“ขึ้นเขา ลงถ้ำ ล่องทะเล”
ประเทศไทยขึ้นชื่อว่ามีแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติหลายแห่งที่สวยงามติดอันดับโลก จึงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวผู้หลงใหลความงามของธรรมชาติและรักการผจญภัย ฉบับนี้ขอพาไปชมถ้ำติดทะเล หนึ่งใน Unseen Thailand ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นถ้ำที่สวยที่สุดแห่งหนึ่ง และเป็นสถานที่สำคัญที่ปรากฏอยู่บนตราประจำจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไฮไลท์ที่คอผจญภัยไม่ควรพลาดไปสัมผัสสักครั้งในชีวิตคือ “ถ้ำพระยานคร” เขตอุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด ในเขตอำเภอสามร้อยยอด และอำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ อุทยานแห่งชาติลำดับที่ 4 และอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของไทย
การเดินทางด้วยรถยนต์ไปยังถ้ำแห่งนี้ ใช้เส้นทางสายใต้คือถนนเพชรเกษม ก่อนถึงอำเภอกุยบุรีให้เลี้ยวเข้าทางแยกไปตามถนนสายเล็ก ซึ่งสองข้างทางเป็นทิวเขาหินปูนสลับซับซ้อน ไม่นานก็ถึงหาดบางปูจุดนัดพบก่อนออกผจญภัย การไปชมความงามของถ้ำพระยานครนั้นสามารถเดินทางได้ 2 แบบ คือการเดินข้ามเขาลูกเตี้ยๆ หรือนั่งเรือประมาณ 10 นาที ไปยังหาดแหลมศาลา เราเลือกเสียเหงื่อเล็กน้อย ขึ้นเขาลูกน้อยๆ ข้ามไปยังหาดแหลมศาลา จากเขาลูกนี้มองไปทางซ้ายเห็นวิวของหาดบางปูไกลสุดสายตา ส่วนด้านขวาคือวิวหาดแหลมศาลาที่ทอดตัวยาวขนานกับแนวต้นสน มีฉากหลังเป็นเกาะน้อยใหญ่ภายใต้ท้องฟ้าสีสดใส เราเลยอดยิ้มอย่างมีความสุขไม่ได้เมื่อรู้สึกว่าถูกโอบล้อมด้วยหาดทราย สายลม และท้องทะเล
จากหาดแหลมศาลาต้องเดินขึ้นเขาเป็นระยะทาง 430 เมตร เห็นป้ายบอกระยะทางแล้ว ใจชื้นขึ้นมาทันทีว่า “เดินสบาย ชมนกชมไม้อีกแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว” แล้วสองเท้าก็ค่อยๆ ย่างเหยียบแผ่นหินขรุขระไปในท่ามกลาง เงาไม้ร่มรื่น ทางขึ้นสู่ถ้ำเป็นบันไดหินธรรมชาติ แต่บางจุดอาจจัดวางใหม่เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินได้สะดวก ด้วยความสูงชันของภูเขาเราจึงต้องหยุดชมวิวแล้วจิบน้ำเป็นระยะ จวบจนเวลาผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมงเราก็พาร่างที่โชกด้วยเหงื่อมายืนอยู่ปากถ้ำพระยานคร ถ้ำขนาดใหญ่บนทิวเขาเลียบทะเลอ่าวไทย ซึ่งถูกค้นพบเมื่อกว่า 200 ปีก่อน ขณะที่พระยานครศรีธรรมราชแล่นเรือผ่านทะเลบริเวณสามร้อยยอด เกิดพายุจนต้องแวะจอดเรือเพื่อรอให้คลื่นลมสงบ จึงมาพบถ้ำพระยานครและสร้างบ่อน้ำเพื่อใช้ดื่มกินเรียกว่า “บ่อพระยานคร” ซึ่งยังคงอยู่จนถึงปัจจุบัน ความงามของถ้ำเป็นที่เลื่องลือ จนเจ้านายหลายพระองค์เสด็จมาทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง
ทางเข้าถ้ำเป็นโพรงขนาดใหญ่ ระหว่างทางมีก้อนหินน้อยใหญ่เรียงรายพอให้ปีนป่ายกันเล็กน้อย ภายในถ้ำแบ่งออกเป็น 2 คูหาใหญ่ คูหาแรกมีต้นไม้น้อยใหญ่เหมือนสวนขนาดย่อมแต่เขียวครึ้มทั่วทั้งบริเวณ เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปเราเห็นสะพานหินทอดผ่านปากปล่อง ซึ่งเป็นประดิษฐกรรมทางธรรมชาติที่มีอายุนับล้านปี พบได้ไม่กี่แห่งในประเทศไทย เล่ากันว่ามักมีสัตว์ป่าที่อาศัยรอบๆ บริเวณถ้ำขึ้นไปเดินแล้วตกลงมา สะพานนี้จึงได้รับสมญาว่า “สะพานมรณะแห่งถ้ำพระยานคร”
“จากตรงนี้เดินลึกเข้าไปสู่ถ้ำด้านใน แสงสว่างจากแดดยามสายก็ค่อยๆ จางหาย พื้นดินราบเรียบนุ่มเท้าเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นพื้นหินขรุขระตะปุ่มตะป่ำคล้ายผิวจระเข้ แล้วก็เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ที่นำทางเราเดินเข้าถ้ำคูหาถัดไป ลมพัดรวยรินพาเอาความเย็นจากในถ้ำต้องผิวกายเป็นระยะ”
แสงแดดส่องลงมาจากปากปล่องเหนือถ้ำ ทาบอาคารทรงไทยที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินดินสูงกลางถ้ำ อันเคยเป็นพลับพลาที่ได้รับการออกแบบและสร้างจากกรุงเทพฯ แล้วยกขึ้นประกอบเป็น “พระที่นั่งคูหาคฤหาสน์” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จพระราชดำเนินมายกช่อฟ้า พระที่นั่งเมื่อตั้งอยู่ในถ้ำอันน่าอัศจรรย์ จึงดูสวยงามตรึงตา ความเหน็ดเหนื่อยทุเลาลงทันใด คุ้มค่ากับการเดินทางขึ้นมา ภายในถ้ำมีหินงอกหินย้อยเป็นเชิงชั้นเหมือนม่าน บางแห่งน้ำหินปูนหยดสะสมจนเป็นรูปทรงแปลกตา ที่ผนังด้านหนึ่งจารึกพระปรมาภิไธยย่อเป็นตัวอักษรใหญ่สีขาวสะดุดตาของรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 7 เป็นที่ระลึกเมื่อครั้งเสด็จพระพาสเมืองประจวบคีรีขันธ์ และเยี่ยมชมความงดงามของถ้ำแห่งนี้
เราใช้เวลาชื่นชมถ้ำแห่งนี้อยู่นานพอสมควร จนกระเพาะส่งเสียงร้องเตือนว่าบ่ายแล้ว เลยต้องร่ำลาความงามเหนือจินตนาการซึ่งยากจะเชื่อว่ามีสถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่จริงบนโลกมนุษย์ ที่สำคัญอยู่ไม่ห่างจากกรุงเทพฯ มากนัก เป็นอีกที่ซึ่งยังรอต้อนรับผู้รักการผจญภัยที่อยากออกไปค้นหา และสัมผัสความมหัศจรรย์อันน่าตื่นตาตื่นใจ.
HUG MAGAZINE
พาหัวใจไปเที่ยว
น้องฟาง