“Mozart’s Requiem Mass”

เราเดินทางถึงเมืองนี้ในเวลาบ่าย หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ การผจญภัยในนครหลวงแห่งยุคบาโรกก็เริ่มขึ้น.

 

     เมืองซาลซ์บูร์กตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรีย เป็นเมืองแห่งศิลปะและสถาปัตยกรรมจนได้ฉายา “นครหลวงเเห่งยุคบาโรก” ซาลซ์บูร์กร่ำรวยจากการค้าเกลือตั้งเเต่ยุคโบราณ เป็นที่มาของชื่อ Salzburg ซึ่งแปลว่า ปราสาทเกลือ เมืองซาลซ์บูร์กแบ่งออกเป็น 2 เขต คือ เขตเมืองเก่าซึ่งได้รับการคัดเลือกจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก และเขตเมืองใหม่ซึ่งเป็นย่านธุรกิจและการค้าที่สำคัญอีกเมืองหนึ่งของประเทศออสเตรีย โดยมีแม่น้ำซาลซัคไหลผ่าน

 

   

การเดินทางภายในเมืองค่อนข้างสะดวกสบาย มีรถรางไฟฟ้าคอยให้บริการ และค่อนข้างจะตรงเวลา เราเลือกเดินลัดเข้าสู่เขตเมืองเก่า จุดแรกที่เรารีบมุ่งหน้าตรงไปคือสวนมิราเบลล์ หรือสวนแห่งความสุข ตั้งอยู่ภายในพระราชวังมิราเบลล์ สวนแห่งนี้แสดงถึงการจัดสวนแบบยุโรปในสไตล์สวนบาโรกได้อย่างลงตัว มีการปลูกดอกไม้สีสันสดใสไว้กลางสวน ล้อมรอบด้วยสนามหญ้าและไม้ยืนต้นสีเขียว มีโลหะหล่อรูปม้าเพกาซัส ประดับเป็นไฮไลท์อยู่ใจกลางน้ำพุ

 

  สวนแห่งนี้เคยเป็นฉากในภาพยนตร์เรื่องโด่งดัง The Sound of Music จนดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้หลั่งไหลไปตามรอยภาพยนตร์ เราเองก็ไม่พลาดที่จะตามถ่ายภาพ ในมุมเดียวกันกับฉากภาพยนตร์ เมื่อเราถึงจุดที่มองลงไปเห็นฉากมาเรียพาเด็กๆ เต้นรำรอบน้ำพุ ในเพลง “Do Re Mi” มองสูงขึ้นไป เราก็จะเจอกับฉากหลังของสวน เป็นป้อมปราการขนาดใหญ่

 

   

สุดเขตสวนมิราเบลล์เดินต่อขึ้นไปอีกนิด ข้ามแม่น้ำซาลซัคสีเขียวมรกต เพื่อเยี่ยมเยือนบ้านสีเหลืองหมายเลข 9 จุดหมายปลายทางที่ห้ามพลาดของการมาเมืองนี้ บ้านโมสาร์ทหรือพิพิธภัณฑ์โมสาร์ทเกบูร์ตสเฮาส์ เป็นบ้านซึ่งโมสาร์ทคีตกวีของโลกถือกำเนิด ครอบครัวของโมสาร์ทอาศัยอยู่ที่นี่จนเขามีอายุ 17 ปี ภายในจัดแสดงเอกสารต้นฉบับ มีห้องสำหรับนั่งฟังเพลง และจัดแสดงเครื่องดนตรี ภาพวาด ที่เกี่ยวกับประวัติชีวิตและผลงานของโมสาร์ท

 

   

     เดินต่อไปยัง ถนนเกไทรเด้ ถนนสายคลาสสิคแห่งหนึ่งของโลก ปัจจุบันเป็นย่านช้อปปิ้ง ร้านค้าแบรนด์เนม ร้านขายของที่ระลึก สินค้ายอดนิยมของเมืองคือ ช็อคโกแลตลูกบอลโมสาร์ท ที่ต้องซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านกันเกือบทุกคน เอกลักษณ์อย่างหนึ่งของร้านรวงในย่านนี้คือ ป้ายชื่อหน้าร้านที่ตกแต่งประดับอย่างวิจิตรอลังการ แค่เดินชมป้ายเท่านั้น ก็ถึงกับเมื่อยคอกันเลยทีเดียว

 

ชื่นชมความงามของเมืองมาเรื่อยๆ จนหยุดอยู่ตรงหน้า มหาวิหารซาลซ์บูร์ก ศาสนสถานขนาดใหญ่คู่เมืองอายุหลายร้อยปี เมื่อก้าวเข้าสู่ภายในมหาวิหาร เสียงเพลงจากออร์แกนดังกระหึ่มไปทั่วทั้งโบสถ์ ภายในมหาวิหารตกแต่งอย่างหรูหราตามอย่างศิลปะเเบบบาโรก ภาพวาดและประติมากรรมที่สร้างสรรค์โดยนักบุญและศิลปินชื่อดัง แสดงให้เห็นพลังศรัทธาทางศาสนาที่มีอย่างไม่เสื่อมคลาย มหาวิหารแห่งนี้เป็นสถานที่แรกซึ่งโมสาร์ทบรรเลงบทเพลงที่เขาประพันธ์ขึ้น

 

     รถเคเบิ้ลค่อยๆ เคลื่อนตัว พาเราขึ้นไปยัง ป้อมโฮเฮนซาลซ์บูร์ก จุดสูงสุดของเมืองนี้ ป้อมโฮเฮนซาลซ์บูร์กตั้งตระหง่านอยู่บนยอดเขา เป็นจุดที่สามารถมองออกไปได้ทุกทิศทาง เป็นป้อมซึ่งคงสภาพสมบูรณ์มากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก แม้ว่าสร้างมากว่า 500 ปีแล้ว พื้นที่ภายในป้อมกว้างใหญ่ มีห้องหับมากมาย เคยใช้เป็นที่พักของบาทหลวง คุกใต้ดิน ปัจจุบันได้รับการปรับปรุงเสมือนพิพิธภัณฑ์เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินชม

 

สองเท้าขึ้นไปยังจุดชมวิวของเมือง ภาพเบื้องหน้าช่างตรึงตาจนเรายืนตะลึงอยู่ตรงนั้นนานหลายนาที พระอาทิตย์ใกล้ตกดิน แสงสีส้มจากขอบฟ้ายิ่งทำให้ภาพเบื้องหน้ายิ่งขึ้น พระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้าไปพร้อมกับแสงสุดท้าย ความมืดกำลังครอบคลุมทั่วบริเวณ ถึงเวลาที่เราต้องจากป้อมเเห่งนี้แล้ว ก่อนอำลาเมืองคลาสสิคแห่งนี้ด้วยความอาลัยในเช้าวันรุ่งขึ้น.

 

HUG MAGAZINE

‘พาหัวใจไปเที่ยว’

น้องฟาง.