เพราะรักนี้มีจุดหมาย              พัด วง Mean & มุก นิตา

เสียงเพลงชักนำให้เขาและเธอมาเจอกัน ทั้งยังเป็นสื่อรักคอยเตือนใจให้นักดนตรีหนุ่มอย่าง ‘พัด’ วง Mean และ ‘มุก’ นิตา ชวลิต คิดถึงวันเวลาแห่งความสุขและมอบรักแท้แก่กันตราบนานเท่านาน ไปจนถึงพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาและเธอเหมาะสมแก่การเป็นคู่ชีวิต

 

ดนตรีสื่อรัก

พัดและมุกเป็นเพื่อนกันตั้งแต่ชั้นปีที่ 1 อยู่ชมรม TU folk song ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กระทั่งมีโอกาสร่วมจัดคอนเสิร์ตตอนเรียนชั้นปีที่ 4 ในฐานะโปรดิวเซอร์และผู้ช่วยฯ ทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันจนพัฒนาเป็นความรัก หนุ่มนักดนตรีเปิดใจว่า “ช่วงแรกเรายังไม่ค่อยรู้ตัว เพราะคิดว่าเขาคือเพื่อน พอความรู้สึกนั้นข้ามเส้นไปแล้วก็ใช้เวลาปรับ เพราะการใช้ชีวิตของเราต่างกัน เราเคยได้ยินมาว่า คนคนคบกันนั้นมีสองแบบคือเหมือนกันและแตกต่างแต่เข้ากันได้ดี เราทั้งคู่มีสิ่งที่ชอบและสนใจเหมือนกัน แต่จุดตั้งต้นของเราคือความต่างที่ดึงดูดให้น่าสนใจ จึงเริ่มสานสัมพันธ์กันมา”

แต่บนเส้นทางรักกลับมีความรู้สึกไม่ชัดเจนเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ของทั้งคู่  “มุกไม่ชอบค้างคาใจ เราบอกให้เขาเลือกว่าจะเป็นมากกว่าหรือน้อยกว่าเพื่อน เพราะที่เป็นอยู่มันไม่เกิดประโยชน์กับใครเลย ให้กลับไปคิดและเช็คลิสต์ว่าการที่คนคนหนึ่งชอบอีกคนนั้นต้องเป็นอย่างไร” ฟากหนุ่มพัดกล่าวเสริม “เราเป็นคนชอบจัดข้าวของและก็เผลอจัดลำดับผู้คนในชีวิตด้วยว่าคนนี้อยู่สถานะไหน เลยแปะป้ายไว้แล้วว่าคนนี้คือเพื่อน แล้วเราก็เป็นเพื่อนกันมานานมาก” 

ความฝันกับความรัก

เมื่อนึกย้อนหลัง พัดนั้นมีความฝันว่าอยากทำวงดนตรีอย่างจริงจังตั้งแต่เพิ่งเรียนจบ  “พอรับงานหรือเล่นดนตรีเบื้องหลังให้ศิลปิน เราก็เริ่มจริงจัง ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเราทำวงดนตรีกับเพื่อนๆ อยู่แล้ว เราเรียนจบนิติศาสตร์และเคยพยายามเรียนต่อแต่ไม่ไหว ตอนเรียนเรายังเล่นดนตรีได้ แต่หลังจากเรียนจบแล้วก็จริงจังขึ้น คิดว่าถ้าทางที่เดินนั้นเป็นไปได้ยากทั้งสองทางก็ขอเลือกลำบากในสิ่งที่ชอบดีกว่า เราปรึกษามุกเพราะสับสน และที่บ้านก็ไม่ค่อยสนับสนุน มุกบอกให้ผมลองคิดว่า ถ้าย้อนกลับมาแล้วไม่ทำจะเสียใจไหม ถ้าคำตอบคือเสียใจก็ลองทำดูสิ”

ด้วยอาชีพนักดนตรีที่ต้องตระเวนแสดงตามงานต่างๆ เวลาที่มีให้กันจึงน้อยลง สาวมุกบอกว่า “เป็นเรื่องที่เคลียร์กันบ่อยแต่ไม่ถึงกับทะเลาะหรือเลิกกัน พอเราไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกันแบบแฟนเพราะพัดงานยุ่งมาก เราก็คิดว่าหรือที่จริงแล้วมุกใช้ชีวิตแบบไม่มีแฟนก็ได้ ตั้งแต่ทำวง Mean ก็มีงานเยอะ กว่าจะชินก็ใช้เวลาและต้องเข้าใจว่าเวลาที่เขาทำงานเป็นอย่างนี้ เราก็ต้องอยู่แบบนี้ให้ได้” แต่เรื่องนี้ค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่แต่งงานแล้วมาอยู่ด้วยกัน เพราะถึงงานยุ่งแค่ไหนเราก็กลับมาใช้เวลาร่วมกัน 

 

ใจเขาใจเรา

วันนี้พัดมีโอกาสเริ่มต้นการทำงานบริหารค่ายเพลง ส่วนภรรยาสาวก็เปลี่ยนมาเริ่มงานที่ค่ายเพลงเช่นกัน ยิ่งช่วยให้ชีวิตรักมีจุดร่วมเดียวกัน สามีหนุ่มเล่าว่า “สำหรับผมชีวิตหลังแต่งงานไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าความรู้สึกข้างใน เรามีบ้านและมีคนที่ต้องกลับมาอยู่ด้วย ใครคนหนึ่งเคยบอกว่า ชีวิตคู่คือการรวมชีวิตของคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง ไม่ใช่แค่ชายหญิงอยู่ด้วยกัน เมื่อเราแต่งงานกับเขาแล้ว นั่นคือเราใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ ความรู้สึกในใจเลยเปลี่ยน” ภรรยาสาวกล่าวเสริม “มุกต่างจากพัดตรงที่คาดหวังชีวิตหลังแต่งงานว่าต้องเปลี่ยนแปลง แต่ทำไมเรารู้สึกเฉยๆ กับการแต่งงาน สองอาทิตย์ผ่านไปจึงมาคุยกันว่ารู้สึกไม่ชินกับการนอนที่นี่ เพราะคิดว่าพอแต่งงานกันแล้วเราจะต้องมีความสุข ลงมาทำกับข้าว เราทำจริงแต่ไม่ได้รู้สึกอย่างที่คิดไว้”

บททดสอบชีวิตรัก

เมื่อเราถามถึงความประทับใจใน ภรรยาสาวเอ่ยความในใจก่อน “พัดเป็นคนเสมอต้นเสมอปลายตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกันเมื่อ 11 ปีที่แล้ว เขาเคยพูดตอนคบกันใหม่ๆ ว่าพัดเป็นคนไม่มีช่วงโปรโมชั่น แต่พอหกปีผ่านไปก็รู้สึกว่าเขายังเหมือนเดิม สิ่งที่เปลี่ยนคือปัจจัยภายนอกที่ไม่ได้เป็นเรื่องของเราสองคน”

ส่วนสามีหนุ่มตอบว่า “เป็นเหตุผลสำคัญในหลายๆ อย่างที่เราตัดสินใจขอเขาแต่งงาน เพราะเขาอยู่กับเราในวันที่ชีวิตแย่มากมาแล้ว เขาเลือกสนับสนุนเราและนั่นเป็นบททดสอบที่มากกว่าลองคบหรือลองใช้ชีวิตด้วยกัน เป็นทางแยกที่เขาสามารถเลือกชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ แต่เขาตัดสินใจอยู่ด้วยกัน ไม่รู้ว่าวันนี้หรือวันข้างหน้าจะแย่กว่านี้อีกไหม ผมเชื่อว่ามุกคือคนที่จับมือเราแน่นพอ เวลาเล่าย้อนกลับไปวันที่ทำวงดนตรีเหมือนเป็นเรื่องเล่าที่สนุก แต่ความจริงแล้วคนที่อยู่ตรงนั้นเครียดมาก เพราะไม่มีงาน ไม่มีเงิน เคยทำวงดนตรีแล้วไม่สำเร็จ ไม่มีใครรับสิ่งนั้นได้หรอก แต่มีประโยคที่ติดอยู่ในใจ ณ วันนั้นเขาพูดกับผมว่า เชื่อว่าพัดทำได้ ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้ว เราจะทำจนสำเร็จ”

 

 

การเดินทางที่มีจุดหมาย

หากถามถึงความในใจ “ผมรู้สึกคล้ายกับตอนที่ผมตัดสินใจขอเขาแต่งงานในคอนเสิร์ตของ Love is ทั้งที่มุกบอกแล้วว่าอย่าขอที่นี่ ตอนนั้นเราได้แสดงที่อิมแพค อารีน่า เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นหมุดหมายหนึ่งในชีวิตของคนที่เป็นนักดนตรี เราเคยไปในฐานะนักดนตรีเบื้องหลังเมื่อห้าปีที่แล้ว รู้สึกว่าเราเดินทางออกไปฟันฝ่าอะไรต่างๆ จนกลับมายืนสถานที่เดิมด้วยสถานะที่เปลี่ยนไป ได้มาอยู่ในคอนเสิร์ตใหญ่ของค่าย Love is มีวงดนตรีของตัวเอง ซึ่งเป็นหลักหมุดเล็กๆ ที่อยากยืนยันกับมุกว่า ที่ผ่านมามีนไม่สูญเปล่าเพราะเราได้มายืนอยู่ตรงนี้ ทุกสิ่งที่ทำมีความหมายต่อการเดินทางของเรา ขอบคุณที่เขาร่วมเดินทางมา ไม่ว่าอนาคตจะเป็นยังไงก็ขอให้ไปกันต่อเรื่อยๆ”

สาวมุกเล่าด้วยความตื้นตันว่า “เพิ่งมานั่งคุยกันว่า ทุกๆ หลักหมุดความสัมพันธ์ของเราเป็นคอนเสิร์ตหมดเลย เพราะตอนที่เราเริ่มสนิทคือทำคอนเสิร์ตด้วยกัน ตอนที่ขอเป็นแฟนก็ในคอนเสิร์ตบรูโน่ มาร์ส แล้วก็มาขอแต่งงานในคอนเสิร์ตอีก”

“รักเรื่อยๆ” บทเพลงของเขาและเธอ

เพราะความรักเกิดจากเสียงเพลง ในฐานะคนทำดนตรีแล้วคิดว่านิยามความรักของตนเองเป็นเพลงแบบไหน ฝ่ายชายขออาสาตอบคำถามข้อนี้ “เคยมีเพลงที่ผมเขียนและชวนเขามาร้อง ชื่อเพลง ‘รักเรื่อยๆ’ เพลงนี้เล่าเกือบหมดทุกอย่างในความสัมพันธ์ของเราว่า ‘ไม่ต้องกลัวว่าฉันจะเบื่อเธอสักวัน จะวันไหนฉันก็รักเธอ อยากให้เธอรู้ไว้ อาจไม่ดูหวือหวา อาจไม่ดูมากมาย แต่ก็ขอให้เธอมั่นใจ ต่อให้ไม่หวานเหมือนใคร แต่ฉันจะรักเธอไปเรื่อยๆ’ 

 

 

หลักคิดเรื่องรัก

เมื่อการสนทนามาถึงช่วงท้าย หนุ่มพัดและสาวมุกมีหลักคิดมาฝาก ฝ่ายชายแนะนำว่า “เราเป็นมือใหม่ในการใช้ชีวิตแต่งงาน สิ่งที่ทำให้คบกันได้นานนอกจากความเข้าใจ ส่วนหนึ่งเพราะผมมองภาพการคบกันตอนวัยรุ่นว่า อยากมีอีกคนมาเติมเต็มครึ่งหนึ่งของเราเหมือนในบทเพลงรักที่เคยฟังมา และได้เรียนรู้ว่าในความสัมพันธ์ที่ดีถ้าเราสามารถเติมตัวเองให้เต็มได้ แล้วแชร์ความสุขให้ใครอีกคน สองคนที่เติมให้กันจนเต็มแล้วก็พร้อมเผื่อแผ่ความสุขนั้นแก่คนอื่นๆ ด้วย หลังจากนั้นพอได้ใช้ชีวิตร่วมกันก็จะไม่มีความคาดหวังว่าเขาต้องมาเติมให้เรา เราสองคนต่างเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ด้วยตัวเอง สิ่งนี้เป็นความคิดเล็กๆ แต่เป็นเมล็ดพันธุ์สำคัญที่ช่วยให้เราคบกันมายาวนาน”

ส่วนฝ่ายหญิงให้มุมมองว่า “ในมุมของผู้หญิงมีบางครั้งที่เรางอนหรือน้อยใจบ้าง แต่อยากให้มองว่าเวลาที่เราสูญเสียไปเพราะการงอน เราสามารถใช้เวลานั้นสร้างความรู้สึกดีได้อีกมาก บางคนโกรธแฟนมากจนไม่คุยกัน 1 วันเต็ม แต่ถ้าเราเปิดใจคุยกันตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรก เวลาที่เหลืออีก 23 ชั่วโมง 30 นาที เราทำอะไรที่มีประโยชน์ได้อีกเยอะเลย มีบางเรื่องที่โกรธเขามาก แต่เราปล่อยวางและให้อภัยได้ง่ายขึ้น เพราะเราอยากเอาเวลาไปทำอะไรที่ดีกว่านี้ ที่สำคัญคือถ้าในอนาคตเกิดอะไรขึ้น อย่างน้อยเราก็ไม่เสียใจเพราะเราทำดีที่สุดแล้ว”