รักนี้สู้สุดฤทธิ์!

จ๊ะ-จิตตาภา แจ่มปฐม & เอิน-ณิธิภัทร์ เอื้อวัฒนสกุล

ไม่ขออารัมภบทมากนัก ขอเชิญชวนคุณผู้อ่านร่วมติดตามเรื่องราวความรัก

ของนักแสดงสาวสวย จ๊ะ-จิตตาภา และผู้จัดละครหนุ่มหล่อ เอิน-ณิธิภัทร์

ที่กว่าจะลงเอยกันได้นั้นแสนสนุกสนานเคล้าความหวาน

ดั่งพล็อตละครโรแมนติกคอมเมดี้เรื่องหนึ่งเลยทีเดียว

 

แรกพบในกองถ่ายฯ

     จ๊ะ-จิตตาภา คือนักแสดงสาวมากฝีมือที่ฝากบทบาททางการแสดงไว้หลากหลาย แฟนๆ ต่างชื่นชมว่า “ตีบทแตก” อาชีพนักแสดงทำให้เธอมีโอกาสรู้จักกับผู้จัดละคร เอิน-ณิธิภัทร์ ในฐานะเพื่อนร่วมงาน กระทั่งถึงวันที่ฝ่ายหญิงอกหัก เพื่อนๆ นักแสดงในกองละครจึงรวมก๊วนชวนกันไปปาร์ตี้เพื่อช่วยให้สาวจ๊ะคลายเศร้า วันนั้นหนุ่มเอินได้เห็นเธอในอีกมิติที่ไม่คุ้นเคย

     “ตอนเล่นละครเขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำงานเก่ง เป็นมืออาชีพ แต่ปาร์ตี้คืนนั้นจ๊ะเป็นอีกคนที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน” หนุ่มเอินตอบสั้นๆ แต่ได้ใจความ

     ระหว่างที่บทสนทนากำลังดำเนินไป จ๊ะมองฝ่ายชายด้วยรอยยิ้มในแววตาก่อนเล่าว่า

     “วันนั้นเขาได้เห็นเราตอนเมา ร้องไห้โวยวาย ด่าผู้ชาย เขาคงช็อค จ๊ะจำได้ว่าช่วงที่เริ่มเมา จ๊ะหันไปถามเขาว่า ‘เราน่ะยังไง เมื่อไหร่จะแต่งงาน’ ตอนนั้นเขามีแฟน แต่เราไม่เคยพูดจาแบบนั้นกับเขา เพราะต่างวางตัวแบบนักแสดงกับผู้จัดละคร เขาตอบว่า ‘คงอีกไม่นาน’ เราก็บ่นว่า ‘ไม่คุยด้วยแล้ว เบื่อคนจะแต่งงาน’ แล้วหันมาร้องไห้กับเพื่อน ตัดเขาออกจากการสนทนาทันที” เอินกล่าวเสริมว่า

     “หลังจากนั้นไม่นานผมก็เลิกกับแฟนครับ เพราะมีปัญหากันมาสักพักแล้ว”

     เมื่อผู้สัมภาษณ์จินตนาการตามกลับนึกถึงภาพยนตร์เกาหลีเรื่อง My Sassy Girl (ค.ศ.2001) ซะอย่างนั้น

     เมื่อปาร์ตี้สั่งลาความรักของสาวจ๊ะผ่านพ้นไปราวสองเดือน จู่ๆ เอินก็ทักไลน์มาโดยที่ต่างคนต่างไม่เคยมีไลน์กันมาก่อน “ว่างรึเปล่า ไปกินข้าวด้วยกันไหม” แต่แล้วฝ่ายหญิงก็ไม่ได้ไป จากนั้นฝ่ายชายจึงส่งข้อความถึงเธอบ่อยขึ้น และเริ่มส่งสติกเกอร์ “คิดถึง” แต่จ๊ะก็ยังไม่คิดอะไรเพราะเธอชัดเจนว่าเป็นเพื่อนกัน

      “จนกระทั่งเขาเริ่มโทร.มา เลยรู้สึกว่าเขาไม่ได้คิดกับเราแค่เพื่อนแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือจ๊ะกลัวมากว่าถ้าความสัมพันธ์เปลี่ยนหรือเรารู้สึกไม่ดีกับเขา คงทำงานร่วมกันไม่ได้หรือมองหน้ากันไม่ติด เราจึงเริ่มก่อกำแพงมหึมาขึ้น” จ๊ะเล่าถึงความมุ่งมั่นครั้งอดีต

     ด้วยความสงสัยเราได้ถามหนุ่มเอินว่า ด้วยเหตุผลกลใดจึงสนใจเพื่อนร่วมงานสาวคนนี้

     “จ๊ะเป็นคนน่ารัก จากการทำงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังยิ่งทำให้รู้จักเขามากขึ้น เขาเป็นคนตรงๆ จริงใจ ชัดเจน เป็นคนเก่ง เป็นมืออาชีพเมื่อทำงานอยู่หน้ากล้อง ผู้ใหญ่รักและเอ็นดู ไม่เคยมีใครว่าร้ายเขาเลย เราจึงอยากคุยกับเขา เริ่มจากการประทับใจในการทำงาน เมื่อได้รู้จักเขาตอนที่เป็นตัวของตัวเอง เราเลยรู้ว่าคนนี้เป็นคนดี มีจุดยืนในชีวิตที่ชัดเจน”

     หลังจากเอินพูดจบก็ส่งยิ้มหวานให้ภรรยา

 

นางเอกแกล้งร้ายกับนายจอมตื๊อ

     เมื่อถามฝ่ายหญิงถึงช่วงเวลาของความโสด เธอบอกว่าตอนนั้นเหมือนสารฟีโรโมนในร่างกายหลั่ง เปรียบดั่งละครตอนหนึ่งในฉากที่นางเอกมีหนุ่มๆ 12 คนรุมจีบ เธอยังมีสุขกับความโสดจึงค่อยๆ ปฏิเสธเขาเหล่านั้นทีละคน จนกระทั่งเหลือเพียงพระเอกผู้ไม่ยอมออกไปจากชีวิตของเธอ

     “จ๊ะค่อยๆ ทยอยบอกทีละคนว่า เรายังไม่อยากมีแฟน ขอเป็นเพื่อนนะ แต่ละคนมีปฏิกิริยาต่างกัน มีทั้งคนที่เข้าใจ ยอมรับได้แล้วค่อยๆ ถอย บางคนก็ตื๊ออยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายทุกคนก็ยอมรับเงื่อนไข มีเอินคนเดียวที่สุดยอดมาก เรียกว่าไม่เข้าใจภาษาคน (หัวเราะ) เราอยากเป็นแค่เพื่อนร่วมงาน เพราะรู้สึกว่าความสัมพันธ์แบบนี้ดีที่สุดแล้ว แต่เขาก็ไม่ยอมและตื๊อหนักมากจนเราเริ่มโกรธ จ๊ะต้องปรึกษาเพื่อนว่ามีวิธีไหนที่ทำให้ผู้ชายเกลียดจนถอยออกไปบ้าง”

     ฝ่ายชายหัวเราะก่อนบอกว่า “เป็นพล็อตละครได้เลยครับ วิธีไล่ผู้ชายให้ออกไปจากชีวิต แต่สำหรับผมคือถ้าเขาบอกว่าไม่ต้องโทร.มาแล้วก็โทร.หาอยู่ดี”

     วิธีที่เพื่อนนางเอกแนะนำคือเหวี่ยงวีนแบบไร้ต้นสายปลายเหตุ เพราะเชื่อว่าไม่มีผู้ชายคนไหนชอบผู้หญิงที่หงุดหงิดตลอดเวลา จ๊ะเล่าถึงความตื๊อของเอินว่า

     “เราเริ่มจากการเหวี่ยงแบบสุภาพ แต่เขาก็ยังไม่ไป เราจึงทวีความรุนแรงขึ้น เป็นอย่างนั้นนานเกือบสองปีจนรู้สึกเหนื่อยมาก เขาโทร.มาวันละ 30-40 ครั้ง จนต้องปิดโทรศัพท์หนี ถ้าไลน์มาแล้วไม่ตอบ เขาก็ถามว่าเป็นอะไรอย่างนั้นซ้ำๆ ทำให้จ๊ะโมโหว่าทำไมพูดไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นแม่ก็สงสัยว่าเราคุยกับใคร เหวี่ยงใครทุกวัน แม่บอกว่าจ๊ะไม่เคยพูดจาแบบนี้เลยนะ ลูกไปเอามาจากไหน เราได้แต่บอกแม่ว่าเป็นทริค (หัวเราะ)”

     ในเมื่อนางเอกของเรื่องมีที่ปรึกษา พระเอกก็มีเพื่อนเป็นผู้ช่วยเช่นกัน และเรียกได้ว่าปรึกษาถูกคน

     “เพื่อนบอกว่าถ้าผู้หญิงเหวี่ยงแสดงว่าผู้หญิงรัก เพราะเธอเห็นเราเป็นคนสำคัญ ถ้าผู้หญิงโกรธ งอน แสดงว่ามีใจ ถ้าผู้หญิงบอกว่าไม่ต้องมาเจอหมายความว่าให้ไปเจอ ถ้าเขาไล่แสดงว่าให้เราอยู่ต่อ ทุกวันนี้ก็ยังคิดแบบนี้อยู่ (หัวเราะ)”

      จ๊ะขำสามีผู้มีสีหน้ามั่นใจในความรักที่มาพร้อมการเหวี่ยงก่อนเล่าว่า

      “จ๊ะแน่วแน่ว่าไม่อยากมีแฟนจริงๆ เพราะตอนนั้นใน 7 วัน ถ่ายละคร 2 เรื่อง อยากใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อน รู้สึกว่าชีวิตลงตัวไม่จำเป็นต้องมีแฟน จ๊ะใช้เวลาเกือบสองปีเหวี่ยงเขาอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งเหนื่อยแล้วยอมยกธงขาว ตอนนั้นเรามองเขาในสองแง่คือ เขาคงจริงจังกับเรามากและชอบเราจริงๆ อีกทางคือเขาต้องการเอาชนะเราเท่านั้น”

      ระหว่างนั้นฝ่ายสาวเจ้าและทีมเพื่อนนางเอกได้นัดพบฝ่ายชายมาเพื่อวิเคราะห์เจาะลึก

      “เรานัดเขามาเจอเพื่อนๆ เพื่อดูว่าเขามีวิธีการยังไง แต่เอินเป็นคนฉลาด กลายเป็นว่าเพื่อนเราบอกว่าเขาน่ารักดี นั่งคุยกับเขาสนุกสนานมาก ผิดกับภาพที่เราวางไว้ แต่ถือว่าเขาทนมากจริงๆ เข้าหาเราทุกทาง รู้ว่าเราสนิทกับใครก็เข้าทางคนคนนั้น จนกระทั่งเราลองใจให้เขามารับที่กองถ่ายที่พัทยา เราบอกให้มารับตอนหกโมงเย็นทั้งที่จริงเลิกงานตอนสี่ทุ่ม เขามาแต่ไม่ได้บอกเราว่าไม่สบายหนัก มีไข้สูง จนกระทั่งเราเห็นเขานอนเปิดกระจก เหงื่อแตกอยู่ที่รถ ก็ตกใจว่าเป็นอะไรปรากฏว่าตัวร้อนจี๋ ครั้งนั้นทำให้จ๊ะรู้สึกว่าเขาจริงจัง เราจึงค่อยๆ ทลายกำแพงลง”

      หนุ่มเอินเสริมว่า “วันนั้นผมไม่สบาย มีไข้ขึ้นสูง ตอนแรกคิดว่าตัวเองไม่น่าไหว แต่อย่างไรเสียก็ขับไปให้ถึงก่อน โชคดีที่เราไปถึงแล้วได้นอนพัก ผมจีบเขาตั้งแต่ทำละคร The Sixth Sense สื่อรักสัมผัสหัวใจ ภาคแรกจนถึงตอนจบของภาคสอง”

      ฝ่ายสาวจ๊ะเสริมว่า “เขาก็อยู่อย่างนั้นไม่ไปไหน คือไม่รู้ว่าใครบ้ากว่ากัน เราก็บ้าด่าได้ทุกวัน เขาก็บ้าอยู่ให้ด่า (หัวเราะ) หลังจากนั้นจึงลองคุยกันจริงจังแบบไม่เหวี่ยง คุยกันด้วยตัวตนจริงๆ ว่าจ๊ะเป็นแบบนี้ ไม่ใช่สายหวาน ไม่ออดอ้อน ไม่จ๊ะจ๋า เป็นคนจริงจัง พูดตรงๆ มีอะไรก็พูดเลย คือถ้าอยากได้ผู้หญิงที่เอาอกเอาใจคงไม่ใช่เรา”

 

 

ฉากขอแต่งงานในชีวิตจริง

     ในช่วงต้นของละครเรื่องนี้มีบททดสอบเรื่องการไม่พร้อมเปิดใจรับใครของฝ่ายหญิง แต่ความรักหลังจากนั้นกลับราบรื่นลงตัว ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ตรงกัน จ๊ะและเอินไม่ชอบเที่ยวกลางคืน ชอบอยู่บ้าน ดูซีรี่ส์ อ่านหนังสือ ทำให้คลิกกันเร็วเกินคาด เรื่องหนึ่งซึ่งจ๊ะยอมแพ้เอินคือความโรแมนติกและการเซอร์ไพรส์ที่ฝ่ายชายมีให้สม่ำเสมอ และช่วงสำคัญคือการขอแต่งงาน เอินบอกว่า

     “เห็นคู่อื่นเขาทำแบบนั้นเราก็อยากเซอร์ไพรส์บ้าง แต่เขาโกรธแบบเหวี่ยงหนักกว่าเดิม บอกว่าทำอะไรไม่ปรึกษา เราก็งงว่าถ้าบอกเขาก่อนจะเรียกว่าเซอร์ไพรส์ได้ยังไง” พร้อมกับสบตานางเอกในชีวิตจริง

     จ๊ะเล่าถึงเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้นว่า

     “ตอนนั้นเราคบกันมา 3 ปี มีทริปเที่ยวประจำปีกับเพื่อนๆ ที่อเมริกา จึงไม่ได้เอะใจ เดินทางไปถึงประมาณสองวันก็มีเซอร์ไพรส์ เพื่อนคนหนึ่งบอกว่าไปถ่ายรูปบนภูเขาให้หน่อยเพราะจ๊ะเป็นตากล้องประจำกลุ่ม เราก็ปลีกตัวโดยไม่รู้ว่าคนอื่นไปเตรียมการ จนกระทั่งเพื่อนบอกว่าลงไปถ่ายรูปข้างล่างกันต่อดีกว่า พอเดินลงมาเห็นเขาถือป้าย เรานึกว่ามีเพื่อนในกลุ่มขอแต่งงาน (หัวเราะ) แต่แล้วก็เห็นสายตาทุกคู่มองมาทางเรา พอรู้ตัวเราตะโกนถามทันทีว่า ‘What are you doing?’ เพื่อนก็วิ่งวุ่น มีทั้งคนที่เอาวิทยุไปซุ่มไว้ในต้นไม้แล้วเปิดเพลงโรแมนติก มีคนเป่าฟองสบู่ที่ลานหิมะกว้างๆ ในจังหวะที่เขาคุกเข่าขอแต่งงาน เราเงยหน้ามาเจอเพื่อนที่คอยบอกว่า ‘รับสิ Yes สิ’ เหมือนกับถ้าไม่รับละโดนแน่ (หัวเราะ) เราเป็นคู่แรกในกลุ่มที่ขอแต่งงาน ทุกคนพยายามทำให้เซอร์ไพรส์นั้นสมบูรณ์ สนุกและตลกมาก เพียงแต่ตอนนั้นแต่งตัวไม่สวย เพราะใส่เสื้อกันหนาวหนาๆ เหมือนหนอนที่ตัวเป็นปล้องๆ น่าเกลียดมาก หลังจากนั้นเราก็บอกเอินให้เลื่อนการแต่งงานออกไปก่อน เพราะปีนั้นมีละครหลายเรื่องและมีงานที่ต้องทำ จนกระทั่งใกล้ครบสองปี เขาก็บอกว่าไม่รอแล้วนะ ปีนี้ต้องแต่ง เลิกงอแงได้แล้ว วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เราเห็นเขากุมอำนาจ เรารับรู้ได้ว่าเขาซีเรียสกับเรื่องนี้ สุดท้ายก็ตัดสินใจแต่งงานก่อนถึงวันจริงประมาณ 6 เดือน”

     ฝ่ายชายกล่าวเสริมเรื่องการแต่งงานว่า

     “ที่ยื่นคำขาดเพราะรู้สึกว่าตัวเองนิ่งแล้ว อยากใช้ชีวิตร่วมกันเพื่อสร้างครอบครัว ผมคิดว่าแม้ได้ฤกษ์มหามงคลมาก็สามารถเลิกรากันได้ ถ้าเราพร้อมใช้ชีวิตคู่ก็แต่งเลย ถ้าเลื่อนหรือรอให้พร้อมอาจมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่ได้อยู่ด้วยกันสักที ที่สำคัญคือเราเห็นตรงกันว่าอยากจัดงานเล็กๆ ในบรรยากาศสบายๆ และมีคนที่เราสนิทมาร่วมงาน”

      ประเด็นนี้จ๊ะอธิบายว่า “จ๊ะชัดเจนมากว่างานเราแค่มีผู้ใหญ่สองฝ่ายรับรู้แล้วจดทะเบียนสมรสก็พอ เลยบอกผู้ใหญ่ว่าขอไม่จัดงานในกรุงเทพฯ เพราะไม่อยากให้แขกเหรื่อมาเยอะ จ๊ะตัดรายละเอียดหลายอย่างออกไป เพราะเราเห็นตรงกันว่าไม่จำเป็นและสิ้นเปลือง อย่างเรื่องสินสอดก็ไม่ต้องโชว์หรือบอกว่ามีเงินจำนวนเท่าไหร่ ไม่จำเป็นต้องให้ค่าแก่เรื่องนี้ มีแค่เรื่องที่เราต้องทำตามคำของผู้ใหญ่ นอกนั้นเราเห็นพ้องต้องกันทั้งหมด กลายเป็นว่าเขามีความสุขกับเรื่องนี้มาก ทำยังไงก็ได้ให้เสียเงินน้อยที่สุด คู่เราเลยลงตัว ไม่มีอะไรที่ขัดกัน สมมติเขาอยากจัดงานใหญ่โต เราคงงัดข้อกันแน่ๆ คือไม่ใช่เรื่องที่เราต้องไปยืนขาแข็ง หน้าบึ้ง เหนื่อยมาก หิวข้าว แล้วมาทะเลาะกันหลังงาน เหมือนที่เคยเห็นคู่พี่คู่เพื่อนที่เราคอยบอกให้เขาใจเย็นๆ เพราะวันแต่งงานเป็นอีกหนึ่งวันสำคัญที่เราควรมีความสุข”

 

เติมหวานด้วยคำ “รัก”

     เมื่อถามถึงการดูแลความรักตั้งแต่เป็นแฟนกันจนถึงวันที่ได้มาใช้ชีวิตร่วมกัน จ๊ะบอกว่า

     “เรื่องความโรแมนติกจ๊ะสู้ไม่ได้เลย เขาโรแมนติกมาก ชอบเซอร์ไพรส์สุดๆ ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของความรัก คนภายนอกอาจมองว่าเราดูสตรอง แต่เมื่ออยู่กันสองต่อสองก็มีมุมหวานๆ น่ารักๆ ที่สำคัญคือมีชั่วโมงของการพูดจาหารือกัน เช่น ผ่านมาหนึ่งเดือนถ้ามีอะไรไม่ดี ต้องคุยกันเพื่อหาทางแก้ไข คู่เราเน้นความตรงไปตรงมา มีอะไรพูดเลย ไม่เก็บไว้จนเป็นปมในใจ ถ้ารู้สึกไม่ดีต้องบอก เพื่อหาสาเหตุร่วมกันและแก้ไข อีกอย่างคือการบอกรักกันทุกวัน ถ้าวันไหนไม่มีก็ทวง เพราะไม่อยากให้อยู่ด้วยกันแบบเคยชินจนกลายเป็นความเฉยชา ซึ่งไม่มีทางรู้เลยว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ แต่เห็นตัวอย่างจากบางคู่ เลยรู้สึกว่าเราจะประคับประคองไม่ให้เป็นอย่างนั้น จึงพยายามเติมเต็มความรักตลอด เช่น ไปออกเดท ดินเนอร์ ดูหนัง ตอนเป็นแฟนเคยทำยังไง ปัจจุบันก็ยังคงทำเช่นนั้น”

     ฝ่ายสามีตอบประเด็นนี้ว่า “เพื่อให้ความรักไม่ลดระดับลงจากวันแรกๆ ผมทำทุกอย่างแบบที่เคยชวน เคยทำตอนจีบกันหรือเป็นแฟน ส่วนใหญ่ช่วงโอกาสพิเศษก็หาของขวัญให้ บางทีเขาหลุดปากว่าอยากได้อะไรหรือผมแอบดูว่าเขากำลังสนใจอะไร เพราะการหาซื้อของขวัญสักชิ้นให้เขานั้นยากมาก บางครั้งต้องทำทีพาเขาไปเดินดูแล้วสังเกตอาการ เมื่อรู้ว่าเขาอยากได้ผมก็แอบไปซื้อมาเก็บไว้ประมาณ 1-2 เดือน ถ้าจะซื้อก็ต้องคอยห้ามไว้ เดี๋ยวผิดแผน (หัวเราะ)”

     หากบอกว่าหนุ่มเอินคือนักเซอร์ไพรส์ตัวยงคงไม่ใช่เรื่องผิด

     เมื่อถามทั้งคู่ว่าเรื่องใดบ้างที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ทั้งคู่ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เรื่องงาน” แต่เป็นเพียงการนำเสนอความเห็นจากมุมมองของแต่ละคนเท่านั้น

    “ส่วนใหญ่มีแค่เรื่องงานที่ไม่เชิงทะเลาะแต่เป็นความเห็นต่าง ต่างคนต่างหาข้อมูลมาแล้วช่วยฟังก่อน ซึ่งจ๊ะเข้าใจว่าเป็นมุมมองของผู้ชายกับผู้หญิง เรื่องงานเขาละเอียดสู้จ๊ะไม่ได้ เขามองในมุมของมุมผู้ชายที่บางครั้งอาจแข็งเกินไป เรากลับรู้สึกว่างานชิ้นนี้ละมุนและทำให้คนดูอินมากกว่านี้ได้ ถ้าเป็นเรื่องงานจ๊ะใส่ใจรายละเอียดกว่า” สาวจ๊ะเล่าเรื่องงานด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง

    ฝ่ายสามีอธิบายถึงเรื่องการทำงานว่า “หลักๆ มีแค่เรื่องงาน เพราะตอนเอินทำงานก็มีช่วงเครียด บางช่วงที่เราคิดงานหนักๆ จ๊ะก็คอยถามว่า ทำไมวันนี้ยังไม่บอกรัก ทำไมดูเครียด นิ่งเงียบเกินไป เป็นเรื่องดีที่เขาพยายามดึงเราออกจากงาน เพราะเราจมอยู่กับงานมากเกินไป อีกอย่างคืองานที่เราทำนั้นออนไทม์ 24 ชั่วโมง บางทีมีงานส่งมาตอนตี 2 ตี 3 เราก็ต้องคิดงานจนไม่ได้นอน”

     นางเอกของละครรักเรื่องนี้เสริมว่า “จ๊ะพลอยนอนไม่หลับไปด้วย เพราะแสงสีฟ้าจากหน้าจอคอมฯ บางทีเขาถึงกับเป็นไมเกรน ปวดไปทั้งตัว หน้าเหี่ยวแล้วเหี่ยวอีก จ๊ะเป็นฝ่ายซ่อมบำรุง ทาครีมให้ อีกนิดหนึ่งจะใส่เสื้อผ้าให้แล้ว (หัวเราะ) เพราะเขาเป็นคนที่หมกมุ่นเรื่องงานมากๆ จนบางทีเราต้องดีดนิ้วแล้วบอกว่าออกมาเดี๋ยวนี้ ต้องมีเวลาทำอย่างอื่นในชีวิตด้วยนะ เราหงุดหงิดแต่เข้าใจ คอยเตือนว่าคุณกำลังเอาเวลางานกับเวลาส่วนตัวมาซ้อนทับกัน รู้สึกว่าตอนนี้คุณกำลังเครียดเกินไป งานเริ่มรุกล้ำชีวิตส่วนตัว ต้องถอยออกมาบ้าง บางวันจ๊ะก็ลากเขาออกไปดูหนัง หรือถ้ามีวันพักผ่อนยาวๆ ก็จองที่พักต่างจังหวัด ห้ามเอางานไปทำ คือต้องพักให้เป็น แม้กระทั่งคืนก่อนแต่งงานยังคุยเรื่องงาน เขาพูดว่า ‘จะเปิดกล้องละคร’ จ๊ะบอกว่า ‘พักเรื่องงานก่อนไหม พรุ่งนี้แต่งงานแล้วนะ’ (หัวเราะ) เราคือคนบ้างานสองคนที่มาอยู่ด้วยกัน”

 

 

ความในใจของเขาและเธอ

     เขาและเธอเป็นคู่รักที่บอกรักกันเป็นประจำอยู่แล้ว เราเลยให้ทั้งคู่บอกความรู้สึกที่มีต่อกันแทน จ๊ะบอกว่า

     “ประทับใจในความสม่ำเสมอของเขา ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ที่ไม่เปลี่ยน กลับดีขึ้นเรื่อยๆ เขาเป็นคนที่ไม่ได้ทำความรู้จักเพียงแค่เรา แต่เข้ามาเอื้อเฟื้อทุกคนในชีวิตของจ๊ะ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือครอบครัว หลานๆ ของเราก็เข้ากับเขาได้ดี เอินเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตจ๊ะได้ง่ายและเร็วมาก ทุกคนรักในความเป็นเอิน เขาไม่เคยลืมวันสำคัญ เป็นคนจัดเตรียมแผนการต่างๆ เก่งมาก ล่าสุดวันครบรอบแต่งงานก็เซอร์ไพรส์จนเราร้องไห้ จ๊ะรู้สึกว่าชีวิตคู่ของเราลงตัวมากๆ ไม่คิดว่าแต่งงานแล้วจะดีขึ้นทุกวัน ดีกว่าตอนเป็นแฟน นอกจากจ๊ะจะเหวี่ยงเขามานานสองปี หลังจากเขาขอแต่งงานยังขอเลื่อนการแต่งงานไปอีกสองปี เขารอนานจริงๆ ส่วนเรื่องที่เป็นห่วงเขาที่สุดคือสุขภาพ อยากให้เขาห่วงตัวเองมากกว่านี้”

     สำหรับเอิน “ผมประทับใจที่จ๊ะเป็นคนเก่ง มีทัศนคติที่ดี เราเห็นจากตอนทำงานและนอกเวลางาน จนบอกกับตัวเองว่าต้องเก็บรักษาคนคนนี้ไว้ให้ดีที่สุด จ๊ะมีทัศนคติเรื่องการทำละครที่ผมชอบ เพราะเขาเล่นละครมาเยอะ บวกกับเราทั้งคู่อยากพัฒนาละครและนักแสดงไทย เมื่อมีโอกาสได้คุยกันเขาก็คิดคล้ายกันกับเรา เป็นคนดูซีรี่ส์เหมือนกัน ทำให้ราอยากพัฒนาการทำงานงานละครของไทย ผมพูดเข้าเรื่องงานอีกแล้ว (หัวเราะ) อีกอย่างหนึ่งคือเขาเป็นคนแมนๆ เราสามารถพูดตรงๆ กับเขาได้”

     เมื่อขอความเห็นเคล็ดความรักจากทั้งคู่ ฝ่ายสามีแนะนำคนที่กำลังจะแต่งงานว่า

     “ควรฟังกันให้มาก ฟังความต้องการซึ่งกันและกัน เพราะบางคนอาจยึดความต้องการของตัวเองเป็นหลัก โดยที่อีกคนอาจยอมในตอนนั้น แต่ต้องหาจุดกึ่งกลางของความสัมพันธ์ให้เจอ ควรรับฟังกันด้วยหัวใจว่าต่างฝ่ายต่างต้องการอะไร เอินเห็นหลายคู่ที่ปัญหาเกิดจากการไม่ฟังกัน สุดท้ายทะเลาะแล้วเสียใจทีหลังว่าทำไมไม่คุยกันให้ดีก่อนตัดสินใจทำอะไรร่วมกัน เพราะการแต่งงานคือด่านหนึ่งของความรักที่เราสองคนต้องใช้ชีวิตร่วมกันจริงๆ เป็นด่านสำคัญที่ต้องเจอกับครอบครัวทั้งสองฝ่าย ต้องจับมือกันให้แน่นพอเพื่ออนาคต ถ้าไม่เคลียร์ใจกัน สุดท้ายทุกฝ่ายย่อมไม่มีความสุข”

     ส่วนสาวจ๊ะมองว่าการแต่งงานคือการแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้แก่กัน

     “สำหรับจ๊ะการแต่งงานคือการแบ่งปัน มีอีกคนหนึ่งที่เราต้องนึกถึงเขาตลอด เมื่อก่อนเราทำอะไรก็ตัดสินใจเอง ไม่ต้องบอกใคร แต่ ณ วันนี้ทุกอย่างที่ลงมือทำต้องแชร์กันทั้งหมด สร้างความเชื่อใจ ไว้ใจกันให้มากที่สุด เขาไม่ได้เป็นเพียงสามีแต่เป็นเพื่อนแท้ด้วย หลายคนรู้สึกว่าฉันยังมีโลกของความลับอยู่ นั่นไม่ผิดเพราะทุกคนมีโลกส่วนตัวได้ เพียงแต่เราเลือกแชร์หรือเปล่า การใช้ชีวิตคู่ทำให้รู้จักวิธีเอาใจเขามาใส่ใจเรามากขึ้น คู่เราไม่มีปัญหาเรื่องการไว้ใจ เชื่อใจ เราให้เกียรติกันเสมอ”