Knowing Mind “รู้เรา” เข้าใจโลกภายใน

วรุณพร

“ปัญหามีไว้แก้ไข ไม่ได้มีไว้สะสม” เพราะเมื่อสะสมมากเข้าปัญหาทางใจจะส่งผลต่อร่างกาย ฮักมีโอกาสเข้ารับฟังเรื่องการเรียนรู้เพื่อการเข้าใจตัวเอง รวมถึงการรับมือกับปัญหาทางใจ จาก คุณสมภพ แจ่มจันทร์ นักจิตวิทยาการปรึกษา หนึ่งในสามของผู้ก่อตั้ง Knowing Mind ศูนย์บริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและส่งเสริมสุขภาวะ

เมื่อประจันหน้ากับปัญหา

ปัญหาทางสุขภาพจิตของคนเรามีหลายระดับ ตั้งแต่ความเครียดและความวิตกกังวลทั่วไปในชีวิตประจำวัน จนถึงอาการผิดปกติทางร่างกายและพฤติกรรมที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต แต่ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาสุขภาพจิตในระดับใด หากคุณรู้สึกว่าตนเองไม่อาจรับมือกับปัญหาที่กำลังเผชิญ และคนรอบข้างไม่สามารถช่วยเหลือคุณได้ การตัดสินใจเข้ารับความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่จะช่วยให้สามารถรับมือกับปัญหาได้อย่างเหมาะสม

 

หากปัญหานั้นส่งผลให้ปวดหัว ไม่มีสมาธิ กังวลจนนอนไม่หลับ ไม่อยากอาหาร มีอาการที่เด่นชัดจนรบกวนชีวิต การไปพบจิตแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการเป็นจุดตั้งต้นที่ดี แต่หากรู้สึกว่ามีอาการแต่ไม่รุนแรงมาก และพอตระหนักได้ว่ากำลังเผชิญปัญหาบางอย่างที่มีประเด็นชัดเจน การมาพบและพูดคุยกับนักจิตวิทยาจะเหมาะสมกว่า บางคนไม่รู้ว่าอาการไหนเด่นกว่ากัน หากเป็นเช่นนั้นเริ่มพบใครก่อนก็ได้ เพราะบางคนที่มาคุย เมื่อผมเห็นว่าอาการทางกายของเขาเยอะมาก คุยไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเขาไม่มีสมาธิหรือไม่สามารถทำความเข้าใจประเด็นที่เราพูดคุยกันได้ การไปพบจิตแพทย์เพื่อรับยาก่อนอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมกว่า

 


 

จิตวิทยาแนวพุทธ

จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับจิตใจของคนเราว่าเป็นอย่างไร ส่งผลต่อชีวิตอย่างไร ส่วนจิตวิทยาแนวพุทธในมุมมองของพุทธศาสนานั้นเป็นเรื่องของจิตใจ สำหรับผมจิตวิทยาแนวพุทธนั้นกว้างมาก หลักง่ายๆ คือทุกคำสอนของศาสนาพุทธมีมิติด้านจิตใจทั้งหมด แก่นของคำสอนอันเป็นหัวใจหลักคือ “สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น” เพราะต่อให้เราอยากยึดไว้ก็ไม่ได้ ทุกสิ่งมีการเปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน จับต้องไม่ได้ ในหลายๆ ส่วนที่อยู่นอกเหนืออำนาจการควบคุมของเรา

 

อีกเรื่องที่นำมาประยุกต์ใช้คือ “ปัญหาของมนุษย์เกิดจากความคาดหวัง” ว่าจะต้องเป็นดั่งใจเราให้ได้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ หรือเป็นไปได้บางส่วนที่อยู่ในอำนาจการควบคุมของเราเท่านั้น ถ้าบอกว่าเราจะชอบหรือไม่ชอบอะไร จะทำหรือไม่ทำอะไร แน่นอนว่าขึ้นอยู่กับคุณ คือจัดการตรงนี้ด้วยตัวเองได้ แต่ถ้าเราบอกว่าอยากให้เขามาชอบเรา ชื่นชมเรา นี่เริ่มไกลจากสิ่งที่คุณควบคุมได้ เมื่อยึดติดว่าต้องเป็นอย่างนั้นให้ได้ ฉันจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ถ้าคนรอบข้างไม่รักฉัน ทำให้รู้สึกไม่มีคุณค่าในตัวเอง เพราะคุณยึดติดและสร้างเงื่อนไขให้แก่ตัวเอง ทั้งนี้ในกระบวนการไม่ได้บอกว่าแบบนี้ถูกหรือผิด แต่จะทำให้ค่อยๆ เห็นผ่านเรื่องราวชีวิต อุปสรรค และความรู้สึกบางอย่าง ให้ได้ค้นพบเองว่าที่เป็นปัญหาอยู่เพราะยึดติดกับเรื่องอะไร สร้างเงื่อนไขใดขึ้นมา ดังนั้นถ้าเราจะแก้ปัญหานี้ได้ อันดับแรกคือต้องปล่อยวางความคาดหวังบางอย่างที่มีก่อน แล้วมาดูว่าทำอะไรได้บ้างกับปัญหาที่เรากำลังเผชิญ

 


 

ปัญหาเกิดจากภายใน

ผมเชื่อว่าปัญหาของทุกคนเกิดขึ้นจาก “ความไม่เข้าใจ” ในบางอย่าง ต่อให้เข้ามาปรึกษาปัญหาเรื่องครอบครัว ความสัมพันธ์ การเรียน การทำงาน แม้เรื่องราวจะหลากหลาย แต่บนรากฐานของปัญหานั้นมีความไม่เข้าใจบางอย่างที่ไม่เฉพาะเจาะจง จุดมุ่งหมายจริงๆ คือการ “ทำความเข้าใจตัวเอง” ให้จัดการปัญหาได้ด้วยตัวเอง ไม่ได้หมายความว่าเมื่อมาคุยกับนักจิตวิทยาแล้วจะได้รับคำแนะนำให้ไปทำตาม เพราะเราไม่มีคำตอบสำเร็จรูป แต่มาคุยกันเพื่อให้เกิดความเข้าใจ ตระหนักรู้ว่าสิ่งที่ต้องการคืออะไรกันแน่ แล้วให้ความต้องการนั้นเป็นแกนนำขับเคลื่อนว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตต่อไป ดังนั้นการมาปรึกษาจึงเป็นกระบวนการทำความเข้าใจตัวเองเพื่อให้เห็นว่าเราต้องการอะไรและจะทำอย่างไรต่อไป

 

ถ้าเรารู้ความต้องการที่แท้จริงก็จะพบทางออก แต่บ่อยครั้งที่เราไม่รู้ความต้องการภายใน เพราะสิ่งที่เข้ามารุมเร้าทำให้ไม่รู้จะตั้งต้นตรงไหน ฉะนั้นจุดตั้งต้นที่ดีมากๆ คือ “อารมณ์ความรู้สึก” หากลองมองอารมณ์ความรู้สึกของมนุษย์ อย่างความโกรธ ความเศร้า เสียใจ ความรู้สึกผิด ความรู้สึกต่างๆ นั้นเป็นเพียงสัญญาณที่บ่งบอกว่าลึกๆ แล้วเรากำลังต้องการอะไร สมมติเราเสียใจนั่นหมายความว่าเราต้องการอะไรบางอย่างแต่ไม่ได้สิ่งนั้นมา

 

โดยทั่วไปเรามักยึดติดกับตัวสัญญาณคืออารมณ์ความรู้สึก เมื่อเสียใจเราจัดการกับความเสียใจ เมื่อโกรธก็จัดการกับความโกรธ โดยไปนั่งสมาธิหรือออกกำลังกาย เราจัดการที่พื้นฐานของอารมณ์โดยไม่ทันมองว่านั่นเป็นภาพสะท้อนของบางสิ่งภายใน จึงไม่เห็นว่าที่จริงแล้วเรานั้นมีความต้องการ และไม่กล้าเผชิญกับความต้องการ หรือเผชิญแล้วแต่ไม่จัดการ ซึ่งสุดท้ายแล้วไม่ได้ช่วยอะไร หมายความว่าถ้าคุณไม่เข้าใจจริงๆ ว่าไม่สามารถจัดการได้แล้วจึงปล่อยวางนั้นย่อมได้ แต่ถ้ามีสิ่งที่ต้องจัดการแล้วคุณไม่จัดการแต่เลือกปล่อยวาง นั่นต่างหากที่เป็นปัญหา เพราะแสดงว่าคุณยังมีความต้องการอยู่

 


 

ปัญหาที่ต้องเผชิญ

ไม่ว่าจะเป็นอดีตเมื่อ 40-50 ปี ก่อนหรือปัจจุบันที่เทคโนโลยีเปลี่ยนไป ปัญหาของคนส่วนใหญ่มีอยู่ไม่กี่เรื่อง รายละเอียดของปัญหาอาจต่างกัน แต่แก่นกลางของปัญหายังเหมือนเดิม คือมีความคาดหวังบางอย่าง ในวัยเด็กมีความคาดหวังจากพ่อแม่ ลูกก็แบกรับไว้ พยายามฝืนตัวเอง พ่อแม่ก็รู้สึกว่าสิ่งที่คาดหวังเป็นเรื่องดีสำหรับลูก จึงพยายามส่งเสริมเต็มที่โดยไม่ได้มองว่าลูกมีศักยภาพเพียงใด สนใจหรือต้องการอะไร และที่บอกว่าดีนั้นดีกับใคร

 

เมื่อเริ่มเติบโตขึ้นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาคือความคาดหวังเรื่องอนาคต เริ่มมีไอเดียบางอย่างเกี่ยวกับชีวิตว่าควรจะเป็นอย่างไร แล้วค่อยๆ มีความคิดที่ยึดติดมากขึ้น ก็จะบีบบังคับชีวิตตัวเองให้เป็นแบบนั้น ทั้งที่คุณเลือกได้ตั้งแต่ต้นว่าจะลดความคาดหวังบางอย่างที่ดูขัดแย้งกับความเป็นจริงเกินไป แล้วกลับมาต้อนรับสิ่งที่คุณได้เจอจริงๆ เช่น คุณอาจจะมีสเป็คในใจ คนที่คุณคบอยู่นั้นดีทุกอย่าง มีแค่ข้อเดียวที่ไม่ตรงใจแล้วคุณก็ติดกับเรื่องนั้นมากๆ ทำให้รู้สึกว่าเขาไม่ดีเพียงเพราะเขาไม่ตรงใจคุณ แต่หากลองมองให้ดีเขาก็ตรงตามสเป็ค มีเพียงบางข้อเท่านั้นที่ไม่ตรงตามอุดมคติหรือความคาดหวังของคุณ จะเห็นได้ว่าไม่ว่าวัยไหนล้วนวนเวียนอยู่กับความคาดหวัง และเรามักสร้างความคาดหวังที่ไม่สามารถเป็นจริงได้ให้แก่ชีวิต

 


 

การปรึกษาทางจิตวิทยา

ปัจจุบันคนที่เข้ารับคำปรึกษาจำนวนสองในสามไม่เคยพบจิตแพทย์มาก่อน เพียงแค่รู้สึกว่ามีปัญหา ไม่ได้รู้สึกผิดปกติแต่ยินดีที่จะมาคุยเพราะอยากแก้ปัญหาภายในใจ แต่อีกหนึ่งในสามเคยพบจิตแพทย์ กินยาแล้วไม่ดีขึ้น หรือกินยาแล้วแต่อยากพูดคุยด้วย ซึ่งส่วนนี้คือผู้ที่มีปัญหาและได้รับการวินิจฉัยแล้วว่าเป็นโรคอะไร ผมมองว่าสังคมในปัจจุบันเปิดกว้างให้มีการเข้ามาพูดคุยกันมากขึ้น แต่มีข้อจำกัดที่เขาไม่รู้ว่าจะไปที่ไหนมากกว่า เพราะบริการเหล่านี้มีจำกัด ส่วนใหญ่คนมักนึกถึงโรงพยาบาล ทำให้ไม่อยากไป เพราะต้องเจอหมอ เจอกระบวนการทางการแพทย์

 

สำหรับผมเพียงเขามีปัญหาแล้วแก้ไม่ได้ ไม่รู้จะตั้งต้นยังไง ผมจะเป็นคนตั้งต้นให้ ไม่ว่าคุณจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคซึมเศร้า ไบโพล่าร์ หรืออะไรก็ตาม คุณก็เป็นแค่คนคนหนึ่งที่มีปัญหา

 

ชื่อโรคเหล่านั้นเป็นชื่อทางการแพทย์เพื่อให้คุณเข้าสู่ระบบเท่านั้น แต่ถามว่าคุณกินยาแก้โรคซึมเศร้าแล้วหายไหม ผมเชื่อว่ากินยาแล้วดีขึ้นเพราะยาช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาท ยาช่วยทำให้รู้สึกดีขึ้น ช่วยให้นอนหลับ แต่คุณจะไม่หายขาดถ้าคุณไม่ได้แก้ปัญหา เพราะก่อนจะมีอาการทางกายต้องมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นในชีวิตมาแล้ว และทุกวันนี้เรื่องเหล่านั้นยังมากดดันอยู่ มันมีอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตอันเป็นที่มาของอาการ เวลามีปัญหาที่ไม่ได้แก้ไขช่วงแรกคุณอาจอยู่กับมันได้ เพราะรู้สึกว่าไม่ได้หนักหนาแค่ค้างคาใจ แต่ถ้าปัญหาถูกสั่งสมไว้ก็จะค่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่งก็แสดงอาการทางกาย ปัญหาแปลงรูปมาเตือนให้รู้ว่าที่จริงแล้วใจคุณไม่ได้รู้สึกดีกับสภาวะที่เป็นอยู่ แต่คุณปฏิเสธมัน นี่คือสิ่งที่เรียกว่าอาการของปัญหาแต่ไม่ใช่ปัญหา

 


 

“รู้เรา” เข้าใจตนเอง

ผมเชื่อว่าไม่มีทางที่เราจะไม่เจ็บปวดถ้าเราคิดจะแก้ปัญหา เพราะการเผชิญหน้ากับปัญหานั้นเจ็บปวดเสมอ แต่การเลือกหลีกหนี เบี่ยงเบนออกจากปัญหานั้นทำได้ง่ายกว่า ถ้ารู้สึกเจ็บปวดจากการแก้ปัญหาแสดงว่าคุณมาถูกทางแล้ว เพราะไม่มีการแก้ปัญหาใดที่ไม่เจ็บปวด เมื่อคุณแก้ปัญหาจะได้เข้าใจเสียทีว่าจุดที่ต้องไปต่อคืออะไร แต่คุณบอกกับตัวเองว่าไม่เป็นไรและทำใจ ปรับตัวให้ไม่ใส่ใจ ซึ่งก็ทำได้แค่การหลอกตัวเอง เบี่ยงเบนปัญหาไปวันๆ เรารู้สึกดีแต่ลึกๆ จะรู้ว่ามันไม่ดีเลย บางคนฝืนใจทำตามที่พ่อแม่ต้องการ ไม่กล้ายืนยันความต้องการของตัวเองเพราะกลัวพ่อแม่ไม่รัก ก็ทนๆ ไป แต่หากยืนยันเขาจะเสี่ยงมากต่อการได้รับปฏิกิริยาไม่ดีตอบกลับมา การเผชิญหน้าหรือแก้ปัญหานั้นเจ็บปวดเสมอ แต่มันเป็นทางที่เราเลี่ยงไม่ได้ ถ้าจะแก้ต้องเผชิญหน้า และผมเชื่อว่าเราทุกคนมีศักยภาพเพียงพอ แต่บางครั้งอาจสับสน ไม่มีเรี่ยวแรงหรือกำลังมากพอ ดังนั้นการคว้ามือคนรอบข้างมาช่วยในช่วงเวลาที่เราไม่ไหวนั้นสามารถทำได้ แต่ลงท้ายเราต้องกลับไปแก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง มือที่อยู่ข้างๆ ประคับประคองให้เราลุกขึ้น แต่การเดินหน้าต่อนั้นเป็นขาของเราที่จะก้าวไปจัดการกับปัญหาด้วยตัวเอง

 

ถ้าเราไม่หนีเสียอย่างทุกปัญหาย่อมมีทางออกเสมอ การเบี่ยงเบน หลีกหนีปัญหา หรือมองแง่บวกนั้นไม่ได้ช่วยให้เราแก้ปัญหาในระยะยาวได้

Hug magazine

" ถ้ารู้สึกเจ็บปวดจากการแก้ปัญหาแสดงว่าคุณมาถูกทางแล้ว เพราะไม่มีการแก้ปัญหาใดที่ไม่เจ็บปวด "

สมภพ แจ่มจันทร์ นักจิตวิทยาการปรึกษา

Knowing Mind ศูนย์บริการการปรึกษาเชิงจิตวิทยาและส่งเสริมสุขภาวะ —


อยู่กับความเหงาอย่างเข้าใจ

อยู่กับความ "เหงา" อย่าง "เข้าใจ"

เชื่อว่าหลายคนคงเคยเผชิญกับความเหงามาบ้างไม่มากก็น้อย

ระยะเวลาอาจสั้นหรือยาวนานจนบั่นทอนจิตใจนั้นขึ้นอยู่กับองค์ประกอบแวดล้อมหลายอย่าง

ความเหงาเปรียบดั่งฤดูกาลที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่อีกไม่นานก็หวนกลับมาใหม่
แม้อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายก็รู้สึกเหงาได้

ฮักขอให้คุณลองเปิดใจเพื่อทำความรู้จักกับความเหงาจาก
พี่หมอเอิ้น-พญ.พิยะดา หาชัยภูมิ จิตแพทย์ นักแต่งเพลง
และวิทยากรการสื่อสารเพื่อความสุข


 

มุมมองต่อความเหงา

ความเหงาเป็นเรื่องแปลกทั้งในแง่นิยามและอารมณ์ความรู้สึก ผู้คนมากมายพยายามอยู่ห่างจากความเหงา แต่นั่นอาจยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกเหงาและว้าเหว่ มนุษย์รู้จักความเหงาผ่านประสบการณ์ของตนเอง แต่เป็นเรื่องยากเกินอธิบายว่าความเหงานั้นมีรูปแบบอย่างไร แตกต่างกับความโดดเดี่ยว แปลกแยก และอารมณ์ซึมเศร้าอย่างไร

 

“ความเหงาเป็นอารมณ์ที่เหมือนกับเป็นรสนิยม บางคนชอบและรู้สึกว่าบางครั้งความเหงาให้พลังบางอย่าง แต่เมื่ออยู่กับความเหงาได้สักพักกลับไม่อยากเหงาอีกแล้ว ก็ออกไปทำนู่น
ทำนี่เพื่อคลายเหงา เมื่อหมดพลังก็กลับมารู้สึกเหงาอีก ขณะที่บางคนไม่ชอบความเหงาเลย ไม่อยากให้มีความเหงาอยู่ในชีวิต ที่จริงแล้วความเหงาเป็นอารมณ์พื้นฐานตามธรรมชาติซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน มากหรือน้อย ชอบหรือไม่ชอบแตกต่างกัน หากเราจำเป็นต้องอยู่กับความเหงา ก็ต้องทำความเข้าใจความเหงาที่เรามีเสียก่อน ที่จริงแล้วโดยส่วนใหญ่ความเหงาเกิดจากสภาวะภายในเมื่อเรารู้สึกโดดเดี่ยว ไม่มีใคร ส่วนสภาวะภายนอก เช่น อยู่ในสถานที่ซึ่งมีบรรยากาศเวิ้งว้าง ว่างเปล่า แสงสลัวๆ เรียกว่าบรรยากาศพาไปให้ใจเหงา องค์ประกอบที่จะกระตุ้นให้เกิดความเหงานั้นมีเยอะมาก ทั้งด้านสภาวะแวดล้อม ผู้คนรอบๆ ตัวเรา แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘มุมมองของเราที่มีต่อความเหงา’

 

บางทีเราอยู่ในสถานที่ซึ่งมีผู้คนเยอะแยะรอบตัว แต่หัวใจข้างในกลับรู้สึกเหงา นั่นแสดงว่าอาจเป็นความเหงาที่เริ่มไม่ปกติ แต่ถ้าเกิดเราอยู่ในสภาวะอย่างที่บอกไปก่อนหน้าคือ มีหลายสิ่งหลายอย่าง เช่น อากาศ สภาพแวดล้อม แสง สี เสียง ผู้คน มากระตุ้นให้ความเหงาเกิดขึ้น นั่นแสดงว่าเป็นอาการเหงาปกติ ถ้าความเหงามาเยือน และเรารู้สึกถึงความเหงาแล้วจะใช้ประโยชน์จากความเหงาอย่างไร ความเหงาส่วนใหญ่เกิดจากความรู้สึกว่ามีเราคนเดียว มีเราเพียงลำพัง ข้อดีของการที่เรามีความรู้สึกนี้คือ ช่วงเวลาที่เราจะได้รู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรามีกันสองคน มีกันเป็นหมู่คณะ มีกันเป็นสังคม ก็จะเริ่มมีชีวิตของคนอื่นเข้ามาในพื้นที่ชีวิตของเรามากขึ้น ยกตัวอย่างง่ายๆ บางคนเพิ่งรู้จักตัวเองว่าเป็นคนแบบไหนตอนที่ได้ใช้ชีวิตเองคนเดียว เหมือนกันกับความเหงาคือถ้าเราใช้ประโยชน์จากเขา ใช้ความเหงาเพื่อมองให้เห็นตัวเราได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราอยู่คนเดียวทำให้เราตัดส่วนที่เรารับมาจากคนอื่น จากครอบครัว จากสังคมออก เราก็จะเห็นพื้นฐานทางอารมณ์ของเราได้ง่ายขึ้น เห็นว่าโดยพื้นฐานแล้วอารมณ์ของเราเป็นยังไง อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่อยู่ในความคิดของเราตอนนี้ อะไรคือความปรารถนาที่แท้จริงของเรา โดยที่ไม่ต้องคิดว่าทำเพื่อใคร เราจะเห็นตัวเองชัดขึ้น รู้ว่าจริงๆ แล้วฉันเป็นคนยังไง ฉันมีศักยภาพอะไร ในขณะเดียวกันเราก็จะเห็นจุดอ่อนของตัวเองได้ง่ายขึ้นเช่นกัน

 

ถ้าเราโชคดีอาจตั้ง mindset ชีวิตของตัวเองได้ ว่าสิ่งที่จะทำต่อจากนี้เพื่ออะไร เป้าหมายในชีวิตคืออะไร เริ่มวางแผนกับตัวเองได้ ค่อยๆ ลงมือทำได้ นี่คือประโยชน์ของความเหงา แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นความเหงาในมุมนี้ สามารถอยู่กับตัวเองในลักษณะนี้ได้ นั่นหมายความว่า เราเริ่มเลือกใช้ประโยชน์จากความเหงาได้แล้ว เราเหงาได้ก็ไม่เหงาได้

 


 

ความเหงาในปัจจุบัน

“ปัจจุบันโลกหมุนเร็ว ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วมาก เนื่องจากเรามีเทคโนโลยีต่างๆ มีการสื่อสารหลายช่องทางมาก เราจึงแชร์ข่าวสารกันตลอด โลกเป็นใบเดียวจริงๆ ไม่ได้แบ่งแยกเป็นทวีปตามแผนที่โลกอีกต่อไปแล้ว แต่ผู้คนกลับทุกข์มากขึ้น ในฐานะจิตแพทย์เรารู้สึกว่าบางคน ‘ทุกข์จนรังเกียจความสุข’ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะคนที่คิดแบบนี้ไม่ว่าใครจะพูดอะไรเขาก็มองเป็นเรื่องแย่ไปหมด คิดว่าความสุขไม่มีอยู่จริงหรอก เพราะถ้ามีฉันต้องสัมผัสได้บ้าง ถามว่าทำไมไม่มีความสุขในชีวิต ก็เพราะว่าเรา ‘อยู่กับตัวเองไม่เป็น’ อีกทั้งความรวดเร็วและความสะดวกของเทคโนโลยีทำให้เราเห็นตัวเองน้อยลง เห็นแต่สิ่งที่เราอยากจะเป็นมากขึ้น เห็นแต่สิ่งที่คนอื่นเป็นมากขึ้น แล้วเกิดการเปรียบเทียบ ทว่ากลับไม่เคยเรียนรู้ตัวเอง อยู่แค่กับสิ่งที่ฉันเป็นวันนี้ แล้วก็ภาพที่ฉันอยากเป็น ภาพที่คนอื่นสำเร็จ คือการเปรียบเทียบเริ่มเป็นพลังที่มีอิทธิพลกับใจคนมากกว่าการที่เราสื่อสารกันด้วยความเข้าใจ หรือมีเวลาคุณภาพร่วมกัน

 

ถ้าเราไม่อยากมีชีวิตที่ทุกข์จนรังเกียจความสุข เราต้องอยู่กับความเหงาให้ได้ เริ่มหยุดเป็น เริ่มช้าลงเป็น เริ่มขอบคุณคนอื่นและขอบคุณตัวเองให้เป็น เวลาที่เราทำอะไรดีๆ เพื่อตัวเองและผู้อื่น ต้องเริ่มรู้จักอิ่มเอม คือเมื่อทำอะไรแล้วรู้สึกมีความสุข เราลองหยุดเพื่ออยู่กับความรู้สึกนั้น สัมผัสกับความสุขให้มากขึ้น เป็นกระบวนการที่จะทำให้เราไม่เป็นคนที่ทุกข์จนรังเกียจความสุข และเป็นเพื่อนกับความเหงาได้มากขึ้น

 

 

ลองเหงาให้สุดแต่อย่าจมดิ่ง

“เมื่อความเหงาเกิดขึ้นแล้วเรายังนึกถึงประโยชน์ของความเหงาไม่ทันก็ยังไม่ต้องคิด จงเหงาให้ถึงที่สุดก่อน หากมีสติ ถ้าเหงาก็ถอยออกมาแล้วลองปรับมุมมองที่มีต่อความเหงาหรือมองให้กว้างขึ้น ถ้าวิธีนี้ยากเกินไป ลอง ‘เหงาไปขั้นสุด แต่อย่าเหงาถึงขั้นตาย’ อยู่กับความเหงาแล้วเฝ้าดูว่าเขาสร้างความทุกข์อะไรให้เราบ้าง เป็นการเรียนรู้ด้านลบของความเหงา มันอาจทำให้เราคิดถึงใครบางคนซึ่งรอเราอยู่ที่บ้านก็ได้ หากเรามองแต่มุมของตัวเองย่อมเจ็บปวด ให้ลองคิดในทางกลับกันว่าแล้วคนอื่นเหงาเหมือนเราไหม คนที่บ้านรู้สึกแบบนี้เหมือนกันหรือเปล่า บางทีแค่นึกถึงใครบางคนที่มีความสำคัญในชีวิต เราอาจกลับไปหาเขา หรือเราอาจอยากทำอะไรที่เรียกว่าเวลาคุณภาพร่วมกัน

 

บางครั้งความเหงาอาจอยู่เป็นเพื่อนกับเราก็ได้ ที่จริงแล้วความเหงาก็อยู่ในตัวเรานี่ละ แต่เมื่อปัจจัยอื่นเข้ามามีอิทธิพลในชีวิตของเรามากกว่า เราอาจลืมอารมณ์เหล่านี้ไป บางทีก็ทำให้เราลืมใครบางคนเหมือนกัน ไม่ใช่แค่เราที่ถูกลืม ในขณะที่เราจมอยู่กับการเป็นคนที่ถูกลืม ตอนนั้นมันเป็นช่วงเวลาที่เราลืมใครต่อใครไปเยอะ เราลืมคนที่เคยทำอะไรดีๆ ให้เรา เพราะตอนนั้นมัวคิดเพียงว่าเราเคยทำดีกับใครบ้าง แล้วทำไมวันนี้คนคนนั้นไม่อยู่ตรงนี้กับเรา

 


 

เมื่อเหงาเกินไปจนหัวใจอ่อนแอ

“มนุษย์นั้นฉลาด สมองของเราปรับตัวอยู่เสมอ ถ้าอยู่ในสภาวะจิตใจที่เป็นปกติแล้วมีอะไรมากระทบ ทำให้เราต้องเหงาหรือเศร้า สมองจะปรับตัวไปเป็นสมองที่เหงา เศร้า อยู่พักหนึ่ง ถ้าเราไม่หยุดแล้วถอยออกมาย่อมจมลงไปเรื่อยๆ เมื่อจมจนถึงขั้นสุดแล้วยังไม่เรียนรู้ความทุกข์นั้น สมองก็จะเศร้าและทำให้เรามีโอกาสเป็นโรคซึมเศร้าได้ เมื่อใดที่บอกว่าเป็นโรคหมายถึงเราควบคุมอะไรไม่ได้ เพราะเซลล์สมองเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เมื่อเป็นโรคต้องรักษา ถ้าคุณเพียงอยู่ในช่วงปรับตัว อาจแค่รับการเยียวยา เช่น ออกไปทำสิ่งดีๆ ออกกำลังกาย ทำบุญ แบ่งปันสิ่งที่ตัวเองทำให้ผู้อื่นได้ หรือแม้แต่การนั่ง นอนเฉยๆ ให้ร่างกายและจิตใจได้พักผ่อนก็นับเป็นการเยียวยาอย่างหนึ่ง

 

“ไม่ใช่ว่าคุณรู้สึกป่วยแล้วถึงมาพบจิตแพทย์ ภารกิจของการเป็นหมอคือ ป้องกัน รักษา ฟื้นฟู เมื่อใดที่รู้สึกเหงา เศร้า จมกับความรู้สึกนี้มานานจนรู้สึกไม่ดี เริ่มถอนตัวเองไม่ได้หรือรู้สึกว่าไม่มีทางออกกับเรื่องนี้ แต่สมองยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก เราป้องกันโดยการมาหาหมอหรือพบนักจิตวิทยาก่อน นั่นอาจเป็นครั้งเดียวที่คุณมาหาหมอ

 

มนุษย์ทุกคนล้วนมีบาดแผล เราเติบโตมาพร้อมกับบาดแผลในแบบของเรา การเป็นโรคนั้นไม่สนุกแม้บอกว่ารักษาหาย โรคซึมเศร้านั้นไม่ได้น่ารังเกียจหรือน่าอาย แต่ควรป้องกันไว้ก่อนดีกว่า คือเท่าที่เราเคยรักษามานั้นหายได้จริง แต่มักทิ้งร่องรอยบางอย่างไว้ การใช้ชีวิตก็ไม่เต็มที่เหมือนเดิม

 


 

ความจริงของความเหงา

“การดูแลตัวเองตั้งแต่แรกสำคัญที่สุด อย่างแรกคือต้องฝึกฝนความ ‘ซื่อสัตย์กับตัวเอง’ ว่าเรารู้สึกอย่างไร ยกตัวอย่างเช่น ตอนนี้ฉันเหงา ฉันเศร้า ฉันไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย ไม่ชอบระดับ 10 ให้ลองค่อยๆ ค้นหาความหมายของการไม่ชอบระดับ 10 ในขณะที่เพื่อนๆ หรือใครหลายๆ คนเมื่อความเหงามาเยือนเขาอาจไม่ชอบแค่ระดับ 5 แล้วมันมีความหมายกับชีวิตเราอย่างไร ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์กับตัวเองก็จะรีบปฏิเสธ และบอกตัวเองว่าทำยังไงก็ได้ให้ไม่เหงา แต่ไม่กล้าถามตัวเองว่าทำไมถึงไม่ชอบ เพราะอะไร แน่นอนว่าเราอาจไม่ได้คำตอบทันที ประโยชน์ที่ได้จากการถามตัวเองคือ ความเหงาก็จะทำร้ายเราได้น้อยลง จากระดับ 10 ลดลงสู่ระดับ 5

 

“จากนั้นลองมองดูว่า เรามี ‘คนที่พร้อมรับฟัง’ ที่ไม่ใช่หมอไหม เรามีเพื่อน คนในครอบครัว เพื่อนร่วมงานที่รับฟังเราได้ไหม อาจลองคุยกับเขาว่า เราแค่อยากเล่าให้ฟังเฉยๆ นะ เพราะถ้าเราไม่บอกแบบนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เขาจะให้คำแนะนำ คำปลอบใจมาสารพัด เพราะเขาอยากช่วยคุณ หลังจากได้เล่าจนจบแล้วเราจะรู้สึกเบาสบาย นั่นเท่ากับว่าเราได้เยียวยาตนเองแล้ว ส่วนการเยียวยาขั้นสุดคือเราจะเริ่มมองเห็น ‘ความจริงของความเหงา’ ว่ามันมีข้อดี ข้อเสียอย่างไร ขั้นสุดไปกว่านั้นคือเราเริ่มเลือกได้ว่าจะเหงาหรือไม่เหงา เริ่มรู้ทันมันมากขึ้น เริ่มรู้จักวิธีการดูแลตัวเองจากความเหงาได้ดียิ่งขึ้น”

 

ในเมื่อความเหงาเป็นเรื่องซับซ้อนและไม่อาจปฏิเสธได้ เพราะความเหงามาเยือนหัวใจได้ทุกที่ ทุกเวลา อย่ามัวปล่อยให้ความเหงาเกาะกินใจ ลองย้อนกลับมามองตัวเราและความเหงาในแง่ดีบ้างเป็นไร เพื่อใช้ชีวิตอยู่กับความเหงาอย่างเข้าใจ

 


Hug magazine ปีที่ 11 ฉบับที่ 5
(15 เม.ย.-14 พ.ค. 2562)
คอลัมน์: แขกรับเชิญ

จดหมายจากความเหงา

“อย่างที่พี่เอิ้นเคยแต่งเพลงจดหมายจากความเหงาว่า ความเหงาเป็นเพื่อนเก่าที่แสนดี ‘…หากมองโลกนี้ในแง่ดีสักครั้ง เธอจะรู้ว่าต่อให้เหงามากมายสักเท่าไหร่ ก็ไม่ทำร้ายใครให้ต้องถึงตาย สบายใจได้เสมอ อดทนเอาไว้ในเวลาที่เหงา กลับมามองตัวเราและชีวิตจริงที่ต้องเจอ เพราะเธออาจเปลี่ยนจากความเหงาเป็นเพื่อนเก่าที่แสนดี...’ สุดท้ายแล้วเมื่อความเหงาเกิดขึ้นถ้าเรารู้เท่าทัน เราก็จะเห็นคุณค่าของความเหงาเหมือนเขาเป็นเพื่อนของเราคนหนึ่ง”


ปวดไหล่อย่าชะล่าใจ

เรื่อง: หมอแมว

I N T R O

/ ในบรรดาข้อต่อทั้งหมดของร่างกาย ข้อไหล่คือส่วนที่เคลื่อนไหวในทิศทางต่างๆ ได้มากที่สุด มนุษย์จึงสามารถขยับแขนและมือในการหยิบจับสิ่งต่างๆ ได้เพียงการขยับแขน ไม่ต้องขยับทั้งลำตัว

 

/ การเคลื่อนไหวได้รอบทิศทางนี้เกิดจากการทำงานของเบ้าข้อกระดูกเส้นเอ็น กล้ามเนื้อและถุงน้ำข้อต่อบริเวณหัวไหล่ที่ทำงานสอดประสานกันอย่างลงตัว

 

/ การที่ข้อไหล่เคลื่อนไหวได้หลากหลายทิศทางและถูกใช้งานบ่อยนี้เองจึงทำให้ความแข็งแรงมั่นคงของข้อไหล่นั้นน้อยกว่าข้อส่วนอื่น ก่อให้เกิดความผิดปกติหรือบาดเจ็บได้ง่าย

 

/ เมื่อเกิดอาการเจ็บไหล่จนเคลื่อนไหวไม่สะดวกจึงกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน

 

/ จึงขออธิบายถึงภาวะต่างๆ ที่ทำให้ไหล่เจ็บ เพื่อการดูแลรักษา หรือพบแพทย์ต่อไปได้

 


 

ภาวะที่ทำให้เจ็บไหล่

ภาวะที่ทำให้ไหล่เกิดอาการเจ็บได้นั้นมีมากมาย ขอยกเพียงภาวะที่พบบ่อยหรือมีความสำคัญ

1. เอ็นข้อไหล่อักเสบ แขนและลำตัวมีจุดเชื่อมต่อคือบริเวณไหล่ มีกล้ามเนื้อหลายมัดทำหน้าที่ยึดโยงไว้ โดยกล้ามเนื้อนี้ต้องรับน้ำหนักแขนไว้ตลอด ทั้งยังทำหน้าที่เคลื่อนไหวแขนในทิศทางที่ต่างกัน หากใช้งานแขนไม่ถูกวิธี เช่น ทำกิจกรรมบางอย่างซ้ำไปมา หรือใช้กล้ามเนื้อไหล่ท่าเดียวติดต่อกันเป็นเวลานาน ส่งผลให้เอ็นของกล้ามเนื้อข้อไหล่อักเสบ โดยมักมีอาการเจ็บกล้ามเนื้อรอบข้อไหล่จุดใดจุดหนึ่งและมีอาการเจ็บในบางท่าทาง จัดเป็นภาวะปวดเจ็บไหล่ที่พบได้มากที่สุดภาวะหนึ่ง

 

2. ข้อไหล่ติด เป็นภาวะที่เอ็นยึดข้อไหล่อักเสบและหนาตัวขึ้น เมื่อพยายามขยับแขน ข้อไหล่จะเกิดอาการฝืดตึงเจ็บปวดจนไม่อยากขยับเพิ่ม หลังจากนั้นอาการจะค่อยๆ เจ็บมากขึ้นจนขยับแขนได้น้อยลง สุดท้ายอาการเจ็บจะค่อยๆ ลดลงไปแต่ข้อไหล่จะฝืดติด ขยับได้น้อย ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น ถอดเสื้อหรือเกาหลังได้ลำบาก พบในผู้หญิงอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปมากกว่าผู้ชาย พบบ่อยในผู้ป่วยเบาหวาน หรือภายหลังการบาดเจ็บ การผ่าตัดแขนและไหล่

 

3. ข้อเสื่อม มักพบในผู้สูงอายุหรือผู้มีการบาดเจ็บ อักเสบของข้อไหล่เรื้อรัง จนทำให้กระดูกอ่อนของข้อไหล่เสื่อม เมื่อเกิดการเคลื่อนไหวจึงเกิดการเสียดสี จนเจ็บปวดหรือข้อบวมได้

 

4. ข้อไหล่หลุด มักเกิดภายหลังจากเกิดการกระแทกรุนแรง จนหัวกระดูกแขนหลุดจากตำแหน่งเบ้าข้อไหล่ เกิดอาการเจ็บปวดจากข้อไหล่ลงมาที่แขน ข้อที่หลุดจะไม่สามารถเคลื่อนไหวแขนและไหล่ได้ตามปกติ ในกรณีที่การหลุดเกิดอย่างรุนแรงหรือถูกเส้นประสาท อาจเกิดอาการชาร่วมด้วย

 

5. ถุงน้ำข้อไหล่อักเสบ บริเวณข้อไหล่มีถุงน้ำซึ่งทำหน้าที่เสมือนเบาะรองรับ ลดการเสียดสีระหว่างกระดูกและกล้ามเนื้อขณะขยับเคลื่อนไหว เมื่อมีอาการอักเสบของถุงน้ำจะทำให้เกิดอาการบวม ร้อน และเจ็บปวด โดยเฉพาะเมื่อเคลื่อนไหวไหล่

 

6. ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เป็นโรคข้ออักเสบอันเกิดจากการทำงานผิดปกติของภูมิคุ้มกันในร่างกาย จนเกิดการอักเสบของข้อต่างๆ ส่วนใหญ่มักพบการอักเสบที่ข้อนิ้ว ข้อมือ มากกว่าตำแหน่งอื่น แต่ข้อไหล่ก็พบได้เช่นกัน มักเกิดอาการอักเสบพร้อมกันทั้งสองข้าง มีอาการผิวหนังบวมแดง อุ่น อาการปวดเจ็บมักเป็นมากช่วงเช้าตอนตื่นนอน

 

7. กระดูกอ่อนข้อไหล่ฉีกขาด บริเวณข้อไหล่มีกระดูกอ่อนเป็นเบ้าของข้อ หากส่วนนี้บาดเจ็บจะทำให้เจ็บปวดไหล่ได้ การฉีกขาดของกระดูกอ่อนชิ้นนี้มักเกิดจากการบาดเจ็บ เช่น ล้มในท่าเหยียดแขน การบาดเจ็บที่เกิดข้อไหล่หลุด หรือการเหวี่ยงแขนแรงๆ เป็นเวลานาน (เช่น ในนักกีฬาที่ต้องใช้แขนขว้างลูกบอล)

 

8. กระดูกทับเส้นเอ็น เกิดจากการพื้นที่ว่างสำหรับเอ็นกล้ามเนื้อไหล่ด้านหน้าตีบแคบลง เมื่อขยับแขนกล้ามเนื้อและเอ็นที่อยู่ในบริเวณนั้นจึงถูกกดและเสียดสีจนเกิดความเจ็บปวด ในกรณีที่เป็นมากอาจเกิดอาการขึ้นได้เพียงนอนตะแคงหรือใช้แขนเอื้อมไปแตะหลัง

 

9. ไหล่ปกติแต่เจ็บร้าวจากส่วนอื่น บางครั้งเมื่อมีอาการเจ็บปวดจากอวัยวะภายในสมองตีความอาการเจ็บไปในอีกตำแหน่ง ทำให้เราเกิดอาการเจ็บที่ไหล่ได้ ทั้งๆ ที่ต้นเหตุมาจากที่อื่น เช่น ในรายที่ปวดต้นคอบางครั้งมีอาการปวดร้าวไปที่ไหล่ ในผู้ป่วยที่มีการอักเสบของถุงน้ำดีและตับซึ่งอาจมีอาการปวดท้องร่วมกับปวดไหล่ขวา หรือในผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดที่บางรายจะมีอาการปวดเมื่อย ปวดร้าวที่ไหล่ซ้ายร่วมกับอาการเหนื่อยหรือแน่นหน้าอก

 

การรักษาอาการเจ็บปวดไหล่เบื้องต้น

บางครั้งเมื่อมีอาการเจ็บปวดไหล่แต่รู้สึกว่าอาการเป็นไม่มาก บางคนก็อาจจะอยากลองดูอาการหรือรักษาด้วยตนเองก่อน

1. หยุดใช้ไหล่หรือทำกิจกรรมที่อาจเป็นสาเหตุเพื่อไม่ให้ไหล่เสียหายมากกว่าเดิม
2. ประคบเย็น โดยเฉพาะกรณีที่เกิดหลังการกระแทกหรือการใช้งานจนบาดเจ็บ
3. พักแขน เลี่ยงการทำกิจกรรมที่ไหล่ต้องรับน้ำหนัก เช่น การทำงานนั่งโต๊ะที่แขนยื่นไปข้างหน้าโดยไม่มีการรองข้อศอก การยกแขนขึ้นสูงเหนือศีรษะนานๆ
4. บริหารไหล่และใช้งานเบาๆ หาจุดสมดุลระหว่างพักการใช้งานและการบริหารไหล่เบาๆ เนื่องจากหากหยุดการใช้งานโดยสิ้นเชิง

 

เมื่อใดต้องไปพบแพทย์

1. มีอาการปวดไหล่ร่วมกับไม่สามารถเคลื่อนไหวไหล่ได้รอบทิศเหมือนปกติ
2. อาการเจ็บไหล่ที่มีการบวมมาก หรือไหล่มีลักษณะผิดรูป โดยเฉพาะเมื่อเกิดตามหลังอุบัติเหตุหรือการกระทบกระแทกแรงๆ
3. อาการปวดที่เป็นนานกว่า 1-2 สัปดาห์ทั้งที่ได้พักการใช้งานแล้ว
4. เจ็บไหล่พร้อมกับอาการแน่นหน้าอกหรืออาการเหนื่อย ซึ่งบ่งบอกว่าอาจจะไม่ใช่อาการเจ็บไหล่หากแต่เป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

 


Hug magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 5
คอลัมน์: รักษ์สุขภาพ


วิกฤติไวรัส วิกฤติตลาดหุ้น 2020

เรื่อง: อธิป กีรติพิชญ์ 

หลังจากที่ไวรัสทำลายธุรกิจและเศรษฐกิจประเทศจีนอย่างหนักตั้งแต่ช่วงตรุษจีนเมื่อปลายเดือนมกราคม 2563 เป็นต้นมา เชื้อไวรัสก็ระบาดไปหลายพื้นที่ ทั้ง ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ ไทย อิหร่าน และอีกหลายประเทศ ดัชนีตลาดหุ้นเอเชียเริ่มปรับตัวลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ กระทั่งเริ่มระบาดไปยังยุโรป พบผู้ติดเชื้อมากขึ้นในประเทศอิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี เดนมาร์ค ฯลฯ และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงระดับแพนิคปิดเมือง เมื่อระบาดเข้าสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา

 

สัปดาห์สุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2563 เป็นสัปดาห์ที่แย่ของตลาดหุ้นไทย ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลง 150 จุด นักลงทุนไทยจำนวนมากตกใจพออยู่แล้ว กลับต้องเจอสิ่งที่แย่ยิ่งกว่าในสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนมีนาคม เมื่อดัชนีลบมากกว่า 100 จุดในวันเดียว 2 ใน 5 วันทำการ

 

นอกจากนี้ ยังเป็นสัปดาห์ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องใช้มาตรการ Circuit Breaker ถึง 2 ครั้งในสัปดาห์เดียว (วันที่ 12 มีนาคม และ 13 มีนาคม) หยุดการซื้อขายชั่วคราว 30 นาที เพราะตลาดหุ้นปรับตัวลงแตะ -10 เปอร์เซ็นต์ ถ้าเทียบกับการฝึกอะไรสักอย่างหนึ่ง จะเรียกว่าเป็น “สัปดาห์นรก” ก็คงไม่ผิดนัก จากต้นปีจนถึงปัจจุบัน ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงไปแล้วเกือบร้อยละ 30

 

สถานการณ์โรค COVID-19 ระบาดไปทั่วโลก ตอนเกิดขึ้นใหม่ๆ ไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะรุนแรงถึงเพียงนี้ กระจายไปสู่คนมีชื่อเสียง นักกีฬาระดับโลก ทยอยติดเชื้อไวรัสนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ

 

เรื่องนี้ยืดเยื้อกว่าที่คาดไว้ ไม่เฉพาะธุรกิจท่องเที่ยว สนามบิน สายการบิน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า แต่กระทบลามไปถึงภาคการผลิต ภาคบริการ การจัดอีเว้นท์ แม้แต่รายการฟุตบอลลีกยุโรปก็ประกาศเลื่อนการแข่งขันเกือบทุกลีกแล้ว ผมไม่กล้าคิดว่า มหกรรมกีฬาโอลิมปิก 2020 ที่โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป EURO 2020 หากต้องเลื่อนหรือยกเลิกไป จะส่งผลกระทบกับธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากมายขนาดไหน ผลกระทบเชิงเศรษฐกิจของไวรัสโคโรน่ารุนแรงกว่าไวรัส MERS และ SARS อย่างมหาศาล

 

รอบนี้กระทบไปทั่วโลก กระทั่งเกิดวิกฤติตลาดหุ้น 2020 ในระดับเดียวกับวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์เมื่อปี 2008 ดัชนีตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลดลงร้อยละ 20-30 ภายในระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือน

 

ธรรมชาติของวิกฤติ คือ ต้องคาดเดาไม่ได้ ประเมินไว้ไม่ถึง แย่กว่า worst case จนเราอึ้ง และมาถึงแบบไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกทีเราก็อยู่ท่ามกลางวิกฤติแล้ว สิ่งนี้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่แย่อยู่แล้ว ยิ่งแย่ไปกันใหญ่ จากนี้ไปมันจะลดลงต่อหรือพอแค่นี้ ไม่มีใครรู้แล้ว คาดการณ์ไปก็เท่านั้น

 

ในภาคตลาดหุ้น นักลงทุนเจ็บปวด เศรษฐกิจในภาคจริงของเรากำลังยวบ ยุบตัว อย่างน่าใจหาย อย่างไรก็ตาม ผมยังมีความเชื่ออย่างแรงกล้า ว่าเมื่อถึงจุดจุดหนึ่ง เราต้องควบคุมไวรัสได้ แต่อีก 2 เดือน 4 เดือน 6 เดือน มิอาจรู้

 

ทว่ามันจะจบแน่ๆ พร้อมกับการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างบ้าคลั่งของรัฐบาลทั่วโลก เพื่อช่วยภาคธุรกิจและคนในประเทศเขาอย่างเร่งด่วน ผมมี 1 คำขอ และ 1 คำถาม

 

1 คำขอคือ “รักษาชีวิตไว้” ท่านต้องตายยาก

-> ธุรกิจ ห้าง ร้าน ประคองเอาไว้ให้ผ่านช่วงเลวร้าย
-> ลูกจ้าง พนักงานเอกชน ตั้งใจทำงาน ถ้าไม่มีโบนัส หรือต้องหยุดสลับ ก็กัดฟัน ผ่านไปให้ได้
-> นักลงทุน อดทน หุ้นลงได้ ก็ขึ้นได้ การเพิ่มจำนวนหุ้นชั้นดี เพิ่มปันผล จะแดงหน่อย ก็ต้องทนไว้ครับ ห้ามตาย

 

1 คำถามคือ “เมื่อไวรัสผ่านไป ถึงตอนนั้นเราพร้อมไหม?”

-> เราได้หว่านเมล็ดพันธุ์ หรือปักกล้าของต้นไม้แห่งการเติบโตไว้ในระหว่างที่ไวรัสกำลังระบาดไหม?
-> เราเพิ่มสกิลหรือทักษะอนาคตไว้บ้างไหม?
-> เราได้สะสมหุ้นดี ราคาถูก ปันผลงาม จนไม่อาจหาต้นทุนยอดเยี่ยมแบบนี้ได้ง่ายๆ อีกแล้วไว้บ้างไหม?

 

ช่วงเวลาแห่งความลำบากนี้จะผ่านไปในที่สุด จึงขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่านผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้ อดทนและฝ่าฟันครับ


Hug magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 5
คอลัมน์: เงินทองต้องรัก(ษา)

"ธรรมชาติของวิกฤติ คือ ต้องคาดเดาไม่ได้ ประเมินไว้ไม่ถึง แย่กว่า worst case จนเราอึ้ง สิ่งนี้ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยที่แย่อยู่แล้วยิ่งแย่ไปกันใหญ่ จากนี้ไปมันจะลดลงต่อหรือพอแค่นี้ ไม่มีใครรู้ คาดการณ์ไปก็เท่านั้น"

— อธิป กีรติพิชญ์ / นิ้วโป้ง Fundamental VI —


ชีวิตหนึ่งเราควรเรียนรู้ "การให้อภัยและปล่อยวาง"

เรื่อง: ครูจักร์

เชื่อว่าเราทุกคนต้องเคยมีเรื่องที่ไม่สบายใจกันบ้าง

 

มีคนทำให้เราโกรธ เกลียด ทำให้เสียหน้า และทำร้าย ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจเมื่อเราโกรธหรือไม่พอใจ คนแรกที่ได้รับผลร้ายคือตัวเรา

 

“ไฟแห่งความโกรธ เกลียด อิจฉา ริษยา จะทำให้เราร้อนรนไม่เป็นสุขทั้งกายและใจ

ไฟเหล่านี้จะวนเวียนในความคิด บางคนเป็นไม่นานก็หาย บางคนนานมาก

บางคนตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ บางคนคิดถึงเมื่อใดไฟก็มาทำร้ายใจเมื่อนั้น

มีแต่คนที่รู้จักการให้อภัยและปล่อยวางเท่านั้นที่จะดับไฟในใจนี้ได้”

 

คนที่ไม่รู้จักการให้อภัย มัวแต่จับผิด มัวแต่พูดสิ่งไม่ดีที่ผ่านมาแล้ว มัวแต่ทำให้ตัวเองดูดีและคนอื่นด้อยค่าลง ไม่มีวันเติบโตหรือทำงานใหญ่ได้ โลกของคนประเภทนี้จะแคบ เพราะกลุ่มหรือคนรอบข้างมีแนวโน้มเป็นคนประเภทเดียวกัน

 

เราทุกคนล้วนเคยประสบเรื่องไม่พอใจ แต่เราก็ต้องเข้าใจว่าโลกใบนี้มีสองด้าน และมีคนที่คิดตรงกันข้ามกับเราเสมอ ไม่ว่าพวกเราจะคิดแบบไหนถูกของเรา ผิดสำหรับเขา ถูกของเขา ผิดสำหรับเรา

 

“ดังนั้นจงเข้าใจและยอมรับความจริงข้อนี้ให้ได้

เพราะเราต้องเจอตั้งแต่เกิดจนตายแน่นอน

และในช่วงหนึ่งของชีวิตมักเจอบ่อยๆ

เราไม่สามารถห้ามความคิดของผู้คนได้

แต่เราเลือกเดินออกมาจากจุดที่ทำให้เราไม่พอใจได้

นั่นคือวิธีที่ดีที่สุดในยามที่เราท้อแท้และขาดสติ”

 

วันนี้ผมได้เล่นหมากล้อมกับลูกสาว เห็นได้ว่าเธอเดินผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลายครั้งที่ความรู้สึกไม่ได้ดั่งใจถาโถมเข้ามา พร้อมกับคำต่อว่าที่รุนแรงทั้งน้ำเสียงและหน้าตา แต่พอลูกมีน้ำตาเอ่อล้นจึงคิดได้ว่า เราหวังจะให้เขาเป็นและคิดได้เหมือนเรา จนลืมนึกว่าเขาอายุยังน้อย ประสบการณ์ในโลกใบนี้ยังไม่กว้างนัก แต่ละคนมีด้านดีและร้ายต่างกัน หมากที่เดินบนกระดานย่อมแตกต่างกัน

ผมจึงขอโทษลูกสาวพร้อมบอกว่า “ให้อภัยพ่อนะ พ่อไม่ตั้งใจ”

 

ชีวิตคนเราอยู่ได้ไม่เกิน 100 ปี มีผู้คนมากมายที่ฝากรอยยิ้ม น้ำตา และรอยแผลแต่เชื่อเถอะว่า ร่องรอยเหล่านั้นจะทำให้คุณแข็งแกร่งขึ้น

 

“ผมหวังว่าวันใดวันหนึ่งก่อนจากโลกใบนี้ไป

เราจะปล่อยวางและให้อภัยผู้คนที่ทำให้เราเจ็บทั้งกายและใจ

และที่สำคัญ เราก็ต้องให้อภัยตัวเองกับเหตุการณ์ที่ผ่านมา

ด้วยถ้าแม้แต่ตัวเองคุณยังให้อภัยไม่ได้ แล้วจะให้อภัยคนอื่นได้อย่างไร”


Hug magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 5
คอลัมน์: มองชีวิตผ่านหมากล้อม


4 FERS วิธีดูแลสุขภาพง่ายๆ ใกล้ตัว

4 FERS วิธีดูแลสุขภาพง่ายๆ ใกล้ตัว

เพียงคุณส่องกระจกแล้วถามตัวเองว่า “รักร่างกายนี้ไหม” “อยากใช้ชีวิตกับคนที่คุณรักให้นานที่สุดหรือเปล่า” หากคำตอบคือ “รัก” และ “ใช่” ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปแค่หันมาสนใจ ใส่ใจ และตั้งใจดูแลตัวเอง คงไม่มีใครอยากใช้เวลารักษาตัวหรืออยู่บนเตียงในโรงพยาบาลเป็นแน่ ลองย้อนกลับมาใส่ใจรายละเอียดในชีวิตประจำวัน ทำ 4 FERS ให้ดีกันเถอะ

Food

กินอาหารครบ 5 หมู่ กินอาหารตามกรุ๊ปเลือด หรือ
กินแบบแพลนต์เบส (plant-based diet) ที่เน้นพืชก็
น่าสนใจ ถ้าเลือกได้ควรกินผักผลไม้ให้ครบ 5 สี หรือกินตามรสสมุนไพรทั้ง 5 (ขม ฝาด เปรี้ยว เผ็ดร้อน จืด)
ผลไม้ 5 อย่างที่มีวิตามินซีสูงไม่เปรี้ยวหรือเปรี้ยวไม่มาก เช่น มะขามป้อม ฝรั่ง ส้มเขียวหวาน มะยม ลิ้นจี่ ฯลฯ รวมถึงดื่มน้ำให้เพียงพอ (วันละ 3 ลิตร)

Exercise

ออกกำลังกายแบบใดก็ได้ อาจทำแบบฟังก์ชันนัล
เทรนนิ่ง (functional training) เพื่อสร้างกล้ามเนื้อ เช่น สควอช แอโรบิก เดิน วิ่ง หรือปั่นจักรยาน
สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง เน้นช่วง 15-30 นาทีแรก ให้หัวใจเต้นร้อยละ 60-80 วิธีคำนวณอัตราการเต้นของหัวใจคือ นำ 220 ลบด้วยอายุ คูณด้วย 70 เปอร์เซ็นต์ ผลลัพธ์คืออัตราที่ช่วยให้หัวใจแข็งแรงและเผาผลาญไขมันส่วนเกินได้ดี ร่างกายไม่ล้าเกินไป

Respiration

คือการหายใจแบบเข้าลึก ออกยาว อย่างสม่ำเสมอ หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องแฟบ ช่วยให้อากาศเก่า-ใหม่ในร่างกายหมุนเวียนและถ่ายเทได้ดี
ได้รับก๊าซออกซิเจนเพียงพอ และช่วยไม่ให้เลือดเป็น
กรดด้วย การหายใจอย่างถูกวิธีคือเรื่องสำคัญใกล้ตัว
ที่ใครหลายคนละเลย อาจลองฝึกฝนการหายใจแบบโยคะ (ปราณยามะ) ซึ่งจะหาโอกาสอธิบายในฉบับต่อไปค่ะ

Sleeping

การนอนหลับเป็นช่วงเวลาพักผ่อนที่ทำให้ร่างกายได้ปรับสภาพและซ่อมแซมตัวเอง การนอนหลับที่ดีต้องได้ทั้ง “ปริมาณ” และ “คุณภาพ” คือ นอนราว 6-8 ชั่วโมง มีการหลับครบวงจรทั้ง “หลับตื้น หลับลึก หลับฝัน” ควรหลับลึกติดต่อกัน 1-2 ชั่วโมง จึงนับเป็นการหลับอย่างมีคุณภาพ


8 แฟชั่นไอเท็มเหล่านี้ "ดีต่อใจ"

 

เรื่อง: Daisy’s Diary

 

ช่วงนี้ใครหลายคนคงรู้สึกผ่อนคลายลงบ้าง

เพราะห้างสรรพสินค้าเริ่มเปิดให้บริการแล้ว

Daisy’s Diary ขอถือโอกาสนี้แนะนำแฟชั่นไอเท็ม

ที่อาจช่วยฟื้นอุณหภูมิทางใจของคุณให้ดีขึ้นบ้างไม่มากก็น้อย

 

 

Jennie x Gentle Monster

ราคา 450-8,500 บาท

gentlemonster.com

Jennie Blackpink ร่วมกับแบรนด์ Gentle Monster ออกแบบแว่นตาและแอคเซสเซอรี่

คอลเล็กชั่นพิเศษ แว่นกันแดด JENNIE-1996 และ JENNIE-KUKU รวมถึงสายคล้องแว่นแฟชั่น

 

 

Mask: Mystery accessories

ราคา 90 บาท

IG: Mystery accessories

Mystery accessories คืออีกหนึ่งร้านค้าออนไลน์ที่จำหน่ายหน้ากากผ้าลวดลายแซ่บ

ตอบโจทย์สายแฟฯ เนื้อผ้าไนลอนและนีโอพรีนยืดหยุ่นได้ดี คัตติ้งเนี้ยบฝีมือคนไทย

 

 

 

Facetasm x Levi’s Collection

FB: Club 21 Thailand

Facetasm (ฟาเซทซึ่ม) แบรนด์สัญชาติญี่ปุ่นร่วมกับ Levi’s แบรนด์ยีนส์สุดคลาสสิกฝั่งอเมริกา

ดีไซน์แจ็กเกตและกางเกงรูปทรงแปลกและแตกต่างในคอนเซ็ปต์ Mutation

 

 

 

H&M: New Arrivals Swimsuits

ราคา 1,099 บาท

https://th.hm.com/

ซัมเมอร์นี้ใครยังไม่มีชุดว่ายน้ำห้ามพลาดคอลเล็กชั่นใหม่จาก H&M ที่มีให้เลือกทั้งแบบ

สีสันสดใสสะดุดตา และสีขาว เขียว เรียกได้ว่าสวยคนละสไตล์ บอกเลยว่าไอเท็มนี้ต้องมี

 

 

 

Off-White™ Bangkok Line Official

Line: @OffWhitebangkok

ช่องทางใหม่แห่งการช้อปของสายสตรีท Off-White™ Bangkok Line Official Account

มอบส่วนลดพิเศษ เช่น กระเป๋ารุ่น Binder Clip Bag และสินค้าใหม่ที่พร้อมให้คุณช้อปอย่างจุใจ

 

 

 

Gucci: GG Marmont super mini bag

ราคาราว 29,000 บาท

www.gucci.com

เอาใจสาวหวานกับกระเป๋าใบจิ๋ว Gucci รุ่น GG Marmont Super Mini Bag ไซส์ Super Mini

4 เฉดสีพาสเทลทั้งชมพู ฟ้า เหลือง และสีรุ้ง เพิ่มความน่ารักด้วยลายปักด้านหลังรูปหัวใจ

 

 

Staud: Bissett & Shirley Bags

ราคา 10,100-15,000 บาท

http://staud.clothing

แบรนด์กระเป๋า Staud เอาใจคนรักสัตว์ด้วยคอลเล็กชั่นพิเศษ นำกระเป๋ารุ่น

Bissett และ Shirley (3 แบบ) มาเพ้นต์รูปน้องหมาและแมวตามแบบที่คุณต้องการ

 

 

Converse x COMME des GARÇONS PLAY

ราคาราว 5,000 บาท

www.converse.com

Converse และ COMME des GARÇONS PLAY นำเสนอสนีกเกอร์โมเดล Chuck 70

3 สีสุดแซ่บ เขียวเลม่อน ฟ้าพาสเทล และชมพูสุดคิ้วท์ พร้อมด้วยสัญลักษณ์รูปหัวใจ

 

บางคนแค่ได้ส่องของสวยๆ งามๆ ก็เพลิดเพลินใจแล้ว

แล้วจะหาแฟชั่นไอเท็มที่น่าสนใจมาแนะนำกันอีกค่ะ


:: ที่มา ::
New in Fashion
Hug magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 6
(15 พ.ค.-14 ก.ค. 2563)
ปก: กิ๊ฟ-สิรินาถ สุคันธรัต

 


ทริคแต่งหน้าสไตล์สวยแซ่บยังไงให้มั่นใจสุดๆ

เรื่องและภาพ:
Sister Make up

 

 

 

ลุคนี้ขอเอาใจสาวๆ สายแซ่บกันบ้าง ตาเข้ม ปากแดง สำหรับสาวมั่น
รับรองแต่งลุคนี้ เกิดมากถึงมากที่สุดแน่ๆ ค่ะ เริ่ม!

__________________________________________________________________________________________________________________________

 

เครื่องสำอางที่ใช้

ใบหน้า
รองพื้น: MAC nc35
แป้งฝุ่น: Laura Mercier
บรอนเซอร์: Anastasia
ไฮไลท์: Fenty Beauty
บลัชออน: NARS

__________________________________________________________________________________________________________________________

คิ้ว
ดินสอเขียนคิ้ว: Anastasia
ที่เขียนคิ้วแบบฝุ่น: Anastasia

__________________________________________________________________________________________________________________________

ตา
อายแชโดว์: Huda
อายไลเนอร์: MAC
ดินสอเขียนขอบตา: Estee
มาสคาร่า: MAC

__________________________________________________________________________________________________________________________

ปาก
ลิปสติก: Sephora 01

__________________________________________________________________________________________________________________________

 

 

01
ลงรองพื้นโดยใช้แปรงหรือฟองน้ำเกลี่ยให้เรียบเนียน และลงแป้งฝุ่นบางๆ ทั่วใบหน้า
ลองใช้หลังนิ้วลูบ อย่าให้รู้สึกหนืด หน้าจะได้ไม่เยิ้มระหว่างวัน

 

 

02
วาดโครงคิ้วด้วยดินสอเขียนคิ้ว ใช้สีฝุ่นเขียนคิ้วทาลงไปในกรอบคิ้ว
เริ่มจากสีอ่อนที่หัวคิ้วและเน้นสีเข้มทางหางคิ้ว ใบหน้าจะได้คมขึ้น

 

 

03
ทาอายแชโดว์สีน้ำตาลแมตต์ที่หัวตาถึงกลางตา

 

 

04
ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลดำทาหางตาเป็นรูปตัววี ให้ดูสวย เซ็กซี่

 

 

05
กรีดอายไลเนอร์สีดำให้คมกริบ สะบัดหางได้ยาวนิดหนึ่งเพิ่มความสวยเฉี่ยว

 

 

06
ดัดขนตา จากนั้นติดขนตาปลอมให้ชิดกับขนตาจริง และปัดมาสคาร่าทั้งบนและล่างให้ขนตางามงอน

 

 

07
ปัดแก้มสีชมพูพีชตรงหน้าแก้มให้ดูสดใส

 

 

08
ใช้แปรงปัดไฮไลท์ตามตำแหน่งดังภาพเพื่อให้ใบหน้าดูโดดเด่นมากขึ้น

 

 

09
ลงบรอนเซอร์บริเวณกรอบหน้า เอาแปรงปัดกรอบหน้าเบาๆ
จนเป็นสีน้ำตาลอ่อน แล้วเฉดดิ้งจมูกให้ดูดั้งโด่งขึ้น

 

 

10
ทาลิปสติกสีแดงเพิ่มความโดดเด่น

 

__________________________________________________________________________________________________________________________

 

โอ้ ว้าว! สวยล้ำมั่นใจ แต่งลุคนี้ไปงานไหนๆ ต้องโดดเด่นเป็นสง่าแน่นอนค่ะ
ลองแต่งดูนะคะสาวๆ สวยมาก แต่แต่งไม่ยากเลย เห็นมั้ยเอ่ย

 


4 ทริคบรรเลงท่วงทำนองรัก Woman on top ให้สุขล้น

 

  • ท่วงท่าทำนองรักที่ “ผู้หญิงอยู่ข้างบน” (woman on top) หรือ
    ท่าคาวเกิร์ล” (cowgirl)
    ที่ฝ่ายหญิงขึ้นควบขี่ จัดเป็นหนึ่งในลีลาเซ็กซ์
    ที่หนุ่มๆ ทั้งหลายโปรดปรานไม่ต่างจากสาวๆ
  • เหตุผลคือฝ่ายชายได้มองภาพเซ็กซี่ของหญิงสาวที่กำลังคึกคะนอง
    เป็นผู้ควบคุมจังหวะและความเร็วของการควบขี่อย่างเต็มพิกัด
  • ช่วยเพิ่มความอึดถึกทนให้เขาได้อยู่ยาวนานขึ้น ไม่เขื่อนแตกซะก่อน

 

___________________________________________________________________________________________________________________________

 

แน่นอนว่า ผู้ชายไม่ต้องเหนื่อยแรงมากเมื่อผู้หญิงใช้ท่านี้ แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้ชายจะ

นอนเฉยๆ สบายๆ เท่านั้น ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำว่า หากผู้ชายทำอะไรบ้างย่อมช่วยให้

เซ็กซ์สนุกและเพิ่มอรรถรสมากขึ้น ลองมาดูกันดีกว่าว่าคุณควรทำอะไร

 

1. ยื่นมือเข้าช่วย

เมื่อเธอนั่งคร่อมอยู่ด้านบน ก็ย่อมมองเห็นได้ไม่รอบทิศ ดังนั้นฝ่ายชายควรจับเจ้าหนู

สอดใส่เข้าไปในช่องคลอด ในกรณีที่ใช้ถุงยางอนามัย ก็ควรเอานิ้วจับส่วนฐานของถุงยางเอาไว้

ไม่ให้เลื่อนหลุดในช่วงพีค (ที่จริงควรใช้ถุงยางอนามัยเสมอแต่ถ้าคิดว่าใส่แล้วรู้สึกไม่สะดวก

แสดงว่าอาจจะเลือกถุงยางผิดก็ได้นะ)

 

2. แสดงให้รู้ว่าชอบสิ่งที่เธอทำมากแค่ไหน

ขณะที่เธอกำลังควบขี่ ให้มองดูเธอราวกับว่าคุณกำลังเพลิดเพลินกับภาพที่ได้เห็น พร้อมเอ่ยว่า

เธอฮอต สวย เซ็กซี่ สิ่งที่เธอทำนั้นช่างยอดเยี่ยม ถูกใจจริงๆ สิ่งเล็กน้อยนี้จะช่วยเพิ่มความคึกให้เธอ

มากยิ่งขึ้น

 

3. ช่วยคุมจังหวะ

แม้ว่าทั้งคู่จะชื่นชอบท่วงท่านี้เพราะผู้หญิงเป็นฝ่ายควบคุมและทำจังหวะด้วยตนเอง แต่ถ้า

ฝ่ายชายอยากมีส่วนร่วมมากขึ้น ให้คุณลองโอบรอบสะโพก หรือจับลำตัว เพื่อนำเธอเข้าจังหวะที่

สร้างความสยิวได้ทั้งสองฝ่าย โดยคุณผู้ชายต้องแน่ใจว่าเป็นจังหวะที่เธอโอเค.ด้วย ไม่อย่างนั้นอาจ

จบลงที่การจับตัวเธอยกขึ้นยกลงเหมือนเครื่องเจาะถนน พาลหมดอารมณ์กันพอดี

 

4. ให้เธอได้สุขก่อน

“ผู้หญิงอยู่ข้างบน” เป็นท่าที่ช่วยให้ผู้หญิงได้ปลดปล่อยอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงควรใช้ช่วงเวลานี้

ให้นานมากพอจนทำให้เธอถึงจุดสุดยอดไปเลย นับเป็นของขวัญจากรสสัมผัสรักที่มอบแก่เธอ

 

เทคนิคคือให้คลิทอริสถูกสัมผัสมากขึ้นเมื่อผู้หญิงอยู่ข้างบนคือ ผู้ชายทำนิ้วเป็นรูปตัว V

แล้ววางลงไป ปลายของตัว V จะแนบบนคลิทอริสพอดี นิ้วก็จะอยู่ด้านข้างของเจ้าหนู

ขณะที่เธอควบขี่ วิธีนี้จะกระตุ้นคลิทอริส แคมใน และท่อปัสสาวะ ให้ความรู้สึกเสียวซ่าน

ถึงใจสุดๆ เชียวล่ะ

 

ช่วงนี้บางคนยัง work from home มีเวลาอยู่ด้วยกันเยอะ

ลองนำทริคเหล่านี้ไปใช้เพื่อเติมรักให้ครบรสได้นะคะ

 


:: ที่มา ::
“ปัญหาคาใจ ผมควรทำอย่างไร เวลาแฟนอยู่ข้างบน”
คอลัมน์ “ความรู้รอบเตียง”
โดย องค์หญิงชิงเสียว
Hug magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 6
(15 เม.ย.-14 พ.ค. 2563)
ปก: แจ๊คกี้-ชาเคอลีน มึ้นช์


9 วิธีปรับไลฟ์สไตล์ฟื้นสมรรถภาพทางเพศ

 

สวัสดีค่ะ คุณหมอชัญวลี

ดิฉันอายุ 39 ปี มีแฟนอายุ 45 ปี คบกันมา 3 ปี ทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เขามักหยุดกลางคัน
และขอโทษที่เขาเป็นแบบนี้ เราทำได้แค่ปลอบใจและนอนกอดกัน แต่แล้วประมาณตี 4-5
เขากลับมีเพศสัมพันธ์กับดิฉัน แต่ใช้เวลาไม่นานเขาก็เสร็จกิจ ไม่ทราบว่าดิฉันควรเปิดใจพูดคุย
พาแฟนไปหาหมอ หรือเขามีแนวโน้มป่วยทางกายหรือใจอย่างไรไหมคะ
รบกวนคุณหมอให้คำแนะนำด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ

 


 

ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศของชาย (male sexual dysfunction) พบได้บ่อย ขึ้นอยู่กับ

อายุ โดยเฉลี่ยผู้ชายอายุ 40 ปี มักมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งหรือ

รวมกันหลายรูปแบบ ถึงร้อยละ 40

การหย่อนสมรรถภาพทางเพศในชายนั้นเป็นผลจากความผิดปกติของระบบหลายอย่างใน

ร่างกาย ได้แก่ ระบบหัวใจและหลอดเลือด ประสาทสมอง ฮอร์โมน และจิตใจ มีหลายรูปแบบด้วยกัน

เช่น อวัยวะเพศไม่แข็งตัวหรืออีดี (ED-erectile dysfunction) ความต้องการทางเพศลดลง

(diminished libido) การหลั่งผิดปกติ เช่น หลั่งเร็ว หลั่งช้า ไม่หลั่ง (abnormal ejaculation) แต่

ภาวะอีดีนั้นพบมากที่สุด ในกรณีที่ถามมา แฟนของคุณน่าจะมีภาวะอีดี มาฟังวิธีรับมือกับอาการ

ดังกล่าวกันค่ะ

 

สาเหตุการเกิดอีดี

การแข็งตัวของอวัยวะเพศชายนั้นเกิดจากการกระตุ้นระบบประสาทสมองส่วนกลาง
และส่วนปลาย
(central and peripheral nervous system) จากสัมผัสต่างๆ เช่น
ได้ยิน เห็น คิด สัมผัสผ่านผิวหนัง หรือ
เป็นการกระตุ้นของฮอร์โมนช่วงนอนหลับ
เลือดจึงไหลมาคั่งที่อวัยวะเพศจนอวัยวะเพศแข็งตัว

 

อีดีพบได้บ่อยในชายสูงวัย ชายอายุต่ำกว่า 30 ปี พบอีดีไม่เกินร้อยละ 10 ส่วนอายุเกิน
70 ปี
พบอีดีมากถึงหนึ่งในสาม

 

ปัจจัยเสี่ยงสูงสำหรับอีดี ได้แก่ เป็นชายวัยกลางคนอายุเฉลี่ย 46 ปี อ้วน สูบบุหรี่
ชอบนั่งอยู่กับที่
เป็นเวลานาน เครียด นอนกรน มีโรคเรื้อรังประจำตัว เช่น โรคหัวใจ
เบาหวาน ความดันโลหิตสูง
ไขมันในเลือดสูง โรคจิตโรคประสาท ฯลฯ กำลังกินยา
รักษาโรคเรื้อรังเหล่านี้อยู่

 

9 วิธีรับมือกับอีดี

1. ป้องกันการเกิดอีดี ก็คือป้องกันปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุ เช่น ไม่อ้วน ไม่ผอม พักผ่อนเพียงพอ

มีวิธีลดความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ได้แก่ ผัก ผลไม้

ธัญพืช ลดอาหารไขมันสูง รักษาโรคเรื้อรังให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงปกติ คนที่มีไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพ

จะมีโอกาสเกิดอีดีน้อยกว่า

 

2. มีเพศสัมพันธ์อย่างน้อยอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ในคนที่ยังไม่เป็นอีดี งานวิจัยตีพิมพ์ในวารสาร

ทางการแพทย์ The American Journal of Medicine 2008:121:592. พบว่าคนที่มีเพศสัมพันธ์

น้อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง มีโอกาสเกิดอีดีมากกว่าคนที่มีเพศสัมพันธ์สัปดาห์ละครั้งถึง 2 เท่า แม้ปรับ

ความเสี่ยงสูงต่างๆ ในการเกิดอีดีแล้ว

 

3. ทำใจว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา เนื่องจากเป็นกระบวนการเสื่อมตามธรรมชาติในผู้สูงวัย

งานวิจัยพบว่า แม้ไม่มีโรคอะไร เมื่ออายุมาก ก็พบอีดีเพิ่มขึ้น หากเป็นน้อย นานๆ เป็นครั้ง ไม่มีปัญหา

กับคู่ครอง หรือบางคนไม่มีคู่ครอง อาจไม่ต้องรักษา

 

4. แก้ปัญหานอกเตียง ปัญหาในเตียงมักมาจากนอกเตียง ปัญหาอีดีในชายบางคนเป็นกับ

หญิงบางคน คู่ครองควรมีปิยวาจา พูดจาให้กำลังใจ ปลอบใจ ไม่ซ้ำเติม เป็นเพื่อนดูแลสุขภาพ

ออกกำลังกาย เลือกอาหารสุขภาพ เลือกเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ตามการแข็งตัวของอวัยวะเพศซึ่งมักเป็น

ตอนเช้ามืด พาไปพบแพทย์ตรวจร่างกายประจำปี หรือยามเจ็บป่วย

 

5. ตรวจหาสาเหตุ นอกจากโรคเรื้อรังทำให้เกิดอีดี อีดีเองก็ยังเป็นสัญญาณของโรคเรื้อรังที่

แฝงอยู่ในร่างกาย งานวิจัยตีพิมพ์ใน วารสารทางการแพทย์ JAMA (The Journal of the American

Medical Association) 2005: 294:2996. ติดตามคนที่มีอาการอีดีโดยไม่มีโรคอะไรอยู่นาน 5 ปี

พบว่าคนที่เป็นอีดีร้อยละ 57 เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ ดังนั้นหากมีอาการอีดี ควรพบแพทย์เพื่อตรวจ

หาโรคเรื้อรังที่แฝงอยู่ที่อาจเป็นสาเหตุ ส่วนคนที่มีโรคเรื้อรังอยู่แล้ว ควรพบแพทย์เพื่อดูแลรักษา

ควบคุมโรคให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

 

6. เปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ วิธีรับมือเมื่อฝ่ายชายมีอาการอีดี ก่อนอื่นต้องเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์

เช่น ลดน้ำหนัก ไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ เลือกรับประทานผักผลไม้ลดอาหารไขมันสูง พักผ่อนเพียงพอ

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ งานวิจัยพบว่า การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ทุกอย่าง โดยเฉพาะการ

ลดน้ำหนักและออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ สามารถเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ ทำให้อวัยวะเพศ

แข็งตัวดีขึ้น

 

7. งดออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานทางไกล แม้จะไม่เป็นที่ยอมรับกันทั้งหมด งานวิจัย

European Urology 2002: 41:139 พบว่าการขี่จักรยานทางไกล กดเส้นประสาทฝีเย็บ (perineal

nerve) กับอานจักรยาน ลดแรงดันออกซิเจนในหลอดเลือดแดง (pudenda artery) ที่มาเลี้ยง

อวัยวะเพศ ทำให้เกิดเหน็บชา (penile numbness) และอีดีในที่สุด

 

8. พิจารณาหยุดยา ซึ่งอาจทำให้เกิดอีดี เช่น ยาต้านซึมเศร้า (antidepressants) ยาขับปัสสาวะ

(thiazide, spironolactone) ยารักษาเชื้อรา (ketoconazole) ยาลดกรด (cimetidine) ฯลฯ

 

9. พบแพทย์ หากดูแลตนเอง ปรับไลฟ์สไตล์ต่างๆ แล้วไม่ดีขึ้น แพทย์จะซักประวัติ ตรวจร่างกาย

ตรวจเลือด ตรวจพิเศษต่างๆ เพื่อหาสาเหตุ และรักษาตามสาเหตุ เช่น ใช้ฮอร์โมนเพศชาย ในรายที่

เกิดจากระดับฮอร์โมนเพศชายต่ำ รักษาด้วยยา PDE5 inhibitors เช่น ซิลเดนนาฟิล (ไวอะกร้า)

วาเดนนาฟิล ทาดาลาฟิล (sildenafil, varldenafil tadalafil) หรือใช้ยาฉีดกระตุ้นอวัยวะเพศให้แข็งตัว

เป็นครั้งๆ เมื่อจะมีเพศสัมพันธ์ หรือใช้เครื่องปั๊ม หรือผ่าตัดฝังแกนอวัยวะเพศเทียม ฯลฯ นอกจากนั้น

แพทย์สามารถช่วยลดความเครียด และแนะนำการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องได้

 

จาก เรื่อง “9 วิธีรับมือภาวะหย่อนสมรรถภาพ”
คอลัมน์ “สุขภาพสุขเพศ”
โดย พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
Hug magazine ปีที่ 11 ฉบับที่ 5
(15 เม.ย.-14 พ.ค. 2562)