'ใบเฟิร์น' อัญชสา

: เข้าใจรักแบบปกติใหม่

ใช้ชีวิตแบบ New Normal

INTERVIEW
08 SEP 2020

เรื่อง
วรุณพร

ภาพ
อนุชา ศรีกรการ


INTRO

เมื่อโรคภัยส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความรัก การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ชีวิตและความรักอยู่รอดปลอดภัยในยุค New Normal หรือความปกติในรูปแบบใหม่

ใบเฟิร์น-อัญชสา ก็ต้องปรับตัวปรับใจให้ก้าวผ่านความเหงาในช่วงกักตัวเช่นกัน

ฮักขอชวนคุณเรียนรู้เรื่องรักผ่านประสบการณ์ชีวิตของเธอคนนี้


ความผูกพันในวัยเยาว์

ฮักเชื่อในทฤษฎีความผูกพัน (attachment theory) จึงขอเริ่มบทสนทนากับใบเฟิร์น-อัญชสาด้วยเรื่องราวชีวิตวัยเด็ก

เธอเติบโตในครอบครัวที่อบอุ่นด้วยการเลี้ยงดูของคุณพ่อ คุณแม่ และคุณย่า ใบเฟิร์นเผยรอยยิ้มสดใสก่อนเล่าว่า “เฟิร์นเป็นเด็กแสบของครอบครัว พ่อแม่ตามใจแต่ไม่ได้สปอยด้วยการซื้อของทุกอย่างให้ ใช้ชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย แม่สอนเฟิร์นให้รู้จักคุณค่าของเงิน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยแม่ให้เฟิร์นเก็บเงินซื้อรถคันแรกด้วยตัวเอง ทุกวันนี้เฟิร์นเลยหาเงินเก่ง เก็บเงินเก่ง และรู้คุณค่าของเงิน”

เมื่อถามถึงแรงสนับสนุนจากครอบครัวที่ผลักดันให้เธอได้ทำในสิ่งที่ใจรัก ใบเฟิร์นตอบด้วยประกายตาแสนสุขว่า “บางครอบครัวอาจไม่สนับสนุนให้ลูกเข้าวงการบันเทิง แต่เฟิร์นกล้าแสดงออกและเรียนการแสดงมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ให้เฟิร์นทำในสิ่งที่รัก แม้ดูไม่มีแววว่าจะเดินบนเส้นทางบันเทิงมาไกลถึงทุกวันนี้ แต่เขาก็สนับสนุน ตอน ม.ปลาย หลังเลิกเรียน แม่ก็มารับไปแคสท์งานโฆษณา บางวัน 2-3 งาน กว่าจะเสร็จก็ 3-4 ทุ่ม เขาสนับสนุนเรามากจริงๆ ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเราเลือกเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ พ่อแม่ก็ไม่เคยห้าม เฟิร์นเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความเก่งในแต่ละด้านที่แตกต่างกัน หากรู้ว่าลูกชอบอะไรควรผลักดันไปให้สุดกำลังบนเส้นทางนั้น”

จากลักษณะความสัมพันธ์ในครอบครัวของสาวใบเฟิร์น อาจวิเคราะห์โดยสังเขปได้ว่า ความผูกพันในวัยเด็กส่งผลให้เธอเป็นคน “เชื่อมั่นในความรัก” (secure type) ซึ่งคนกลุ่มนี้เติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่เอาใจใส่อย่างเต็มที่ ไม่เคยทำให้รู้สึกขาด จนกลายเป็นลักษณะนิสัยประจำตัว มองโลกในแง่ดี เห็นคุณค่าในตนเอง และให้ความสำคัญแก่การเป็นตัวของตัวเอง มาติดตามกันว่าจะตรงตามการวิเคราะห์นี้มากน้อยแค่ไหน

รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป

ประเด็นที่ฮักไม่อาจมองข้ามคือเรื่องราวความรักของสาวใบเฟิร์นที่เพิ่งจบลงเมื่อต้นปี 2563 จึงต้องขอให้เธอช่วยบอกเล่าสักนิดว่า ความรักครั้งนี้เธอได้บทเรียนสอนใจใดบ้าง “เราคบกันมาประมาณ 2 ปีกว่า รักครั้งนี้สอนให้เฟิร์นรู้ว่า การเลิกรานั้นไม่มีใครผิดหรือถูก เขาไม่ได้ทำอะไรแย่ เราแค่ไม่ได้รักกันในแบบคนรักอีกต่อไปแล้ว ไม่มีใครทำอะไรผิด เราต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นและจบลงด้วยดี ก่อนจบความสัมพันธ์ครั้งนี้เฟิร์นคิดหนักมาก เพราะไม่มีใครผิดและไม่มีเรื่องผิดใจกัน การเลิกกันของเราไม่มีวี่แววเลย เพื่อนทุกคนก็แปลกใจเพราะไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต ความชอบของเรานั้นเหมือนกันมากจนทุกคนสงสัยว่าเลิกกันทำไม ทุกวันนี้เรายังรักและห่วงใยกัน มีอะไรก็ไลน์หากัน แค่ไม่ได้อยู่ในสถานะเดิม แต่เป็นความสบายใจของเราทั้งสองคน

“อีกอย่างคือถ้าตอนนี้เรายังมองภาพในอนาคตแบบคนรักไม่ออก ภาพการใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันย่อมไม่ชัดเจน สู้เดินออกมาจากความสัมพันธ์ตอนนี้ดีกว่า เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า ให้ความสัมพันธ์จบลงที่คนสองคน เพราะถ้าความรักไม่เหมือนเดิมจะมีบุคคลที่สามเข้ามาแทรก เราจะรอให้ถึงวันนั้นแล้วค่อยเลิกกันเหรอ จบกันด้วยดีแบบนี้ดีกว่าปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นในความสัมพันธ์ ลองลดสถานะทั้งที่ยังรักและเป็นห่วงกัน มีอะไรยังปรึกษากันได้ ดีกว่าทะเลาะจนมองหน้ากันไม่ติด ช่วงเวลาที่ดีของเรานั้นมีเยอะ เราสนิทกับครอบครัวเขามาก แค่ตอนนี้เราไม่ได้เจอกันหรือคุยกันทุกวันเท่านั้นเอง”

New Normal: New Bifern

ไม่อยากเชื่อเมื่อสาวสวยนัยน์ตาคมคนนี้บอกเราว่า เธอเป็นคนรักที่นิสัยไม่ดีมาก่อน “เฟิร์นเคยเป็นคนใจร้อน ใช้คำพูดไม่ดีทำให้คนอื่นเสียใจ เพราะแค่อยากเอาชนะ จนได้เรียนรู้ว่าเราชนะแค่วินาทีนั้นแต่โดยรวมกลับพ่ายแพ้ เพราะเรามีส่วนทำให้ความสัมพันธ์นั้นมีรอยร้าวจนพังทลายในที่สุด ความใจร้อนของเราทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก ส่งผลกระทบระยะยาว นำไปสู่จุดจบของความสัมพันธ์ เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่าทำไมเราเป็นคนรักที่ใจร้ายขนาดนั้น

“ทุกวันนี้เฟิร์นเป็นคนใจเย็นมากเมื่อเทียบกับคนเดิมในอดีต ก่อนนี้แม่เคยบอกว่า ‘ถ้าอยากคบใครนานๆ ก็เลิกเอาแต่ใจได้แล้ว ใจเย็นซะบ้าง’ แต่ทุกวันนี้เฟิร์นใจเย็นมาก (ลากเสียงยาว) จนคนในครอบครัวรับรู้ได้ และไม่คิดว่าเฟิร์นจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ เฟิร์นเคยเป็นคนนิสัยไม่ดีจนสูญเสียคนที่ดีมากคนหนึ่งในชีวิตไป หลังจากนั้นก็เปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอด ไม่ใช่ทำได้ในทันทีหรือเป็นคนดีอะไรขนาดนั้น แต่ค่อยๆ เรียนรู้และพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ ยังมีจุดบอดเล็กๆ น้อยๆ

“มุมมองที่มีต่อความรักของเฟิร์นเปลี่ยนไปเยอะนะ ยิ่งตอนนี้เหมือนเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต ตอนที่เรายังเด็กกว่านี้ เราเป็นคนใจร้อน อีโก้สูง เป็นคนรักที่นิสัยไม่ดี เฟิร์นเรียนรู้ทุกครั้งหลังจบความสัมพันธ์ ได้ทบทวนตัวเองว่าเราทำผิดอะไร ได้รับบทเรียนอะไรจากรักครั้งนี้ พยายามปรับปรุงตัวเองอยู่เรื่อยๆ ต่อจากนี้เฟิร์นจะเป็นคนรักที่ดี ถ้าต้องสูญเสียอีกครั้งจะไม่เสียใจถึงขนาดนั้นแล้ว ก่อนนี้เฟิร์นทุ่มเทให้แก่ความรักมาก พอผิดหวังก็ฟูมฟายมากเช่นกัน แต่ ณ ตอนนี้กลับรู้สึกว่า ถ้าเราทำดีมากพอมาตลอดความสัมพันธ์ ในวันที่ต้องเลิกรากันเราคงเสียใจแต่ไม่ฟูมฟายมาก เพราะเรียนรู้แล้วว่าสุดท้ายมันก็เท่านี้เอง”

ก้าวข้ามความเหงาในยุค New Normal

ความเหงานั้นไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 เข้ามากระทบการใช้ชีวิต ความเหงายิ่งชัดเจนขึ้นกว่าที่ผ่านมา แล้วสาวใบเฟิร์นมีวิธีจัดการความเหงาในยุค New Normal อย่างไร “ตอนนี้ไม่ได้คุยกับใครเป็นพิเศษเลย บางทีก็รู้สึกเหงา เพื่อนเคยบอกว่า ให้กลับมารักตัวเองก่อน เห็นคุณค่าในตัวเอง ตอนแรกเฟิร์นไม่เข้าใจจริงๆ เพราะรู้สึกว่ารักตัวเองอยู่แล้ว แต่เมื่อมีประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้น จึงเรียนรู้ว่าที่ผ่านมาเราไม่ได้รักตัวเอง เพราะเรายอมให้ตัวเองอยู่ในความสัมพันธ์ที่ร้องไห้ทุกวัน ไม่มีความสุข จนไม่มั่นใจในตัวเอง

“ถ้าเป็นก่อนเกิดโรคโควิด-19 เราคงหากิจกรรมทำเพราะมีเพื่อนหลายกลุ่ม ชวนกันไปกินข้าว เล่นบอร์ดเกมส์ แต่การจะผ่านพ้นความเหงาในช่วงกักตัวแบบนี้อาจเป็นเรื่องยากสักหน่อย ช่วงนี้เฟิร์นใช้เวลาดูซีรี่ส์ ฟังเพลง แต่มีบางคืนที่เราก็งงว่าทำไมถึงเหงาขนาดนี้ ทำไมคืนนี้ถึงเงียบจังเลย จะเปิดเพลงก็ไม่อยากฟัง จะเปิดซีรี่ส์ก็ไม่อยากดู แต่ยังรู้สึกเหงา สิ่งที่ทำได้คือแค่รับรู้ว่ากำลังเหงา แล้วบ่นกับตัวเองว่า เหงาจังเลย ไปนอนดีกว่า (หัวเราะ) พอข่มตานอนแล้วตื่นมาความเหงาก็หายไป เรายินยอมให้ตัวเองเหงาจนหลับไปดีกว่าอยู่ในความสัมพันธ์ที่ทำให้ร้องไห้จนนอนไม่หลับ

“แม้เฟิร์นเป็นคนที่มีกิจกรรมเยอะแต่เรื่องความเหงานั้นห้ามกันไม่ได้จริงๆ มีบ้างที่รู้สึกว่าไม่อยากอยู่คนเดียว โทร.หาเพื่อนทุกคน แต่พอทุกอย่างลงตัวก็รู้สึกดีขึ้น ทุกวันนี้เฟิร์นพยายามหากิจกรรมทำ เช่น ทำอาหารไปแจกให้คนที่ต้องการ ก็ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น ได้เห็นว่าตัวเองมีคุณค่า ทำให้คนอื่นมีความสุข ช่วยให้เขาอิ่มท้องได้”

แชร์ข้อคิดความรัก

เมื่อเราให้ใบเฟิร์นฝากแง่คิดดีๆ เธอก็แชร์ไว้อย่างคนเข้าใจชีวิต “คนมีคู่ถ้ามีคนดีอยู่ข้างกายแล้ว อยากให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะได้เจอคนดีๆ จงรักษาความรักไว้ให้ดี อย่าทำเหมือนเฟิร์นที่คิดว่าตัวเองมีคนรักที่ดีแล้วคิดว่าเขาจะต้องทนเราได้ ไม่หนีเราไป ไม่อยากให้คุณคิดแบบนั้น เพราะทุกคนมีขีดจำกัด ถ้ามีคนดีๆ อยู่เคียงข้างแล้วก็ต้องรักษาเขาไว้ให้ดี

“ส่วนใครที่อยู่ในความรักที่ไม่ดี เฟิร์นอยากบอกว่า เดินออกมาเถอะ มีแฟนคลับมาปรึกษาว่าเดินออกมาจากความรักที่ไม่ดีไม่ได้ มันเป็นเรื่องยาก เฟิร์นเองก็เคยเป็นคนที่ต่อให้ใครบอกว่าต้องเลิกก็ทำไม่ได้ แต่คุณจะเสียเวลารักคนที่ใจร้ายกับคุณไปทำไม เดินออกมาเถอะ เมื่อคุณเจอคนที่เขาทำดีกับคุณ คุณจะรักเขาและมีความสุขได้มากกว่าทุกวันนี้ที่ทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ดีแน่นอน

“สำหรับคนโสดคงมีคนที่กำลังรู้สึกเหงาจนฉุกคิดว่า ‘อยากมีแฟนจังเลย’ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด เฟิร์นเองก็อยากมีแฟน แต่ถ้าจะมีแฟนเพราะความเหงา เฟิร์นว่ายอมอยู่กับความเหงาแล้วหลับไป ดีกว่าร้องไห้จนนอนไม่หลับแล้วตื่นมาก็มีเรื่องให้ร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะคุณยังไม่พร้อมมีใคร อย่ามีความรักเพราะเหงา เป็นอีกข้อที่เฟิร์นต้องเตือนตัวเองเช่นกัน เฟิร์นเรียนรู้แล้วว่ารีบร้อนมากไปไม่ดีเลย แม้วันนี้จะเหงามากแค่ไหนก็จะไม่มีแฟน ถ้าไม่เจอคนที่คู่ควรกับความรักของเราจริงๆ”

อย่างที่ใบเฟิร์นบอก “ความรักไม่ใช่เรื่องง่าย” ช่วงเวลาที่เศร้าเสียใจนั้นช่างยาวนานและแสนยากเย็น หากเราค่อยๆ เรียนรู้ ยอมรับ ปรับตัว และรักตัวเองให้มากพอ ย่อมช่วยให้ชีวิตมีความสุขได้ไม่ว่าในยุคนี้หรือยุคไหน คุณว่ามั้ย

  Hug magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 7

(15 กรกฎาคม-14 กันยายน 2563)