แต่งหน้าไปเดทสไตล์สวยเซ็กซี่

แต่งหน้าไปเดทสไตล์สวยเซ็กซี่

แต่งสวยด้วยตัวเอง
10 SEP 2020

เรื่อง/ภาพ
Sister Makeup

ก่อนโควิด-19 ระลอกสองจะกลับมา หลายคนอาจมีนัดออกเดทกับหนุ่มหล่อล่ำ เอาไงดีล่ะคะทีนี้  แต่งหน้ายังไงให้ดูมีเสน่ห์ดึงดูดแต่ไม่เยอะจนเกินไป มาค่ะ! แต่งหน้ามัดใจหนุ่มให้อยู่หมัดตั้งแต่แรกเจอกันดีกว่า

เครื่องสำอางที่ใช้

ใบหน้า

รองพื้น: Makeup forever

แป้งฝุ่น: Hourglass

บรอนเซอร์: Tarte

ไฮไลท์: Anastasia

บลัชออน: MAC

 

คิ้ว

ดินสอเขียนคิ้ว: Anastasia

ที่เขียนคิ้วแบบฝุ่น: Anastasia

 

ตา

อายแชโดว์: Anastasia

มาสคาร่า: MAC

 

ปาก

ลิปสติก : Sephora

01

ลงรองพื้นโดยใช้แปรงหรือฟองน้ำเกลี่ยให้เรียบเนียน และลงแป้งฝุ่นบางๆ ทั่วใบหน้า ลองใช้หลังนิ้วลูบ อย่าให้รู้สึกหนืด หน้าจะได้ไม่เยิ้มระหว่างวัน

02

ใช้สีฝุ่นเขียนคิ้วทาลงไปในกรอบคิ้ว เริ่มจากสีอ่อนที่หัวคิ้วและเน้นสีเข้มทางหางคิ้ว ใบหน้าจะได้คมขึ้น

03

ทาอายแชโดว์สีทองตรงหัวตาถึงกลางตา

04

ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มทาหางตา และคัดเบ้าเล็กน้อยให้ตาดูคมขึ้น

05

กรีดอายไลเนอร์ สะบัดหางวีเชฟให้ตาดูคมและเฉี่ยวมากขึ้น

06

ติดขนตาและปัดขนตาทั้งบนและล่างให้ขนตาดูงามงอน

07

ลงบรอนเซอร์บริเวณกรอบหน้า เอาแปรงปัดกรอบหน้าเบาๆ จนเป็นสีน้ำตาลอ่อน แล้วเฉดดิ้งจมูกให้ดูดั้งโด่งขึ้น

08

ปัดแก้มโทนสีน้ำตาลอมส้มตรงหน้าแก้มเพิ่มความเซ็กซี่

09

ใช้แปรงปัดไฮไลท์ 5 จุด หน้าผาก โหนกแก้ม ทั้ง 2 ข้าง ปลายคาง และจะงอยปาก เพิ่มจุดรับแสงให้ใบหน้าดูโดดเด่น

10

ทาลิปสติกสีส้มอมแดงระเรื่อ จากนั้นทาลิปกลอสทับให้ดูฉ่ำวาวสดใสน่ามองมากขึ้น

ว้าว! แต่งง่ายมาก แต่สวยแบบมีระดับและน่าประทับใจ สวยปนเซ็กซี่ชนิดที่ไม่ได้ดูจงใจจนเกินไป หนุ่มๆ เห็นเป็นต้องตะลึงตาค้างแน่นอนค่ะ สวยแล้วก็ไปออกเดทกัน ขอให้ได้ ขอให้โดน เพี้ยง!


รักแบบ New Normal

รักแบบ New Normal

ผู้ชายขั้วลบ
09 SEP 2020

เรื่อง
อ.จตุพล ชมภูนิช


INTRO

เมื่อครั้งที่ตอนโควิด-19 เข้ามาแพร่เชื้อกับคนไทย

ทางสาธารณสุขของไทยประกาศให้คนไทย รักษาระยะห่างอย่างน้อย 1-2 เมตร เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

มีคำถามน่าสนใจ ถามเข้าไปว่า แล้ว สามีภรรยาจะสามารถมีเพศสัมพันธ์กันได้ไหมในช่วงเวลานี้

ก็มีคำตอบน่าสนใจว่า ทำได้ เพียงแต่ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ ต้องรักษาระยะห่าง 1-2 เมตรให้ได้ เท่านั้นเอง

เรื่องนี้เป็นที่พูดต่อๆ มาแบบขำๆ ว่า จะทำได้ยังไง


รักแบบ New Normal นั้น น่าทำและถ้าทำได้จะรักษาความรักให้ยาวนาน

เพราะทำให้ความรักไม่อ่อนแอ ติดเชื้อทางใจ จนต้องเลิกรากันไปในที่สุด

ใช้ชีวิตทั่วไปแบบ New Normal คือ

ออกไปไหนให้รักษาระยะห่างกันเข้าไว้ อย่าอยู่ใกล้กันเกินไป

ล้างมือให้บ่อยๆ จนติดเป็นนิสัย

สวมหน้ากากผ้า หรือหน้ากากอนามัย ตลอดเวลา (แม้แต่เวลาเล่นน้ำ)

ไม่เอามือมาจับปาก จับจมูกตัวเอง และไม่พาตัวเองไปในสถานที่ที่มีคนชุมนุมกันหนาแน่น

นี่คือการใช้ชีวิตปกติแบบวิถีใหม่ ที่คนไทยต้องทำให้คุ้นเคย

เพราะถ้าทำแบบเดิมอาจจะ ทำได้สบาย แต่จะ ทำให้ชีวิตลำบาก

เช่น เมื่อก่อนไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย ยกเว้นไม่สบายหรือเป็นหวัด

ไปไหนก็ไปได้ จะคนแน่นขนาดไหน เบียดได้ก็เบียดกันไป

ไม่ต้องล้างมือบ่อยก็ได้ จะล้างทำไม เปลืองน้ำ

จับปาก จับจมูกจนเป็นนิสัย ก็ไม่จับปาก จับจมูกใคร เราจับของเราเอง

สิ่งเหล่านี้ต้องเปลี่ยน ถ้าไม่ เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ อาจจะ ไม่เหลือชีวิตให้เปลี่ยน

ส่วนความรักแบบ New Normal ก็คือ

เคยทำอะไรแบบเดิมๆ แล้วมันไม่ดี ก็ควรเปลี่ยนเป็นวิถีปกติใหม่ได้แล้ว

คำพูด – เคยพูดจาแบบไม่แคร์ความรู้สึกใคร ยิ่งเห็นเป็น คนใกล้ คิดว่าไม่ต้องระวังอะไร ของตาย ไปไหนไม่รอด ก็ควรเปลี่ยนคำพูดเป็น New Normal คิดก่อนพูดทุกคำ คิดถึงคนฟังว่าเขาจะรู้สึกอย่างไร และถ้าทำประจำจนเป็นนิสัย ก็จะกลายเป็นคนพูดดีกับคนที่เรารัก

การกระทำ – เคยทำอะไรที่ไม่เคยสนใจ ว่าคนรักจะรู้สึกอะไร ก็ควรเปลี่ยนเป็น New Normal ได้แล้วคือ ก่อนทำให้คิดก่อน ไม่ใช่ทำไปแล้วถึงกลับมาคิดได้ ว่าไม่น่าทำ หรือแม้น สิ่งที่ไม่ได้ทำ

ความสัมพันธ์ที่ห่างไกล ไม่ใช่แค่เกิดจากการกระทำของอีกฝ่าย แต่ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นได้ เพราะ อะไรที่ควรทำ แต่ ไม่ได้ทำ

ไม่เคยเอาใจใส่ ไม่รักษาสัญญาคำพูดที่ให้ไว้ ไม่เคยทำอะไรให้ ไม่มีของฝาก ของขวัญ ไม่เคยโอบหลังโอบไหล่ ไม่เคยแสดงว่าห่วงใย หรือให้ความรักต่อกัน

พอเปลี่ยนเป็นรักแบบ New Normal คราวนี้สิ่งที่ควรทำก็ทำต่อกันแบบเต็มใจ ความรักที่กำลังจะจางหายก็กลับไปสดใสเหมือนเดิม

ความคิด – จากที่เคยคิดว่าอีกฝ่ายไม่มีค่า เป็นตัวปัญหา เป็นส่วนเกิน หรือไร้ความหมาย พอคิดแบบปกติวิถีใหม่ คิดได้ว่า ถ้าไม่มีเขา คงไม่มีเราในวันนี้ เขามีค่า คอยอยู่และให้กำลังใจเราตลอดมา คงหาใครทดแทนไม่ได้

เมื่อ ความคิดใหม่มา กริยาท่าทางวาจาก็จะเปลี่ยนไป กลายเป็นคนใหม่ ที่คิดใหม่ให้สิ่งที่ดีต่อกัน

แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้ เมื่อทำแรกๆ ก็ย่อมจะไม่ง่าย เพราะไม่เคยทำ ไม่ใช่ความปกติธรรมดา หรือว่า Normal

แต่ถ้าทำบ่อยเข้าจนกลายเป็นนิสัย กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตได้ มันจะกลายเป็น ความปกติ ที่นำความสุขมาสู่ชีวิตคู่ได้มากมาย

ความรัก เหมือน การปลูกต้นไม้ ต้องรู้ว่าแต่ละต้นชอบน้ำ ชอบแดดแบบไหน ต้องดูแลเอาใจใส่อย่างไร

ถ้าปลูกต้นไม้แบบทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่สนใจ

สักวันจะเหลือแค่ ซากต้นไม้ ไว้ให้ดู


'ใบเฟิร์น' อัญชสา ชวนอ่านเรื่อง "รักแบบ New Normal"

'ใบเฟิร์น' อัญชสา

: เข้าใจรักแบบปกติใหม่

ใช้ชีวิตแบบ New Normal

INTERVIEW
08 SEP 2020

เรื่อง
วรุณพร

ภาพ
อนุชา ศรีกรการ


INTRO

เมื่อโรคภัยส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความรัก การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ชีวิตและความรักอยู่รอดปลอดภัยในยุค New Normal หรือความปกติในรูปแบบใหม่

ใบเฟิร์น-อัญชสา ก็ต้องปรับตัวปรับใจให้ก้าวผ่านความเหงาในช่วงกักตัวเช่นกัน

ฮักขอชวนคุณเรียนรู้เรื่องรักผ่านประสบการณ์ชีวิตของเธอคนนี้


ความผูกพันในวัยเยาว์

ฮักเชื่อในทฤษฎีความผูกพัน (attachment theory) จึงขอเริ่มบทสนทนากับใบเฟิร์น-อัญชสาด้วยเรื่องราวชีวิตวัยเด็ก

เธอเติบโตในครอบครัวที่อบอุ่นด้วยการเลี้ยงดูของคุณพ่อ คุณแม่ และคุณย่า ใบเฟิร์นเผยรอยยิ้มสดใสก่อนเล่าว่า “เฟิร์นเป็นเด็กแสบของครอบครัว พ่อแม่ตามใจแต่ไม่ได้สปอยด้วยการซื้อของทุกอย่างให้ ใช้ชีวิตค่อนข้างเรียบง่าย แม่สอนเฟิร์นให้รู้จักคุณค่าของเงิน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยแม่ให้เฟิร์นเก็บเงินซื้อรถคันแรกด้วยตัวเอง ทุกวันนี้เฟิร์นเลยหาเงินเก่ง เก็บเงินเก่ง และรู้คุณค่าของเงิน”

เมื่อถามถึงแรงสนับสนุนจากครอบครัวที่ผลักดันให้เธอได้ทำในสิ่งที่ใจรัก ใบเฟิร์นตอบด้วยประกายตาแสนสุขว่า “บางครอบครัวอาจไม่สนับสนุนให้ลูกเข้าวงการบันเทิง แต่เฟิร์นกล้าแสดงออกและเรียนการแสดงมาตั้งแต่เด็ก พ่อแม่ให้เฟิร์นทำในสิ่งที่รัก แม้ดูไม่มีแววว่าจะเดินบนเส้นทางบันเทิงมาไกลถึงทุกวันนี้ แต่เขาก็สนับสนุน ตอน ม.ปลาย หลังเลิกเรียน แม่ก็มารับไปแคสท์งานโฆษณา บางวัน 2-3 งาน กว่าจะเสร็จก็ 3-4 ทุ่ม เขาสนับสนุนเรามากจริงๆ ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเราเลือกเรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ พ่อแม่ก็ไม่เคยห้าม เฟิร์นเชื่อว่าเด็กทุกคนมีความเก่งในแต่ละด้านที่แตกต่างกัน หากรู้ว่าลูกชอบอะไรควรผลักดันไปให้สุดกำลังบนเส้นทางนั้น”

จากลักษณะความสัมพันธ์ในครอบครัวของสาวใบเฟิร์น อาจวิเคราะห์โดยสังเขปได้ว่า ความผูกพันในวัยเด็กส่งผลให้เธอเป็นคน “เชื่อมั่นในความรัก” (secure type) ซึ่งคนกลุ่มนี้เติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่น พ่อแม่เอาใจใส่อย่างเต็มที่ ไม่เคยทำให้รู้สึกขาด จนกลายเป็นลักษณะนิสัยประจำตัว มองโลกในแง่ดี เห็นคุณค่าในตนเอง และให้ความสำคัญแก่การเป็นตัวของตัวเอง มาติดตามกันว่าจะตรงตามการวิเคราะห์นี้มากน้อยแค่ไหน

รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป

ประเด็นที่ฮักไม่อาจมองข้ามคือเรื่องราวความรักของสาวใบเฟิร์นที่เพิ่งจบลงเมื่อต้นปี 2563 จึงต้องขอให้เธอช่วยบอกเล่าสักนิดว่า ความรักครั้งนี้เธอได้บทเรียนสอนใจใดบ้าง “เราคบกันมาประมาณ 2 ปีกว่า รักครั้งนี้สอนให้เฟิร์นรู้ว่า การเลิกรานั้นไม่มีใครผิดหรือถูก เขาไม่ได้ทำอะไรแย่ เราแค่ไม่ได้รักกันในแบบคนรักอีกต่อไปแล้ว ไม่มีใครทำอะไรผิด เราต้องยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้นและจบลงด้วยดี ก่อนจบความสัมพันธ์ครั้งนี้เฟิร์นคิดหนักมาก เพราะไม่มีใครผิดและไม่มีเรื่องผิดใจกัน การเลิกกันของเราไม่มีวี่แววเลย เพื่อนทุกคนก็แปลกใจเพราะไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต ความชอบของเรานั้นเหมือนกันมากจนทุกคนสงสัยว่าเลิกกันทำไม ทุกวันนี้เรายังรักและห่วงใยกัน มีอะไรก็ไลน์หากัน แค่ไม่ได้อยู่ในสถานะเดิม แต่เป็นความสบายใจของเราทั้งสองคน

“อีกอย่างคือถ้าตอนนี้เรายังมองภาพในอนาคตแบบคนรักไม่ออก ภาพการใช้ชีวิตครอบครัวร่วมกันย่อมไม่ชัดเจน สู้เดินออกมาจากความสัมพันธ์ตอนนี้ดีกว่า เพื่อนคนหนึ่งเคยบอกว่า ให้ความสัมพันธ์จบลงที่คนสองคน เพราะถ้าความรักไม่เหมือนเดิมจะมีบุคคลที่สามเข้ามาแทรก เราจะรอให้ถึงวันนั้นแล้วค่อยเลิกกันเหรอ จบกันด้วยดีแบบนี้ดีกว่าปล่อยให้เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นในความสัมพันธ์ ลองลดสถานะทั้งที่ยังรักและเป็นห่วงกัน มีอะไรยังปรึกษากันได้ ดีกว่าทะเลาะจนมองหน้ากันไม่ติด ช่วงเวลาที่ดีของเรานั้นมีเยอะ เราสนิทกับครอบครัวเขามาก แค่ตอนนี้เราไม่ได้เจอกันหรือคุยกันทุกวันเท่านั้นเอง”

New Normal: New Bifern

ไม่อยากเชื่อเมื่อสาวสวยนัยน์ตาคมคนนี้บอกเราว่า เธอเป็นคนรักที่นิสัยไม่ดีมาก่อน “เฟิร์นเคยเป็นคนใจร้อน ใช้คำพูดไม่ดีทำให้คนอื่นเสียใจ เพราะแค่อยากเอาชนะ จนได้เรียนรู้ว่าเราชนะแค่วินาทีนั้นแต่โดยรวมกลับพ่ายแพ้ เพราะเรามีส่วนทำให้ความสัมพันธ์นั้นมีรอยร้าวจนพังทลายในที่สุด ความใจร้อนของเราทำให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก ส่งผลกระทบระยะยาว นำไปสู่จุดจบของความสัมพันธ์ เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่าทำไมเราเป็นคนรักที่ใจร้ายขนาดนั้น

“ทุกวันนี้เฟิร์นเป็นคนใจเย็นมากเมื่อเทียบกับคนเดิมในอดีต ก่อนนี้แม่เคยบอกว่า ‘ถ้าอยากคบใครนานๆ ก็เลิกเอาแต่ใจได้แล้ว ใจเย็นซะบ้าง’ แต่ทุกวันนี้เฟิร์นใจเย็นมาก (ลากเสียงยาว) จนคนในครอบครัวรับรู้ได้ และไม่คิดว่าเฟิร์นจะเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ เฟิร์นเคยเป็นคนนิสัยไม่ดีจนสูญเสียคนที่ดีมากคนหนึ่งในชีวิตไป หลังจากนั้นก็เปลี่ยนแปลงตัวเองมาตลอด ไม่ใช่ทำได้ในทันทีหรือเป็นคนดีอะไรขนาดนั้น แต่ค่อยๆ เรียนรู้และพัฒนาตัวเองมาเรื่อยๆ ยังมีจุดบอดเล็กๆ น้อยๆ

“มุมมองที่มีต่อความรักของเฟิร์นเปลี่ยนไปเยอะนะ ยิ่งตอนนี้เหมือนเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านของชีวิต ตอนที่เรายังเด็กกว่านี้ เราเป็นคนใจร้อน อีโก้สูง เป็นคนรักที่นิสัยไม่ดี เฟิร์นเรียนรู้ทุกครั้งหลังจบความสัมพันธ์ ได้ทบทวนตัวเองว่าเราทำผิดอะไร ได้รับบทเรียนอะไรจากรักครั้งนี้ พยายามปรับปรุงตัวเองอยู่เรื่อยๆ ต่อจากนี้เฟิร์นจะเป็นคนรักที่ดี ถ้าต้องสูญเสียอีกครั้งจะไม่เสียใจถึงขนาดนั้นแล้ว ก่อนนี้เฟิร์นทุ่มเทให้แก่ความรักมาก พอผิดหวังก็ฟูมฟายมากเช่นกัน แต่ ณ ตอนนี้กลับรู้สึกว่า ถ้าเราทำดีมากพอมาตลอดความสัมพันธ์ ในวันที่ต้องเลิกรากันเราคงเสียใจแต่ไม่ฟูมฟายมาก เพราะเรียนรู้แล้วว่าสุดท้ายมันก็เท่านี้เอง”

ก้าวข้ามความเหงาในยุค New Normal

ความเหงานั้นไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 เข้ามากระทบการใช้ชีวิต ความเหงายิ่งชัดเจนขึ้นกว่าที่ผ่านมา แล้วสาวใบเฟิร์นมีวิธีจัดการความเหงาในยุค New Normal อย่างไร “ตอนนี้ไม่ได้คุยกับใครเป็นพิเศษเลย บางทีก็รู้สึกเหงา เพื่อนเคยบอกว่า ให้กลับมารักตัวเองก่อน เห็นคุณค่าในตัวเอง ตอนแรกเฟิร์นไม่เข้าใจจริงๆ เพราะรู้สึกว่ารักตัวเองอยู่แล้ว แต่เมื่อมีประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้น จึงเรียนรู้ว่าที่ผ่านมาเราไม่ได้รักตัวเอง เพราะเรายอมให้ตัวเองอยู่ในความสัมพันธ์ที่ร้องไห้ทุกวัน ไม่มีความสุข จนไม่มั่นใจในตัวเอง

“ถ้าเป็นก่อนเกิดโรคโควิด-19 เราคงหากิจกรรมทำเพราะมีเพื่อนหลายกลุ่ม ชวนกันไปกินข้าว เล่นบอร์ดเกมส์ แต่การจะผ่านพ้นความเหงาในช่วงกักตัวแบบนี้อาจเป็นเรื่องยากสักหน่อย ช่วงนี้เฟิร์นใช้เวลาดูซีรี่ส์ ฟังเพลง แต่มีบางคืนที่เราก็งงว่าทำไมถึงเหงาขนาดนี้ ทำไมคืนนี้ถึงเงียบจังเลย จะเปิดเพลงก็ไม่อยากฟัง จะเปิดซีรี่ส์ก็ไม่อยากดู แต่ยังรู้สึกเหงา สิ่งที่ทำได้คือแค่รับรู้ว่ากำลังเหงา แล้วบ่นกับตัวเองว่า เหงาจังเลย ไปนอนดีกว่า (หัวเราะ) พอข่มตานอนแล้วตื่นมาความเหงาก็หายไป เรายินยอมให้ตัวเองเหงาจนหลับไปดีกว่าอยู่ในความสัมพันธ์ที่ทำให้ร้องไห้จนนอนไม่หลับ

“แม้เฟิร์นเป็นคนที่มีกิจกรรมเยอะแต่เรื่องความเหงานั้นห้ามกันไม่ได้จริงๆ มีบ้างที่รู้สึกว่าไม่อยากอยู่คนเดียว โทร.หาเพื่อนทุกคน แต่พอทุกอย่างลงตัวก็รู้สึกดีขึ้น ทุกวันนี้เฟิร์นพยายามหากิจกรรมทำ เช่น ทำอาหารไปแจกให้คนที่ต้องการ ก็ช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้น ได้เห็นว่าตัวเองมีคุณค่า ทำให้คนอื่นมีความสุข ช่วยให้เขาอิ่มท้องได้”

แชร์ข้อคิดความรัก

เมื่อเราให้ใบเฟิร์นฝากแง่คิดดีๆ เธอก็แชร์ไว้อย่างคนเข้าใจชีวิต “คนมีคู่ถ้ามีคนดีอยู่ข้างกายแล้ว อยากให้รู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่คุณจะได้เจอคนดีๆ จงรักษาความรักไว้ให้ดี อย่าทำเหมือนเฟิร์นที่คิดว่าตัวเองมีคนรักที่ดีแล้วคิดว่าเขาจะต้องทนเราได้ ไม่หนีเราไป ไม่อยากให้คุณคิดแบบนั้น เพราะทุกคนมีขีดจำกัด ถ้ามีคนดีๆ อยู่เคียงข้างแล้วก็ต้องรักษาเขาไว้ให้ดี

“ส่วนใครที่อยู่ในความรักที่ไม่ดี เฟิร์นอยากบอกว่า เดินออกมาเถอะ มีแฟนคลับมาปรึกษาว่าเดินออกมาจากความรักที่ไม่ดีไม่ได้ มันเป็นเรื่องยาก เฟิร์นเองก็เคยเป็นคนที่ต่อให้ใครบอกว่าต้องเลิกก็ทำไม่ได้ แต่คุณจะเสียเวลารักคนที่ใจร้ายกับคุณไปทำไม เดินออกมาเถอะ เมื่อคุณเจอคนที่เขาทำดีกับคุณ คุณจะรักเขาและมีความสุขได้มากกว่าทุกวันนี้ที่ทนอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ดีแน่นอน

“สำหรับคนโสดคงมีคนที่กำลังรู้สึกเหงาจนฉุกคิดว่า ‘อยากมีแฟนจังเลย’ ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด เฟิร์นเองก็อยากมีแฟน แต่ถ้าจะมีแฟนเพราะความเหงา เฟิร์นว่ายอมอยู่กับความเหงาแล้วหลับไป ดีกว่าร้องไห้จนนอนไม่หลับแล้วตื่นมาก็มีเรื่องให้ร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะคุณยังไม่พร้อมมีใคร อย่ามีความรักเพราะเหงา เป็นอีกข้อที่เฟิร์นต้องเตือนตัวเองเช่นกัน เฟิร์นเรียนรู้แล้วว่ารีบร้อนมากไปไม่ดีเลย แม้วันนี้จะเหงามากแค่ไหนก็จะไม่มีแฟน ถ้าไม่เจอคนที่คู่ควรกับความรักของเราจริงๆ”

อย่างที่ใบเฟิร์นบอก “ความรักไม่ใช่เรื่องง่าย” ช่วงเวลาที่เศร้าเสียใจนั้นช่างยาวนานและแสนยากเย็น หากเราค่อยๆ เรียนรู้ ยอมรับ ปรับตัว และรักตัวเองให้มากพอ ย่อมช่วยให้ชีวิตมีความสุขได้ไม่ว่าในยุคนี้หรือยุคไหน คุณว่ามั้ย

  Hug magazine ปีที่ 12 ฉบับที่ 7

(15 กรกฎาคม-14 กันยายน 2563)


สายสุขภาพห้ามพลาด! เครื่องปั่นน้ำผักผลไม้ไร้สายแบบพกพา

สายสุขภาพห้ามพลาด!

เครื่องปั่นน้ำผักผลไม้ไร้สายแบบพกพา

เรื่อง: น้องเหมียวไอที

ภาพ: Xiaomi Youpin 

การที่เรากักตัวเองอยู่บ้านหลายวัน หากมองในแง่ดีก็ถือเป็นโอกาสในการหันกลับมาดูแลสุขภาพอีกทางหนึ่ง ถ้าไม่มัวแต่ตั้งหน้าตั้งตากินของที่ตุนไว้จนหมดเสียก่อน

ฉบับนี้น้องเหมียวไอทีขอแนะนำ Zhenmi wireless vacuum portable juicer โดยบริษัทผู้ผลิตเทคโนโลยีชื่อดัง Xiaomi เปิดตัวเครื่องปั่นน้ำผักผลไม้ชนิดไร้สาย สามารถพกพาไปปั่นน้ำผักผลไม้ได้ทุกที่แม้ไม่มีปลั๊ก ตัวเครื่องเป็นพลาสติก PC + ABS เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มีให้เลือก 2 สี คือ cherry pink และ light blue สีสันน่ารัก รูปทรงจับถนัดมือ

Zhenmi wireless vacuum portable juicer

ประกอบด้วยเครื่องที่ใช้สำหรับปั่น และกระบอกน้ำสุญญากาศป้องกันการเกิดออกซิเดชัน สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้ง่าย มีใบมีดสเตนเลสสตีล 301 ทั้งหมด 4 ใบ ผนวกเข้ากับเทคโนโลยี eccentric spoiler ช่วยเพิ่มแรงในการปั่นอีก 35 เปอร์เซ็นต์ จึงปั่นน้ำผักและผลไม้ละเอียดขึ้นโดยไม่ต้องเขย่าเครื่องให้เปลืองแรง ใช้เวลาเพียง 28 วินาทีเท่านั้น ความจุแบตเตอรี่ 2,400 mAh รองรับการชาร์จแบตเตอรี่สำรองและแบตเตอรี่ในรถยนต์ด้วย

ใครที่ชอบการทำอาหารเพื่อสุขภาพและชอบดูแลตัวเอง ตามไปช้อปกันได้ที่เว็บไซต์ Xiaomi Youpin ราคาราว 1,100 บาท


ด้วยรัก ระยะห่าง และความชัดเจน

HOT ISSUE

14 JUL 2020

 

เรื่อง

ทีมฮัก

ด้วยรัก ระยะห่าง และความชัดเจน

ประเด็นหนึ่งของปัญหาความรักที่ใครหลายคนต้องการคำตอบคือ ความชัดเจนและการมีระยะห่างที่พอเหมาะ

ตั้งแต่เริ่มสานสัมพันธ์ เมื่อคุณชอบอีกฝ่ายย่อมอยากรู้ว่าเขาหรือเธอมีใจตรงกันไหม อีกทั้งช่วงเวลานั้นทั้งคู่ยังคงมีระยะห่างทางความสัมพันธ์ที่ห่างเหิน เรียกง่ายๆ ว่า ยังไม่สนิทกัน

เมื่อเกิดความชอบพอจึงเริ่มเรียนรู้ดูใจกัน ระยะของความรู้สึกจึงใกล้ชิดกันยิ่งขึ้น จากนั้นก็ต้องการรู้ว่า “ตกลงเราเป็นอะไรกัน”

หลังจากคบกันเป็นแฟนกระทั่งรู้จักรู้ใจที่อาจเรียกได้ว่าอยู่ในระยะประชิด ก็อยากรู้ว่า “เรามองอนาคตร่วมกันหรือไม่”

เริ่มรักตัวเองอย่างชัดเจน

หัวข้อนี้นับเป็นจุดเริ่มต้นที่เราทุกคนต่างรู้แต่ทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง และเชื่อแน่ว่าพื้นฐานของความรักที่ดีคือ การรู้ความต้องการที่แท้จริงของตนเองก่อนมีรัก เพราะความชัดเจนต่อความรู้สึกนึกคิดของตนเองถือเป็นเข็มทิศนำทางชีวิตสู่เป้าหมายที่วางไว้

ความตอนหนึ่งจากหนังสือความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย โดย ดร.จอห์น ไอโซ สะท้อนเรื่องใกล้ตัวที่บางคนหลงลืมจนบั่นทอนความรักในตัวเองลงทุกวันแบบไม่รู้ตัว

“วิธีสำคัญที่สุดข้อหนึ่งคือ เราเลือกที่จะรักตนเองได้ด้วยการใส่ใจสิ่งที่เราป้อนให้ตนเอง ว่ากันว่าเรากินอะไรเข้าไปก็จะเป็นแบบนั้น แต่ทัศนะทางจิตวิญญาณกล่าวว่า ชีวิตเราจะเป็นไปตามสิ่งที่เราคิด มนุษย์เกิดความคิด 45,000-55,000 ความคิดต่อวัน เป็นการสนทนาในจิตใจที่ไม่รู้จักหยุด เราพูดกับตัวเองทั้งวัน ความคิดของเราส่วนมากเป็นไปในทางที่ดี แต่หลายต่อหลายความคิดจะส่งผลอย่างยิ่งต่อวิธีที่เรามองตนเอง ตัวอย่างเช่น ทุกครั้งที่เราบอกกับตนเองทำนองว่า ‘ฉันเป็นคนขี้แพ้’ ‘ฉันไม่น่ารัก’ ‘ฉันไม่มีเสน่ห์’ ‘ฉันต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็น’ ‘ฉันอ้วน’ ‘ฉันเป็นพ่อแม่ที่ไม่ดี’ ‘ฉันไม่ใช่คนดี’ นั่นคือเรากำลังบ่อนทำลายความรักตนเองลง”

อย่างน้อยคุณต้องรู้ว่า เรื่องไหนที่บั่นทอนใจให้คุณรักตัวเองน้อยลง เพราะคนที่เราควรรู้จักรู้ใจก่อนใครคือ “ตัวเราเอง” อาจเริ่มเอ่ยถามตัวเองในใจว่า “ความสุขของเราคืออะไร”

ตัวห่างไกลแต่ใจไม่ห่างกัน

บททดสอบของชีวิตล้วนเกิดขึ้นแบบไม่ทันตั้งตัว ระยะนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการเว้นระยะห่างทางกาย อันเนื่องมาจากวิกฤติโรคโควิด-19 ความรักความสัมพันธ์ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ไม่ต่างกับปัญหาการเงินและปากท้อง เพราะความรักนับเป็นกำลังใจสำคัญที่จะช่วยพยุงเราให้ผ่านพ้นอุปสรรคนี้ไปด้วยกัน

เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมามีรายงานข่าวว่า อัตราการหย่าร้างของคู่รักในจีนเพิ่มสูงขึ้น ทั้งนี้เป็นผลจากการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค อาจกล่าวได้ว่าความโดดเดี่ยว การเว้นระยะห่างทางสังคม และความกังวลเรื่องปัญหาปากท้อง สร้างแรงกดดันแก่คู่รักและคนในครอบครัว ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ เราอาจสัมผัสกายกันน้อยลง แต่เรื่องของจิตใจนั้นต้องดูแลกันให้มากยิ่งขึ้น และอาจเริ่มด้วยวิธีเหล่านี้

  • อย่า “เดาเอาเอง” ว่าอีกฝ่ายรู้สึกอย่างไร อย่าทึกทักว่าอีกฝ่ายต้องรู้สึกแบบนั้นแบบนี้กับสิ่งต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้น เพราะบ่อยครั้งที่เรามักคาดเดาว่าคนอื่นรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับเรา ซึ่งไม่น่ารักเลย
  • สื่อสารกันอยู่เสมอ พยายามแสดงความชัดเจนกับอีกฝ่ายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลองพูดถึงความรู้สึกของตนเอง เช่น “ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ” ดีกว่าพูดว่า “คุณทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจ” เพราะคำพูดเช่นนั้นอาจนำไปสู่การกล่าวโทษกันได้
  • ยอมรับว่าสถานการณ์เหล่านี้คือบททดสอบของชีวิต เราจำเป็นต้องให้เวลาตัวเองและคนรักได้ผ่อนคลายบ้าง เพราะนี่คือช่วงเวลาที่ไม่ปกติสำหรับทุกคน
  • พยายามไม่โต้เถียงรุนแรง ในสถานการณ์เช่นนี้ทุกคนล้วนเกิดความเครียดได้ แต่ไม่ควรฉวยโอกาสนี้เพื่อระบายอารมณ์กับคนที่คุณรักและรักคุณ
  • จงแน่ใจว่าเราไม่ได้ทำงานตลอดเวลา หากต้องทำงานที่บ้าน ก็จำเป็นต้องจัดการทั้งเรื่องงานและเรื่องที่บ้าน ควรจัดสรรเวลาให้เหมาะสม

อยู่ห่างๆ อย่างชัดเจน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าในความสัมพันธ์เราต่างต้องการความชัดเจนในระยะห่างที่พอเหมาะ ไม่รักมากไปจนอีกฝ่ายรู้สึกอึดอัด ไม่ห่างเหินเกินไปจนอีกฝ่ายสัมผัสได้ถึงความเฉยชา จำไว้เสมอว่าเมื่อ “พอดี” ถึงจะ “ลงตัว”

ผู้ใช้นามปากกา “คิดมาก” เขียนไว้ในหนังสือ ยากกว่าการได้มาคือการรักษาไว้ ตอนหนึ่งว่า

“ความไม่ชัดเจนคือสิ่งที่ทำให้เราเจ็บปวด จริงอยู่ที่บางครั้งความชัดเจนอาจทำให้เราเจ็บปวดได้เหมือนกัน แต่เชื่อเถอะว่าความชัดเจนจะทำให้เราเจ็บปวดระยะสั้นๆ แต่ความไม่ชัดเจนต่างหากที่ทำให้ความเจ็บปวดไม่หายไปสักที”

บ่อยครั้งที่หลายคนเฝ้าถามอีกฝ่ายว่า “ตกลงเราเป็นอะไรกัน” เพราะต้องการความชัดเจน ทั้งที่การกระทำของเขาเป็นคำตอบที่ชัดเจนของทุกคำถามแล้ว มีเพียงเราที่พยายามบ่ายเบี่ยงความชัดเจนของเขามาโดยตลอด นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น เพราะความรักต้องค้นหาและเรียนรู้ตลอดช่วงชีวิต

แม้ในวันนี้เราจำเป็นต้องเว้นระยะห่างทางกาย แต่ใช่ว่าจะห่างเหินทางใจ ในช่วงเวลาเช่นนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต่างฝ่ายต่างต้องใส่ใจความรู้สึกของกันและกันให้มาก แง่คิดต่อไปนี้อาจช่วยประคับประคองความสัมพันธ์ให้ยั่งยืนได้ทั้งในยามปกติและทุกข์ยาก

  • ช่วงเวลาที่มีคุณภาพ (quality time) นับเป็นสิ่งสำคัญและมีความหมายต่อชีวิตคู่มาก บางทีอาจมีความหมายมากกว่าการให้เงินทองหรือสิ่งของด้วยซ้ำ เพราะคือสัญลักษณ์แสดงถึงความใกล้ชิด ผูกพัน เติมเต็มความรัก และลดความเหงาให้กันได้
  • ระยะห่างที่พอเหมาะ ความเชื่อเกี่ยวกับชีวิตคู่ที่มักเข้าใจกันผิดคือ การใช้ชีวิตแบบชิดใกล้ ไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ ไม่แยกจากกัน แต่ในความเป็นจริงนั้นชีวิตคู่จำเป็นต้องมีระยะห่างที่เหมาะสม ดังนั้นการหาจุดสมดุลระหว่างความใกล้ชิดกับระยะห่างจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
  • ความใกล้ชิดและอิสระ เมื่อคนสองคนตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน ย่อมต้องมีทั้งความใกล้ชิดและอิสระอันเป็นพลังที่ตรงกันข้าม ความใกล้ชิดคือการดึงดูดเข้าหากัน อยู่ด้วยกัน แชร์ความคิด ความรู้สึกร่วมกัน อิสระคือความต้องการอยู่ห่างจากกัน ทำสิ่งที่อยากทำ เป็นตัวของตัวเอง หากในชีวิตคู่มีพลังสองด้านนี้อย่างสมดุลย่อมไม่เกิดปัญหา
  • จงอย่าอยู่ใกล้กันเกินไป เนื่องจากชีวิตคู่เป็นชีวิตที่อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด จึงเกิดปัญหาเรื่องขอบเขต (boundary) ได้ง่าย หลายคนจินตนาการว่า ชีวิตคู่คือคนสองคนที่รวมกันเป็นหนึ่ง เสมือนเป็นคนเดียวกัน ซึ่งค่อนข้างเป็นเรื่องในอุดมคติ (ideal) เพราะทุกคนต่างมี “ตัวตน” และความเป็นตัวของตัวเอง มีความชอบ และความต้องการที่แท้จริงของตนเอง จนหลายครั้งหลงลืมไปว่าเขาหรือเธอนั้นเป็นอีกคนหนึ่งที่มีความรู้สึกนึกคิดและความต้องการต่างจากเรา

ชัดเจนทางความรู้สึก

อาจกล่าวได้ว่า สิ่งสำคัญของความรักความสัมพันธ์ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตามนั้น “ควรเว้นระยะห่างอย่างพอดีและชัดเจน” ดั่งถ้อยคำแห่งปราชญ์ คาลิล ยิบราน “จงยืนอยู่ด้วยกันแต่ว่าอย่าใกล้กันนัก เพราะว่าเสาของวิหารนั้นก็ยืนอยู่ห่างกัน และต้นโพธิ์ต้นไทรก็ไม่อาจเติบโตใต้ร่มเงาของกันได้”

ครั้งหนึ่งทีมฮักมีโอกาสสัมภาษณ์ รศ. ดร.ชลิดาภรณ์ ส่งสัมพันธ์ นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ผู้ตอบปัญหาเรื่องหัวใจผ่านแฮชแท็ก #ทวิตรัก ในประเด็นการรักษาความสัมพันธ์ของชีวิตคู่ให้ยืนยาวไว้ว่า

“คู่ที่ใช้ชีวิตร่วมกันมาเป็นเวลานานมีวิธีจัดการดูแลความสัมพันธ์ที่ต่างกันออกไป เราต้องเข้าใจก่อนว่าความรู้สึกเฉยกับคู่รักที่อยู่ด้วยกันมานานนั้นเป็นความธรรมดา บางคู่ก็แทนที่ความรักด้วยความรู้สึกแบบอื่น เช่น ความเป็นเพื่อน สิ่งที่พยายามบอกมาตลอดคือ ถ้าเจอใครสักคนแล้วพัฒนาความสัมพันธ์แล้วคนคนนั้นเป็นทั้งแฟนและเพื่อนนั่นถือว่าโชคดีมาก เพราะเขาแทนที่หรือเพิ่มมิติอื่นๆ เข้าไปในความสัมพันธ์ทำให้ตอบสนองคู่ของเราได้หลายอย่าง แน่นอนว่าการแต่งงานไม่ใช่คำตอบทุกอย่างของชีวิต เพียงแต่ตอบอะไรในชีวิตได้มากขึ้น”

ความรักเปรียบเสมือนสูตรการทำขนม ที่ผสมแป้งแห่งการเอาใจใส่ ไข่ไก่จากฟาร์มของความเข้าใจ น้ำตาลเติมคำหวานเพิ่มรอยยิ้ม และส่วนผสมอื่นๆ ที่ไม่มีสูตรตายตัว ผสมให้เข้ากันแล้วนำเข้าเตาอบ ถ้าไหม้เกรียมก็แก้ตัวใหม่ ถ้าอร่อยลงตัวอาจเพราะใส่ส่วนผสมพอดี จงหมั่นทำสูตรนั้นให้คงที่และแบ่งปันขนมแก่กันเรื่อยไป … นี่แหละขนมที่ชื่อว่า “ความรัก” ตามแบบฉบับของแต่ละคู่

แหล่งข้อมูล

จอห์น ไอโซ. ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย. สมุทรปราการ: สำนักพิมพ์โอ้มายก้อด, 2562

ธรรมนาถ เจริญบุญ. ช่วงเวลาคุณภาพและระยะห่างที่พอดี. สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2563, จาก https://www.healthtodaythailand.in.th

Workpoint News. รักษาความรักอย่างไรให้อยู่รอดในช่วงต่อสู้โควิด-19. สืบค้นเมื่อ 20 เมษายน 2563, จาก https://workpointnews.com/2020/03/23/covid19-relationship/


Make Up สดใสดุจดอกไม้แสนสวย

Make Up สดใสดุจดอกไม้แสนสวย

COLUMN: แต่งสวยด้วยตัวเอง

เรื่อง/ภาพ
Sister Makeup

ถ้าเปรียบความสวยงามที่คู่ควรกับผู้หญิง ก็คงหนีไม่พ้นดอกไม้ เพราะผู้หญิงสร้างความสดใสให้กับโลกใบนี้เสมอ เรามาแต่งหน้าให้ดูสดใสมีชีวิตชีวากันดีกว่าค่ะ

เครื่องสำอางที่ใช้

ใบหน้า

รองพื้น: Huda

แป้งฝุ่น: MAC

บรอนเซอร์: Tarte

ไฮไลท์: Anastasia

บลัชออน: MAC

คิ้ว

ดินสอเขียนคิ้ว: Anastasia

ที่เขียนคิ้วแบบฝุ่น: In2it

ตา

อายแชโดว์: Huda

มาสคาร่า: Lolac

ปาก

ลิปสติก: Sephora 06

01

ลงรองพื้นโดยใช้แปรงหรือฟองน้ำเกลี่ยให้เรียบเนียน และลงแป้งฝุ่นบางๆ ทั่วใบหน้า ลองใช้หลังนิ้วลูบ อย่าให้รู้สึกหนืด หน้าจะได้ไม่เยิ้มระหว่างวัน

02

ใช้สีฝุ่นเขียนคิ้วทาลงไปในกรอบคิ้ว เริ่มจากสีอ่อนที่หัวคิ้วและเน้นสีเข้มทางหางคิ้ว ลุคนี้ขอแบบฟุ้งๆ ไม่ต้องเข้มมากค่ะ

03

ทาอายแชโดว์สีพีชที่หัวตาถึงกลางตา

04

ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มทาหางตา ทากลับมาชนกับสีพีชให้ตาดูคมขึ้น แล้วเบลนด์ให้เข้ากัน

05

ใช้อายแชโดว์วาดเป็นเส้นแทนการใช้อายไลเนอร์ สะบัดหางให้ตาดูชัดขึ้นแบบไม่คมจนเกินไป

06

ปัดมาสคาร่าทั้งบนและล่างให้ขนตางามงอน

07

ลงบรอนเซอร์บริเวณกรอบหน้า เอาแปรงปัดกรอบหน้าเบาๆ จนเป็นสีน้ำตาลอ่อน แล้วเฉดดิ้งจมูกให้ดูดั้งโด่งขึ้น

08

ปัดแก้มโทนชมพูพีชให้หน้าดูหวาน

09

ใช้แปรงปัดไฮไลท์ตามตำแหน่งดังภาพเพื่อให้ใบหน้าดูโดดเด่นมากขึ้น

10

ทาลิปสติกสีชมพูอ่อนให้ดูสวยสดใสเหมือนดอกไม้เริ่มผลิบาน

อุ๊ยตายแล้ว! เสร็จแล้วเหรอเนี่ย ง่ายจังเลย สาวๆ ลองแต่งตามได้ไม่ยากเลยใช่มั้ยคะ ลองดูนะ พวกเราต้องสวยสดใสให้โลกใบนี้น่าอยู่ดุจดอกไม้สีสันสดใสค่ะ


"รัก" ยังไงให้ใจ "ชัดเจน"

"รัก" ยังไงให้ใจ "ชัดเจน"

COLUMN: ผู้ชายขั้วลบ
08 JUL 2020

เรื่อง
อ.จตุพล ชมภูนิช

คุณแยกออกไหมว่าใครรู้สึกดี ปลื้ม รัก หรือ หลง คุณอยู่

บางคนแยกได้ แต่บางคนแยกไม่ออก

การที่คนคนหนึ่ง คอยเอาอก เอาใจ เทคแคร์ดูแลทุกอย่าง หรือตามรับ ตามส่งแทบทุกวัน

บางคนเหมาเลยว่า นั่นแฟน คู่ที่กล้าๆ หน่อย ก็ถามกันตรงๆ แบบ ลูกผู้หญิงอก 36 ไปเลยว่า

  • คิดอะไรกับเราหรือเปล่า
  • จะจีบเราเหรอ
  • ชอบเค้าหรือไง

เจอคนตรง ก็ตอบตรงว่า ถ้าไม่ชอบ ตามรับตามส่งทำไม เปลืองน้ำมัน (ถึงบ้านจะอยู่ทางเดียวกันก็เถอะ)

หรือ “เอ้อ … ฉันชอบแกว่ะ”

หรือ “ก็คิดอยู่เหมือนกัน แต่รอวันบอก”

แต่ถ้าเจอพวก ฟอร์มจัดๆ อาจจะเฉไฉ เพราะขี้อาย

“ก็ไม่ได้คิดอะไร เห็นรู้จักกัน ก็อยากเทคแคร์”

“เฮ้ย ไม่ได้คิดเลยว่าจะจีบเธอ (แค่อย่าเผลอก็แล้วกัน) เจอปล้ำแน่นอน

ปากบอกไม่ แต่ใจใครจะไปรู้

 

บางคู่ บางคน กินข้าวด้วยกัน ดูหนังฟังเพลง ไปไหน ไปกัน

และมีไม่น้อย และบ่อยๆ ที่นอนไหน นอนกัน แต่ความสัมพันธ์จะให้ฟันธงว่าเป็นอะไรกัน มันบอกไม่ได้ เพราะไม่แน่ใจว่าอีกฝ่าย

คิดเหมือนกัน หรือเปล่า

 

นับเป็นความทรมาน ปนรำคาญ ของคู่ที่ไม่รู้ว่า ความสัมพันธ์ของเรา มันเข้าขั้นไหน

เขาก็ยังทำเหมือนเดิมมาเป็นปีๆ ว่างก็เจอกัน ดูหนังฟังเพลง ไปเที่ยวต่างจังหวัด นอนค้างอ้างแรม

บางคู่อย่าว่าแต่ไม่เคยพูดถึงอนาคตว่าจะพาไปหาญาติผู้ใหญ่ สร้างเนื้อสร้างตัว มั่นหมายให้เป็นเรื่องราว

แค่คำว่ารัก ก็ยังไม่เคยได้ยินจากปาก ของอีกฝ่ายก็มี

อย่างนี้ ความสัมพันธ์ลึกลับ ยิ่งกว่าหนังฆาตกรรมซ่อนเงื่อน

 

ไม่ว่าใคร เวลาคบกับใคร ก็อยากได้ความชัดเจนด้วยกันทั้งนั้น

ถามว่า เพราะอะไร จะได้ทำตัวได้ถูกไง

 

ผู้หญิง เวลารู้สึกกับผู้ชายคนหนึ่งว่าเป็นแค่เพื่อนกัน

เธออาจจะพูดจาเอะอะโวยวาย หยาบคายแบบไม่ได้ระวัง หรืออาจจะมีตบหัว กอดไหล่เพื่อนผู้ชาย แบบไม่ต้องระแวงระวังอะไร

แต่ถ้าเพื่อนผู้ชายคนนั้น เปลี่ยนสถานะ มาเป็นแฟนเมื่อไร

อาการเอะอะโวยวาย มึงมาพาโวย จะหายไป กลายเป็นสุภาพขึ้นอย่างผิดหูผิดตาทันที

เมื่อก่อนเวลาพูดกับเพื่อนผู้ชาย “อะไรวะ แค่นี้มึงไม่รู้ได้ไง เป็นผู้ชายซะเปล่า ไอ้เห…”

แต่พอเพื่อนผู้ชายกลายเป็นแฟน

“ที่ตัวเองไม่รู้ ไม่แปลกหรอก เป็นเค้า เค้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ไม่เป็นไรหรอกที่รัก”

เปลี่ยนเวอร์ชั่นทันทีที่มีความชัดเจน

จากตอนเป็นเพื่อนผู้ชาย ตบหัว เดินกอดคอกัน ไม่ถือสา

แต่พอเปลี่ยนสถานภาพมาเป็นแฟนเมื่อไร

ที่เคยตบหัวกอดไหล่ กลายเป็นเดินเกาะแขน เวลาไปไหนมาไหน เผลอเป็นไม่ได้ เอาหัวมาซบไหล่ตลอดเวลา

 

เมื่อความชัดเจนมาทุกอย่างก็เปลี่ยนไป

แน่นอนครับ ความรักต้องการความชัดเจน

เพื่อจะได้รู้ว่าจะตรงไปหรือเลี้ยวกลับ ควรไปทางซ้ายหรือไปทางขวา

 

แต่ก็อยากจะเตือนว่า

ความชัดเจนอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของความรักเสมอไป

เพราะมีหลายคู่ ชัดเจนตอนต้น แต่ไปมืดมนตอนปลาย

ชัดเจนตอนยังไม่ได้ พอได้ไป ไม่เคยมีอะไรที่ชัดเจน

Love Quote

"ความชัดเจนอย่างเดียวไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของความรักเสมอไป"

อ.จตุพล ชมภูนิช


ความรัก ความฝันที่นับวันยิ่ง 'ชัดเจน' ของ 'กิ๊ฟ' สิรินาถ สุคันธรัต

'กิ๊ฟ' สิรินาถ: ความรัก ความฝันที่นับวันยิ่ง 'ชัดเจน'

INTERVIEW
06 JUL 2020

เรื่อง
วรุณพร

ภาพ
อนุชา ศรีกรการ


INTRO

'กิ๊ฟ' สิรินาถ สุคันธรัต

คือผู้หญิงคนหนึ่งที่มีเสน่ห์ทางความคิด

และรูปร่างหน้าตาอันเย้ายวนชวนค้นหา

เธอคือหญิงสาววัย 25 ที่รู้ความต้องการอันแท้จริงของตัวเอง

วางแผนชีวิตล่วงหน้า 5-10 ปี มีจุดหมายชัดเจน

จนเธอมองเห็นภาพตัวเองในอนาคตได้กระจ่าง

นิยามความเป็นเธอที่ดังก้องในใจคือ 'ชัดเจน'


หลังจากได้เห็น ‘กิ๊ฟ’ ทุ่มเทกับการถ่ายแบบในฮักฉบับนี้โดยไม่มีบ่นจนงานแล้วเสร็จ เรามีโอกาสสัมภาษณ์เรื่องราวชีวิตและความรักของเธอในบรรยากาศเป็นกันเอง ราวกับได้พูดคุยกับน้องสาวคนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนานหลายปี แทบไม่อยากเชื่อเมื่อเธอบอกว่า “กิ๊ฟเป็นคนมีโลกส่วนตัวสูง” เพราะเสียงหัวเราะของเธอช่างเปิดเผยและจริงใจ

เข้าใจตัวเองก่อนมีรัก

เมื่อถามถึงนิยามความรักของกิ๊ฟ-สิรินาถ เธอตอบทันทีว่า “รักคือความเข้าใจซึ่งกันและกัน จากประสบการณ์รักที่ผ่านมาแม้อายุของเราจะยังไม่มาก แต่เท่าที่ได้รักคนคนหนึ่งมา กิ๊ฟมองว่าในความสัมพันธ์นั้นเป็นเรื่องของความเข้าใจกัน ไม่ใช่แค่เข้าใจนิสัยแต่รวมถึงเข้าใจความต้องการของอีกฝ่ายด้วย ถ้ามีความรักมอบให้กันแต่ไม่มีความเข้าใจเลยก็ไปกันไม่รอด เราได้เรียนรู้ว่าความรักกับความเข้าใจตัวตนของกันและกันนั้นเป็นสิ่งสำคัญ ในความสัมพันธ์ควรประกอบด้วยความรักและความเข้าใจ

 

“เคยมีคนคนหนึ่งที่เรารักและตามใจเขามาก รู้ตัวอีกทีเราก็สูญเสียความเป็นตัวเองไปมากแล้ว พอย้อนมองก็รู้สึกว่า ตอนคบกันเรารักเขามากก็จริงแต่กลับรู้สึกอึดอัด ความพอดีนับเป็นอีกสิ่งสำคัญ การคบใครสักคน เราไม่ควรละทิ้งความเป็นตัวตนของเรา ถ้าอยู่ตรงไหนแล้วไม่มีความสุข หากเลือกได้ควรเดินออกมาจากจุดนั้น กิ๊ฟเป็นคนที่ไม่ค่อยเสียดายวันเวลาหรือความสัมพันธ์ ถึงแม้จะคบกันมานานหลายปี เราแค่คิดว่าถ้าไม่มีความสุขก็ควรเดินออกมา เพราะหากปล่อยให้เป็นไปแบบนั้นปัญหาอาจยิ่งลุกลาม อายุเราก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้น หากจบความสัมพันธ์กันในวันนี้ อาจเป็นโอกาสให้เขาเจอคนที่ดีกว่าในวันพรุ่งนี้ก็เป็นได้ เราอยากให้เขาได้พบคนที่ดี สำหรับกิ๊ฟแล้วแม้เลิกรากันไปก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้”

ความไว้ใจสร้างโลกส่วนเรา

หลังจากสนทนากันสักพัก สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์สัมผัสได้คือวิธีคิดของเธอที่ดูโตกว่าวัย “เราเติบโตขึ้นและเปลี่ยนแปลงตัวเองตามคนที่เราคบหาหรือสนิทสนม การที่เราคบใครสักคนนิสัยบางอย่างของเราจะเปลี่ยนแปลงตามคนคนนั้น แต่สิ่งสำคัญคือเราจะค่อยๆ เข้าใจกันมากขึ้นในแต่ละวัน กิ๊ฟเป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเอง เป็นตัวของตัวเอง อาจมีบ้างที่ช่วงวัยรุ่นนั้นเอาแต่ใจตัวเองและไม่พยายามเข้าใจอีกฝ่าย แต่เมื่ออายุมากขึ้นเราก็ได้เรียนรู้ว่า เราต้องเข้าใจผู้อื่นด้วย ไม่ใช่รอให้คนอื่นมาเข้าใจเราฝ่ายเดียว

 

เมื่อค่อยๆ ไล่เรียงคำตอบของเธอก่อนหน้านี้ที่บอกว่า เป็นคนที่ค่อนข้างมีโลกส่วนตัวสูง แล้วอย่างนี้ส่งผลกระทบต่อการมีความรัก หรือการจัดสรรเวลาสำหรับโลกส่วนตัว โลกส่วนเรา และโลกส่วนรวมหรือไม่ “คนที่สามารถจะเข้ามายืนอยู่ในคอมฟอร์ทโซน (comfort zone) ของเราได้นอกจากคนในครอบครัวก็คือแฟนเท่านั้น ถ้ากิ๊ฟเจอคนที่ชอบจะไม่ปิดกั้นตัวเองเลย จะค่อยๆ แสดงความเป็นตัวเองให้เขาได้รับรู้ ถ้าเราไว้ใจใครแล้วก็จะเปิดใจ ไม่ค่อยมีความลับกับคนสนิท สำหรับกิ๊ฟแล้วคนรักมีสิทธิพิเศษเข้ามาในคอมฟอร์ทโซน กิ๊ฟจะเล่าให้ฟังทุกเรื่องเพราะเป็นคนที่ติดแฟนมาก การที่เรามีโลกส่วนตัวสูงส่วนหนึ่งเหมือนเป็นการคัดคนที่เข้าใจเราจริงๆ ไว้

 

อีกประเด็นที่สาวกิ๊ฟเน้นย้ำคือ “ถ้าเราได้เป็นตัวของตัวเองอย่างมีความสุขย่อมเป็นเรื่องดี กิ๊ฟไม่ใช่ผู้หญิงเรียบร้อย ชอบทำกิจกรรมที่หลากหลาย บางวันนั่งเย็บผ้า อีกวันออกไปเล่นสเกตบอร์ด วันต่อมาอยากแต่งตัวเป็นแฟชั่นนิสต้า คนเรามีหลายแง่มุม ตัวตนของเรานั้นเป็นสิ่งสำคัญจึงไม่อยากให้ละทิ้งความฝันหรือสิ่งที่อยากทำไปฝืนทำในสิ่งที่ไม่ชอบ ถ้าไม่มีความสุขก็แค่เดินออกมา ผู้หญิงส่วนใหญ่มักเสียดายวันเวลา จึงเลือกทนอยู่กับคนที่เรียกว่าคนรักแต่ทำร้ายเราทั้งร่างกายและจิตใจ นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่กิ๊ฟไม่เข้าใจว่าทำไมถึงยอมทนให้คนคนหนึ่งทำร้ายได้มากขนาดนี้ ถ้าเขาทำร้ายเราได้ครั้งหนึ่งแล้วเราทนอยู่ต้องมีครั้งต่อๆ ไปเกิดขึ้น กิ๊ฟมองว่าอย่าเสียเวลากับสิ่งที่มาบั่นทอนเวลาแห่งความสุขของชีวิตเราเลย”

ฝากไว้เตือนใจ

ก่อนการสนทนาเรื่องชีวิตและความรักของ ‘กิ๊ฟ’ สิรินาถ จะจบลง เราได้ให้เธอกล่าวทิ้งท้ายเตือนใจเรื่องรักสักเล็กน้อย “ถ้าเจอใครสักคนที่รักเราด้วยใจจริง เขาจะไม่พาเราไปอยู่ในจุดที่ทำให้เราเสียใจ นั่นคือวิธีการเลือกใครสักคนเข้ามาอยู่ในชีวิต ถ้าเราเจอคนคนนั้นแล้ว อยู่มาวันหนึ่งเขาทำให้เราเสียใจ ถ้ารับไม่ไหวควรเดินออกมาจากความสัมพันธ์นั้น กิ๊ฟคิดว่าถ้าไม่มีความสุขแล้วจะทนอยู่ไปทำไม ต่อให้รู้สึกว่าเขาคือทั้งชีวิตของเราก็ตาม เพราะบางทีเขาอาจจะไม่ได้รู้สึกว่าเราคือทั้งหมดของชีวิตเขาเลย เคยมีเพื่อนที่เสียใจเรื่องความรัก เราก็เคยเตือนสติไปว่า ถ้าเขาเป็นความสุขของแก แล้วแกรู้ได้ยังไงว่าแกเป็นความสุขของเขา เพราะเราไม่สามารถคิดแทนใครได้ ถ้าเขาพาเราไปอยู่ในจุดที่เศร้าเสียใจ แสดงว่าเขาไม่เห็นคุณค่าของเรา อย่ามัวเสียดายเวลา เพราะเราและเขาอาจจะได้เจอคนที่ดีกว่า พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่มีความสุขดีกว่า”

เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ตลอดช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เราไม่สามารถเข้าใจหรือมองทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้อย่างชัดเจน การเรียนรู้วิธีคิดจากประสบการณ์ชีวิตของผู้อื่นจึงเป็นการเรียนรู้ทางอ้อม ซึ่งช่วยให้ความคิดที่สับสนเลือนรางนั้นชัดเจนขึ้นได้บ้าง เมื่อชีวิตเจอแต่เรื่องหนักๆ ลองพักแล้วฟังเสียงรอบข้างหรือกวาดสายตาออกไป อาจช่วยให้คุณมองอะไรได้ชัดเจนขึ้น

เมื่อ "รัก" ต้อง "ชัดเจน"

หวังว่าเรื่องราวชีวิตของกิ๊ฟ-สิรินาถจะเป็นประโยชน์ให้คุณได้ฉุกคิดหรือนำไปปรับใช้ได้บ้างไม่มากก็น้อย


6 โรคร้ายที่สาวโสดควรระวัง

6 โรคร้ายที่สาวโสดควรระวัง

ดิฉันเป็นสาวโสดวัย 38 ปี อยากทราบว่าสาวโสดมีความเสี่ยงเป็นโรคภัยใดมากกว่าสาวที่มีคู่ไหมคะ เพราะเพื่อนๆ ที่มีคู่มักบอกให้ดิฉันระวังเป็นมะเร็งเต้านม ช็อกโกเลตซีสต์ และโรคอื่นๆ สารพัด เมื่อฟังบ่อยเข้าดิฉันเริ่มกังวล รบกวนคุณหมอให้ความรู้เรื่องโรคที่สาวโสดมีความเสี่ยงด้วยค่ะ

ตอนเด็กๆ เคยอ่านนวนิยายเรื่องเพชรพระอุมา ของ “พนมเทียน” ฝรั่งสาวที่ร่วมเดินทางผจญภัยได้ตั้งท้อง มีความเชื่อของตัวละครในนิยายว่า แม่ที่ตั้งท้อง ทารกในครรภ์จะป้องกันอันตรายให้ ไม่ว่าจะเป็นแมลง สัตว์มีพิษกัดต่อย หรือยาพิษ ความเชื่อนี้ยังมีมาถึงปัจจุบัน ทั้งที่ไม่เป็นจริง คือหากโดนพิษจากสัตว์หรือสารพิษขณะท้อง ทารกในครรภ์ไม่สามารถป้องกันอันตรายให้ทั้งแม่และตนเองได้ แต่ส่วนหนึ่งที่เป็นจริง คือคนที่เคยมีลูก การตั้งครรภ์และให้นมลูกสามารถป้องกันโรคร้ายได้หลายอย่างในภายหลัง เช่น โรคเนื้องอกมดลูก โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เนื้องอกรังไข่ มะเร็งเต้านม มะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก ขณะที่สาวโสดหรือแต่งงานแล้วไม่มีลูก มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเหล่านี้มากกว่า

 

อย่างไรก็ตาม คนที่แต่งงานแล้วหรือมีลูกมาก มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุการตายสูงเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งเต้านมมากกว่าสาวโสดค่ะ

 

มาคุยกันเรื่องหกโรคร้ายที่สาวโสดควรระวังกันค่ะ

หมั่นตรวจสุขภาพประจำปีอันเป็นการเฝ้าระวังโรคอีกทางหนึ่ง

1. โรคเนื้องอกมดลูก (myoma uteri)

พบมากในสาวโสด การมีลูกทำให้กล้ามเนื้อมดลูกยืดขยาย หดตัว และระดับฮอร์โมนเพศหญิงที่ลดลงช่วงหลังคลอด ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกมดลูก โรคนี้พบได้ร้อยละ 20-25 ของผู้หญิงทุกวัย ยิ่งอายุมากยิ่งพบมาก อายุ 35 ปีขึ้นไปพบร้อยละ 40-50 อายุ 50 ปีขึ้นไปพบร้อยละ 70-80 แต่ส่วนใหญ่ร้อยละ 75 เนื้องอกมีขนาดเล็กหรือไม่มีอาการ อาการที่สำคัญสามประการ คือ มีประจำเดือนมาก ปวดประจำเดือน และคลำเจอก้อนที่ท้องน้อยจากการเพิ่มขนาดของมดลูก จนทำให้ปวดท้องมากและซีด การรักษา หากไม่มีอาการอะไร อาจติดตามเฝ้าดู หากมีอาการหรือมีขนาดโตขึ้น อาจต้องรักษาด้วยยาหรือผ่าตัด


2. โรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (endometriosis)

เป็นความผิดปกติของเยื่อบุโพรงมดลูกที่ปกติบุอยู่ในโพรงมดลูกแต่มาเจริญผิดที่ พบบ่อยคืออยู่ในอุ้งเชิงกราน รังไข่ ท่อนำไข่ หลังมดลูก ปากมดลูก เยื่อกั้นระหว่างทวารหนักกับช่องคลอด กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ ที่พบไม่บ่อย ได้แก่ ผิวหนัง สมอง กระดูกสันหลัง ปอด พบได้ในผู้หญิงที่ยังมีประจำเดือน ร้อยละ 7-20 ในวัยทำงาน (25-29 ปี) พบได้ร้อยละ 20 จนบางครั้งเรียกว่าเป็นโรคของสาวออฟฟิศ พบมากขึ้นในสาวโสดหรือมีบุตรยาก อาการเด่นคือปวดประจำเดือนแบบก้าวหน้า ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ และมีลูกยาก หากมีทั้งสองอาการนี้จำนวนเกินครึ่งเกิดจากโรคนี้ การรักษามีทั้งใช้ยา และการผ่าตัด


3. กลุ่มอาการถุงน้ำหลายใบในรังไข่ (polycystic ovarian syndrome: PCOS)

ภาวะนี้มักเป็นกับสาวโสด หรือไม่มีลูก ไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ร้อยละ 40-85 เป็นคนอ้วน การวินิจฉัยใช้ข้อกำหนด 2 ใน 3 ข้อต่อไปนี้คือ 1. ประจำเดือนไม่ค่อยมาหรือขาดหายไป 2. มีฮอร์โมนเพศชายสูง ทำให้มีอาการผมร่วง ผมบาง หน้ามันเป็นสิว มีขนดกแบบเพศชาย เช่น มีหนวด เครา มีขนหน้าอก มีขนหน้าท้อง 3. การตรวจทางอัลตราซาวด์พบถุงน้ำเล็กๆ ในรังไข่ จำนวนมากกว่า 25 ถุงน้ำ ภาวะนี้ทำให้มีฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนและฮอร์โมนเพศชายสูง เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มีลูกยาก ดังนั้นสาวโสดหรือไม่มีลูก เมื่อประจำเดือนไม่ค่อยมา หรือมาไม่สม่ำเสมอ จึงไม่ควรละเลย ควรพบแพทย์ การรักษามักใช้ยา และปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ลดน้ำหนัก เพื่อให้ฮอร์โมนกลับมาปกติ


4. มะเร็งเต้านม

สาวโสดหรือไม่มีลูกเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งของมะเร็งเต้านม ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม มีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ หรือมีฮอร์โมนเพศหญิงสูง มีประจำเดือนเร็ว หมดประจำเดือนช้า ดังนั้นผู้หญิงไม่ควรเสริมฮอร์โมนหรือกินสมุนไพรที่มีฮอร์โมนเพศหญิง อาการที่พบบ่อยคือ คลำพบก้อน โดยคนไข้มะเร็งเต้านมร้อยละ 80 คลำพบก้อนได้ด้วยตนเอง อาการอื่นๆ ได้แก่ มีต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้บวมโตขึ้น เต้านมหรือหัวนมเปลี่ยนรูปร่าง โตขึ้น แฟบลง บิดเบี้ยว ระดับสองข้างที่เคยเท่ากันกลับไม่เท่ากัน ผิวหนังเต้านมบวมร้อนแดง ผิวหนังของเต้านมหนา บุ๋มเหมือนผิวส้ม หัวนมหด มีอาการเจ็บคัน มีผื่นสะเก็ดน้ำเหลือง มีแผล เป็นต้น เมื่อคลำก้อนพบ หรือมีอาการผิดปกติที่เต้านมและหัวนม ควรพบแพทย์ โรคนี้มักเป็นในหญิงอายุ 50-70 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันอายุน้อยกว่า 30 ปีก็พบได้ รักษาโดยการผ่าตัด หากลุกลามมักรักษาควบคู่ไปกับรังสีรักษา เคมี หรือฮอร์โมนบำบัด


5. มะเร็งรังไข่

สาวโสดหรือคนไม่มีลูกมีโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่มากกว่าคนที่มีลูกถึงสองเท่า การมีลูก ให้นมลูก คุมกำเนิดด้วยยาคุมกำเนิด ลดการเกิดมะเร็งรังไข่ได้ร้อยละ 30-40 ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งรังไข่อื่นๆ ได้แก่ พันธุกรรม มียีนส์กลายพันธุ์ มีประจำเดือนเร็วก่อนอายุ 11 ปี หมดประจำเดือนช้ากว่า 55 ปี มีลูกยาก หรือมีลูกคนแรกอายุเกิน 30 ปี สูบบุหรี่ อ้วน ใช้แป้งที่มีสารทัลค์ (talc) ทากันชื้นที่อวัยวะเพศ เป็นกลุ่มอาการถุงน้ำหลายใบในรังไข่ มะเร็งรังไข่เป็นมะเร็งร้าย มักตรวจไม่พบในระยะเริ่มแรก เมื่อมีอาการ เช่น ปวดท้อง ท้องอืด ท้องโตขึ้น คลำก้อนได้มักลุกลามเป็นมากแล้ว เป็นมะเร็งที่มีโอกาสเสียชีวิตมากกว่ามะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรีอื่นๆ รักษาโดยการผ่าตัด หากลุกลามมักรักษาด้วยเคมีบำบัดและใช้รังสีรักษาร่วม


6. มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก

มักเกิดในคนอายุ 50-70 ปี สาวโสด ผู้ไม่มีลูกมีความเสี่ยงมากเป็นสองเท่าของคนมีลูก ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ มีประจำเดือนเร็ว หมดประจำเดือนช้า ได้รับฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน กินยาต้านฮอร์โมนเพศหญิง (tamoxifen) เพื่อรักษามะเร็งเต้านม อ้วน เป็นโรคเบาหวาน เป็นกลุ่มอาการถุงน้ำหลายใบในรังไข่ มีประวัติทางพันธุกรรม อาการที่สำคัญที่เกิดร้อยทั้งร้อย คือมีเลือดออกผิดปกติ เช่น มากะปริบกะปรอย หรือมีเลือดออกหลังหมดประจำเดือน เมื่อมีอาการดังกล่าวอย่านิ่งนอนใจ ควรพบแพทย์ การวินิจฉัยโรคนี้อาศัยการขูดมดลูก เพื่อส่งเยื่อบุโพรงมดลูกตรวจยืนยันผลทางพยาธิวิทยา หากพบว่าเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก รักษาโดยการผ่าตัดเป็นหลัก หากลุกลามมักผ่าตัดรักษา ร่วมกับการให้เคมีบำบัดและรังสีรักษา

"การตั้งครรภ์และให้นมลูกสามารถป้องกันโรคร้ายได้หลายอย่างในภายหลัง ขณะที่สาวโสดหรือแต่งงานแล้วไม่มีลูก มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเหล่านี้มากกว่า"

— พญ.ชัญวลี ศรีสุโข
คอลัมน์สุขภาพสุขเพศ
Hug magazine ปี 10 ฉบับ 6


Make up โทนส้ม สวยหรูดูสดใส

Make up โทนส้ม สวยหรูดูสดใส

มาค่ะสาวๆ หลายคนอยากสวยหรูดูแพงแต่ห้ามแก่ มาแต่งหน้าโทนส้มสดใสกันค่ะ

Click the button

ลงรองพื้นโดยใช้แปรงหรือฟองน้ำเกลี่ยให้เรียบเนียน และลงแป้งฝุ่นบางๆ ทั่วใบหน้า ลองใช้หลังนิ้วลูบ อย่าให้รู้สึกหนืด หน้าจะได้ไม่เยิ้มระหว่างวัน

ใช้สีฝุ่นเขียนคิ้วทาลงไปในกรอบคิ้ว เริ่มจากสีอ่อนที่หัวคิ้วและเน้นสีเข้มทางหางคิ้ว ใบหน้าจะได้คมขึ้น

ทาอายแชโดว์สีทองตรงหัวตาถึงกลางตา

ใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลเข้มทาหางตา ทากลับมาชนกับสีทอง เบลนด์ให้เข้ากันเพื่อตาที่ดูคมขึ้น

กรีดอายไลเนอร์ สะบัดหางวีเชฟให้ตาดูคมและเฉี่ยวมากขึ้น

ติดขนตาและปัดขนตาทั้งบนและล่างให้ขนตาดูงามงอน

ลงบรอนเซอร์บริเวณกรอบหน้า เอาแปรงปัดกรอบหน้าเบาๆ จนเป็นสีน้ำตาลอ่อน แล้วเฉดดิ้งจมูกให้ดูดั้งโด่งขึ้น

ปัดแก้มโทนสีน้ำตาลอมส้มตรงหน้าแก้มเพิ่มความเซ็กซี่

ใช้แปรงปัดไฮไลท์ 5 จุด หน้าผาก โหนกแก้ม ทั้ง 2 ข้าง ปลายคาง และจะงอยปาก เพิ่มจุดรับแสงให้ใบหน้าดูโดดเด่น

ทาลิปสติกสีส้มสดใส

ว้าว! แต่งหน้าเสร็จแล้ว ง่ายจัง คนจะสวยแต่งยังไงก็สวย สาวๆ ไปลองกันเลยค่ะไม่ว่าจะฤดูไหนพวกเราต้องสวยสดใส!