที่เราเคยเป็น เดี๋ยวน้องจะเห็นเองว่า ความใส่ใจของเราคือความชื่นใจของเขา หรือมองว่าเราน่ารำคาญ นั่นคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

 

         “เอาใจช่วยให้ความไกลทำอะไรความรักของน้องไม่ได้ หรือถ้าวันหนึ่งตัวไกลทำให้ใจห่าง ก็หวังว่าความรักในตัวเองของน้อง จะปกป้องให้น้องแข็งแกร่งเกินกว่าที่น้องคิดไว้ค่ะ”

— DJ อ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล

 

 

HUG Magazine

หัวใจไม่จนมุม