ตกหลุมรักในความดีเปาวลี & เอิร์ธ

ด้วยพลังแห่งความรักและความดีที่มีอย่างเปี่ยมล้น                คู่รักอย่างเปาวลี-พรพิมล และเอิร์ธ-กานต์ กิจเจริญ จึงจับมือกันฟันฝ่าอุปสรรคนานา แล้วก้าวเดินไปด้วยกันอย่างไม่ไหวหวั่นต่อสิ่งใด

 

 

ความบังเอิญเกิดรัก

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความบังเอิญหรือโชคชะตาที่ทำให้คนสองคนมาพบกันกระทั่งก่อเกิดเป็นความรัก ระหว่างหนุ่มเอิร์ธ ลูกชายของพิธีกรชื่อดัง ซูโม่กิ๊ก-เกียรติ กิจเจริญ กับนักร้องลูกทุ่งสาวเสียงดีอย่างเปาวลี เธอเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า “เป็นเพราะความบังเอิญค่ะ หนูเข้าวงการมาในช่วงที่หนังเรื่องพุ่มพวงออกฉาย แล้วได้ไปโปรโมตในรายการ กลมกิ๊ก เป็นรายการแรกๆ ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้จักเปาวลี ก็ได้เจอทุกคนในครอบครัวเอิร์ธ พอจบรายการ เราก็ออกมาหน้าสตูฯ เพื่อรอขอถ่ายรูปกับป๋ากิ๊ก ยังไม่ทันได้ถ่าย ป๋าก็บอกว่า “รอก่อนนะ เดี๋ยวไปตามลูกชายมาถ่ายรูปด้วย” หลังจากการถ่ายรูปร่วมกัน ด้วยความน่ารักและนิสัยดีของสาวเปาวลี ทำให้หนุ่มเอิร์ธและครอบครัวเกิดความประทับใจ และเขาเริ่มต้นสานสัมพันธ์กับเธอ

เอิร์ธตัดสินใจโทรศัพท์หาเปาวลีผ่านแม่ของเธอเพื่อทำความรู้จักและขอเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัว แต่สาวเปาวลีกลับเลือกให้เฟซบุ๊กส่วนตัวเพื่อพูดคุยกัน หนุ่มเอิร์ธเล่าว่า “ตอนนั้นมันมีเฟซบุ๊ก มีบีบีพิน แต่ยังไม่มีไลน์ เราคุยกันทางเฟซบุ๊กสักพักหนึ่ง ก่อนเอิร์ธจะกลับไปอเมริกาถึงค่อยขอบีบีพิน หลังจากนั้นถึงได้เบอร์ครับ” สาวเปาวลีเล่าเสริมว่า “เป็นปีกว่าที่เราจะได้คุยกันทางโทรศัพท์ เพราะตอนนั้นเราเป็นเด็กที่อยู่กับพ่อแม่มาตั้งแต่เล็กๆ ไม่ค่อยมีใครมาจีบ พอเราได้คุยกับเขา เราก็ต้องศึกษาก่อน เพราะเราเจอหน้าเขาแค่แวบเดียว เราเลยต้องให้เฟซบุ๊กเพื่อเข้าไปดูโปรไฟล์ของเขาว่า มีแฟนหรือยัง ใช้ชีวิตยังไง” (หัวเราะ)

ใช่ว่าช่วงแรกาสาวเปาวลีจะยอมเปิดใจให้เขาเต็มที่ เพราะด้วยอาชีพนักร้อง นักแสดงในวงการบันเทิง ทำให้เธอรู้สึกกังวลกับความรักครั้งนี้ เปาวลีเล่าว่า “ตอนที่รู้ว่าเขามาจีบ ก็รู้สึกดีที่ได้คุยกัน เพราะรู้สึกสบายใจตั้งแต่แรก แต่ด้วยความที่เราเป็นนักร้องแล้วสมัยนั้นโซเชี่ยลยังไม่เปิดกว้างเท่าตอนนี้ เราเลยยังมีความคิดแบบหัวโบราณอยู่ว่า เป็นนักร้องแล้วห้ามเปิดตัวแฟนหรือห้ามมีแฟนนะ เลยไม่กล้าเปิดใจมากเท่าไหร่”

 

 

อุปสรรคของรักเรา

สำหรับนักร้องสาวเปาวลีกับหนุ่มเอิร์ธ เรียกได้ว่าเป็นคู่ที่ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมาย ตั้งแต่หนุ่มเอิร์ธต้องกลับไปเรียนต่อที่อเมริกาในช่วงที่กำลังเริ่มต้นสานสัมพันธ์ จึงเกิดความห่างไกลและความยากลำบากที่ต้องสื่อสารกันผ่านออนไลน์เพียงอย่างเดียว รวมทั้งเวลาของประเทศที่ไม่ตรงกัน  “เอิร์ธกลับเมืองไทยปีละครั้ง กว่าจะได้เป็นแฟนกันก็คุยกันหนึ่งปี ความยากคือเอิร์ธอยู่ที่อเมริกาซึ่งเวลาต่างจากไทย 12 ชั่วโมง ถ้าที่อเมริกาเที่ยงคืน ที่ประเทศไทยคือเที่ยงวัน มันมีช่วงเวลาเหลื่อมกันอยู่ เพราะเอิร์ธต้องไปเรียน เขาก็ออกไปทำงาน ที่จริงแล้วเป็นข้อดีที่เราอยู่ไกลกันเลยทำให้ลงตัว ถ้าเราอยู่ประเทศเดียวกัน เอิร์ธว่าเราอาจเดินทางมาไม่ถึงจุดนี้ก็ได้”

ยิ่งใกล้เหมือนยิ่งไกล

นอกจากรักทางไกลแล้ว การกลับมาพบกันที่เมืองไทยก็ยังมีอุปสรรคอีกเช่นกัน เพราะยิ่งอยู่ใกล้เหมือนยิ่งไกล เพราะไม่สามารถเปิดเผยความสัมพันธ์นี้ได้นานกว่า 4 ปี ฝ่ายภรรยาสาวพูดถึงความรู้สึกครั้งนั้นว่า “การอยู่ไกลกัน เปาคิดว่าไม่ยาก แต่การที่อยู่ใกล้กัน เวลาเขากลับมาแล้วเราทำตัวไม่ถูก มันยากกว่าเยอะ ตอนนั้นยังกลัวปาปารัซซี่ (หัวเราะ) เราไปดูหนังด้วยกัน แต่หนูชวนเพื่อนไปหลายคน แล้วเราก็นั่งคนละแถวกับเอิร์ธ” ด้านสามีหนุ่มเสริมต่อ “พอกลับมาเจอกันที่เมืองไทย เราเและเขาก็ทำตัวลำบากเพราะเปิดเผยไม่ได้ เราไม่ได้ทะเลาะกันแต่น้อยใจ เพราะรู้สึกอึดอัดมาก เราอยู่ในสังคมแบบฝรั่งที่เปิด ไปเที่ยวก็เดินจับมือ แต่สำหรับเขามันตรงข้ามกัน เราไม่ชิน แต่พอเข้าใจอยู่บ้างว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ เพราะพ่อกิ๊กก็เคยเตือนเราเรื่องงานวงการบันเทิงแล้ว แต่เราก็คิดว่าคงทำได้แหละ” ส่วนฝ่ายภรรยาสาวที่ฟังอยู่ข้างกายเสริมว่า “เขาน้อยใจเรา เราก็น้อยใจตัวเองที่เรารักเขานะ แต่ไม่รู้จะทำยังไง เพราะเราก็ต้องรักษาอาชีพของเราไว้เพื่อครอบครัวด้วยค่ะ”      

เมื่อความน้อยใจและอึดอัดใจถูกสั่งสมไว้นานวันเข้า ทั้งคู่เลยตัดสินใจเลิกกันสักพัก แต่เพราะความรักและความคิดถึงจึงกลับมาคบกันอีกครั้ง “ล่าสุดที่เอิร์ธกลับไปเรียนตอนปี 3 ปี 4 แล้วกลับมา เรานัดดูหนังกัน หนูพาพี่ไปด้วยสองคน แต่เอิร์ธไปคนเดียว วันนั้นเราทำเป็นไม่รู้จักเขาเพื่อจะได้เดินเข้าโรงหนังพร้อมกัน เราเป็นคนขี้ระแวงมาก พอออกมาจากโรง ต่างคนต่างนิ่งแล้วแยกย้ายกันกลับบ้าน เราก็กลับมาทบทวนเรื่องราวว่า เราต่างอึดอัด ถ้าการคบกันของเรานั้นยากมากก็ไม่ต้องคุยกันดีไหม พอเลิกกันวันนั้นเขาก็กลับอเมริกา ผ่านไปไม่กี่วันเขาก็ส่งข้อความมาว่า คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว กลับมาคุยกันนะ” 

 

 

วันที่หัวใจเราพร้อม

หลังจากกลับมาคบกันอีกครั้งด้วยความเข้าใจและได้เวลาเปิดเผยเรื่องนี้ให้ทุกคนได้รับรู้ ความกังวลใจอันหนักอึ้งจึงหายไป คนรอบข้างต่างยินดีกับทั้งคู่ นักร้องสาวลูกทุ่งยิ้มเล็กน้อยก่อนตอบ “จำได้ว่าหนูตัดสินใจบอกพี่ๆ นักข่าวก่อนเอิร์ธจะกลับมา เราก็พูดความจริงเพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด พูดจากใจจริง อะไรจะเกิดเราก็ต้องยอมรับให้ได้ หลังจากที่บอกทุกคนไปแล้วเราโล่งใจมาก แล้วหนูก็โทร.บอกเอิร์ธว่าบอกพี่ๆ นักข่าวแล้วนะ เปิดตัวได้แล้ว” สิ้นประโยคที่เธอเอ่ย เราสัมผัสได้ถึงความดีใจและความสุขจากเหตุการณ์ครั้งนั้น จนอดยิ้มและแสดงความยินดีกับความรักของสองคนนี้ไม่ได้จริงๆ

 

กฎเกณฑ์ของความรัก

ด้วยความหวงลูกสาวของครอบครัวฝ่ายหญิง ทำให้เทั้งสองต้องปฏิบัติตามกฎของความรักและช่วยประคับประคองกันให้ผ่านด่านนี้ไปได้ ช่วงแรกคบนั้นเวลาไปกินข้าวด้วยกัน สาวเปาวลีจะต้องกลับถึงบ้านตอน 6 โมงเย็น เธอบอกด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “ครอบครัวหนูหวงลูกสาวเพราะเป็นนักร้องแล้วก็ยังเด็กด้วย เวลาเอิร์ธมารับที่บ้านเพื่อพาไปกินข้าว เขาต้องขออนุญาตก่อน ทุกคนก็ทำเป็นนิ่งเฉย ไม่พูดอะไร (หัวเราะ) เราขอโทษเขาแล้วบอกว่าแรกๆ ก็เป็นอย่างนี้แหละ ขอโทษแทนพ่อแม่ด้วยที่ยังไม่ยอมรับ ตอนนั้นเอิร์ธก็พูดกับเราเองว่า ไม่เป็นไรหรอก ให้พ่อแม่ได้เห็นว่าเขาเป็นคนยังไง” 

“เอิร์ธรับได้เพราะกฎก็ต้องเป็นกฎ บ้านเขามีกฎแบบนี้เราต้องทำตาม เพราะบ้านเราก็มีกฎเหมือนกัน เรารักลูกสาวเขา เราก็ต้องทำตามกฎที่เขาบอกให้ได้สิ ผมพาเปากลับถึงบ้าน 6 โมงตรง ไม่เคยมาช้ากว่านั้นเลย” 

 

 

อยู่ก่อนแต่งหรือแต่งก่อนอยู่

เมื่อเข้าสู่ประตูวิวาห์ตามขนบธรรมเนียมประเพณีอย่างที่ทั้งสองครอบครัวหวังไว้ เราจึงซักถามถึงข้อดี-ข้อเสียของการอยู่ก่อนแต่งและแต่งก่อนอยู่ ภรรยาสาวให้ความเห็นว่า “แม่บอกว่าให้เราแต่งก่อนแล้วค่อยอยู่ด้วยกัน เป็นประเพณีของบ้านเรา หนูมีความรู้สึกว่า สมัยนี้คนชอบอยู่ก่อนแต่งเพื่อศึกษากันก่อน แต่ละบ้านอาจจะเคร่งมาก เคร่งน้อย หรือไม่เคร่งเลย หนูว่ามีค่าเท่ากันในการใช้ชีวิตร่วมกัน แต่การแต่งก่อนอยู่นั้นเป็นการให้เกียรติครอบครัวมากกว่า” และเมื่อถามถึงการใช้ชีวิตหลังแต่งงาน พวกเขาเล่าว่ามีการดูแลกันมากขึ้น เช่น ทำอาหารให้กิน ดูแลตอนไม่สบาย แสดงความห่วงใย รวมถึงเรื่องการนอนละเมอของสามีหนุ่มซึ่งถือเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้และปรับตัวร่วมกัน

 

เย็นเหมือนฟัก หนักเหมือนหิน

เอิร์ธและเปาวลีวางแผนสร้างอนาคตทำธุรกิจร้านอาหารร่วมกัน ทั้งยังนำคำสอนจากผู้ใหญ่มาปรับใช้เพื่อแก้ไขปัญหาชีวิตด้วย เปาวลีเล่าด้วยรอยยิ้ม “อย่างที่พ่อกิ๊กบอกในวันส่งตัวเข้าหอว่า ‘ให้เย็นเหมือนฟัก หนักเหมือนหิน’ คือให้เราทั้งคู่ใจเย็น มีอะไรก็จับมือคุยกัน และหนักแน่น นับเป็นคำสอนที่สั้น ได้ใจความ และนำมาใช้ได้จริง” เอิร์ธเสริมว่า “ถ้าตัดสินใจเรื่องใดร่วมกันแล้วก็ต้องยอมรับสิ่งที่ได้ตัดสินใจไป เพราะเราคือทองแผ่นเดียวกัน เราตกลงกันแล้วว่าเราจะจับมือเดินไปทางนี้ด้วยกัน”

หากพูดถึงความประทับใจ สาวเปาวลีบอกว่า “พอได้สัมผัสตัวตนของเขา เรารู้สึกว่าเขาเชื่อใจได้ ไม่มีอะไรปิดบัง เป็นคนพูดตรงๆ เสมอต้นเสมอปลาย พอแต่งงานกันก็รู้สึกว่าเขามีความรับผิดชอบและดูแลเรามากขึ้น คอยให้คำปรึกษา ถึงวันนี้ก็รู้สึกได้ว่าเรารักกันมากขึ้นด้วย” เอิร์ธบรรยายความรู้สึกว่า “พื้นฐานของเปาเป็นคนรักครอบครัว แล้วเอิร์ธก็ถูกปลูกฝังว่า คนเราควรรักครอบครัวก่อน เมื่อมีครอบครัวของตัวเองคนคนนั้นก็จะทุ่มเทเต็มที่เช่นกัน เปารักครอบครัวของเขาและของเรา แค่นี้พอแล้วสำหรับความต้องการของเอิร์ธในชีวิตนี้ ที่สำคัญคือเขานิสัยดี ขยันทำงาน เคารพเชื่อฟังพ่อแม่ของเขาและเรา รักพ่อแม่เราเหมือนเป็นพ่อแม่ตัวเอง และเข้ากับเพื่อนของเราได้” 

หลักคิดของรักที่มั่นคง

เมื่อขอให้ทั้งสองแบ่งปันหลักคิดในการใช้ชีวิตคู่ สาวเปาวลีบอกว่า “แต่ละคนมีความรักที่ไม่เหมือนกัน เรื่องรักแท้แพ้ระยะทางหรืออะไรก็แล้วแต่ ถ้าเรามีความมั่นคงจริงๆ ไม่ไขว้เขว ย่อมสามารถผ่านพ้นไปได้ และการที่เราศึกษาใครคนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่ดี หากยังมีเวลาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันได้ก็ควรทำ แต่ถ้าตกลงใช้ชีวิตร่วมกันแล้วก็ให้มั่นคงกันต่อไป หนูคิดว่าสไตล์ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันปรับ”

หนุ่มเอิร์ธให้คำแนะนำว่า “ในมุมมองของเอิร์ธ สังคมผู้ชายถ้าหาคู่จะเริ่มจากหน้าตาก่อน เบื้องหลังค่อยว่ากัน แต่เอิร์ธว่าจริงๆ แล้วเราควรดูที่แบ็คกราวด์เขาก่อนว่า รักครอบครัวหรือเปล่า เขาดูแลพ่อแม่ดีไหม คุยกับพ่อแม่ด้วยคำพูดแบบไหน นั่นเป็นสิ่งที่บ่งบอกว่าผู้หญิงคนนี้ดีหรือเหมาะกับเราหรือเปล่า หน้าตาเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่พื้นฐานนิสัยเป็นสิ่งสำคัญ จริงๆ แล้วทุกคนเป็นคนดี แต่ถ้าต้องเลือกคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิต เขาต้องยอมรับเรา ยอมรับพ่อแม่เราได้ และที่สำคัญคือยอมรับทางบ้านตัวเองให้ได้ก่อน”