เมื่อหนุ่มเพลย์บอยไม่เชื่อในรัก ต้องมาตกอยู่ในสูตรซ้ำๆ ของความรัก

หัวข้อหนึ่งที่เราและคนรักหนังรอมคอมรอบๆ ตัวคุยกันอยู่บ่อยครั้งคือ ประเด็นความซ้ำซากและสูตรสำเร็จในหนังประเภทนี้

หากจะมีหนังประเภทไหนโดนโจมตีเรื่องสูตรเดิมๆ มากที่สุดก็ต้อง “โรแมนติก-คอมเมดี้” นี่ละค่ะ ที่โดนค่อนแคะประจำว่าก็เนื้อเรื่องแบบเดิมๆ ยังจะฟินซ้ำไปซ้ำมาอยู่ได้ ไร้สาระจริงๆ (ฮ่าๆ)

มนุษย์ผู้ดูแต่หนังรักเป็นหลักอย่างเรา รู้ชัดและนึกออกว่า “สูตร” และ “ความซ้ำ” นั้นคืออะไร แต่นึกไม่ออกว่าแล้วจะทำยังไงไม่ให้ซ้ำ มีแง่มุมไหนที่ยังหลงเหลืออยู่อีกบ้าง จะเดินเรื่องยังไง อุปสรรคแบบไหน ถ้าไม่จบลงที่วิ่งตามไปคลี่คลายความเข้าใจผิดที่สนามบินแล้วทำยังไง จะให้ไปที่สถานีรถไฟ หรือศูนย์ขนส่งฯ แทนก็คงจะไม่ช่วยในจุดนี้ : ) หรือจริงๆ แล้วจะซ้ำหรือไม่ซ้ำนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่อยู่ที่ว่าหนังนั้นสร้างความเชื่อได้แค่ไหนหรือเปล่า

เมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้เราเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะประเด็นนี้

Playing It Cool ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มนักเขียนบทภาพยนตร์คนหนึ่ง ผู้ซึ่งไม่เชื่อในรักแท้ ทำตัวเป็นเพลย์บอยไม่เคยปล่อยให้ตัวเองลงลึกในความสัมพันธ์ เขากำลังคันไม้คันมืออยากเขียนบทหนังบู๊ แต่ตอนนี้ค่ายหนังต้องการหนังรอมคอม จึงได้รับใบสั่งให้เขียนก่อน เพราะพระเอก-นางเอกพร้อมแล้ว ทำสำเร็จเดี๋ยวให้เขียนหนังบู๊ให้หนำใจเลย

ปกติแล้วเวลาเราไม่เชื่อในอะไร แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างผลงานที่ดีออกมาจากสิ่งนั้นได้ ระหว่างที่กำลังหาวิธีแก้ปัญหาก็มาเจอกับสาวทรงเสน่ห์คนหนึ่ง ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเธอไม่เหมือนใคร ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกเลยที่เริ่มลังเลว่า รักโรแมนติกอาจจะมีอยู่จริง สาวเจ้ามีแฟนอยู่แล้ว ทีนี้จะเอายังไงต่อ จะพยายามมั้ย แล้วพยายามแค่ไหน พยายามไปทำไม พยายามอะไร พยายามเป็นเพื่อนหรือเป็นแฟน พอช่วงไหนที่กำลังคิดว่าจะเลิกล้มความตั้งใจ เธอก็ดันโผล่มาให้เห็นตอกย้ำว่า “นี่แกจะปล่อยผู้หญิงคนนี้ไปได้จริงๆ เหรอ”

พล็อตเรื่องยังอยู่ในโซนรอมคอมแบบเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นคือ เรื่องที่ตัวละครไม่เชื่อในรักโรแมนติกต่างหาก คือไม่เชื่อแล้วเขาพูดออกมาเลย พูดออกมาทุกอย่างที่เป็นวัตถุดิบสูตรสำเร็จ พูดแบบชัดแจ้งว่า เออ! รู้แล้วเว้ยเฮ้ย ไม่ต้องมาจิกกัดฉัน ฉันเป็นหนังรอมคอมที่กัดตัวเองให้ดูก่อนตรงนี้นี่แหละที่เราชอบมาก (ฮ่าๆ)

นอกจากเรื่องความซ้ำแล้วยังจิกต่อเล็กๆ ด้วยการเล่าเรื่องลงลึกไปอีกว่า พระเอกนั้นเมื่อเล่าหรือได้ฟังเรื่องอะไรมา จะจินตนาการออกมาเป็นซีนหนัง เลยมีฉากซ้อนให้เห็นหลายซีน ขนาดบอกว่าตัวเองไร้หัวใจ ยังจินตนาการเป็นภาพหัวใจกระโดดออกมาเดินตามข้างนอก หัวใจอันเย็นชา (ที่หน้าตาเหมือนเขานั่นแหละ) ใส่สูทดำสวมหมวกเดินสูบบุหรี่คือกวนมาก บางช่วงก็กัดตัวเองอย่างร้ายกาจทีเดียว

สำหรับเรานั้นหนังใช้รูปแบบการนำเสนอนี้บ่อยเกินไปหน่อย ระหว่างกลางเรื่องหวือหวาสับจังหวะเยอะมาก ตอนท้ายจึงเนือยๆ เหมือนหมดมุก

สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ แก๊งเพื่อนนักเขียนของพระเอก นี่ก็สูตรนะ แก๊งเพื่อนแคแร็กเตอร์จัดช่วยเดินเรื่อง ช่วยตบมุก นับเป็นความคลาสสิก แต่ก็นั่นละค่ะเพราะหนังไม่ได้ปฏิเสธสูตรหรือตั้งโจทย์ว่า “ฉันจะต้องทำให้ทุกอย่างแตกต่าง” ซึ่งเราคิดว่าแบบนี้ดีแล้ว การตั้งป้อมปฏิเสธนั้นไม่ต่างจากการพยายามฉีกออกนอกกรอบนี้ไปสู่กรอบใหม่เท่านั้นเอง

ในพาร์ทความรู้สึก เรื่องนี้ออกแนวดูสนุกมากกว่าลึกซึ้งนะ ไม่ได้ตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบอะไรมากมาย

แต่เสน่ห์ของหนุ่มหล่อของคริส อีแวนส์ ยังใช้การได้อยู่ ส่วนนางเอก-มิเชล โมนาแฮน ส่วนตัวคิดว่าเธอมีคุณสมบัติทุกอย่างที่นางเอกหนังรักต้องการอยู่แล้ว วิธีคิดเรื่องพยายามจะพาตัวเองให้อยู่หรือทำในสิ่งที่ดูปลอดภัย ควรทำ ถึงแม้จะรู้ว่าจริงๆ แล้วอะไรพิเศษสำหรับตัวเองของนางเอกก็น่าสนใจดี

นับว่าทั้งพระนางจูงมือกันสอบผ่านชิลล์ๆ ไม่ได้เลิศเลอหรูหรา แต่ยังอยู่ในมาตรฐานที่ดี ควรค่าแก่การดูค่ะ

เอาเข้าจริงความรักก็แบบนี้ เหมือนจะมีความเฉพาะตัวแต่ก็เกิดขึ้นซ้ำๆ ราวกับธาตุตั้งต้นในหัวใจของมนุษย์เป็นสิ่งเดียวกัน …

 

HUG Magazine 

คอลัมน์ ‘สวมแว่นสีชมพูดูหนัง’

เรื่อง: รอมคอมแอดมิน