นอกใจซ้ำๆ แล้วหวังว่าเขาจะให้อภัยได้?

A.

     “หนูคบกับแฟนมาหลายปีค่ะ พี่อ้อย ตอนแรกเราก็รักกันดี แต่ 3 เดือนให้หลังนี้ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป หนูดันไปมีมือที่สามค่ะ รู้ว่าทำร้ายจิตใจเขามาก ผิดที่หนูเอง ทำแล้วทำอีก จนวันหนึ่งเขาไม่รู้สึกอะไรกับเราแล้ว กลับกลายเป็นว่า ตอนนี้หนูอยากได้เขากลับคืนมาค่ะ แต่แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว หนูพยายามขอคืนดี ทำดีทุกอย่าง จนเขาให้โอกาสหนู แต่ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิม เขาไม่สนใจอะไรที่หนูทำให้เลย หนูรู้นะคะว่าเรียกความรู้สึกดีๆ กลับมาไม่ได้ หนูน้อมรับ แต่หนูต้องทำยังไงคะ ไม่อยากเสียเขาไป หนูร้องไห้มาหลายวันแล้ว อยากทำให้ทุกอย่างดีขึ้น แต่อีกฝ่ายเขาไม่ยินดียินร้ายเราเลย”

 

 Q.

     ตอนเขาอยู่ เราไม่ดูแล อย่ามารู้สึกแย่ตอนเขาจากไป นอกใจซ้ำๆ แล้วหวังว่าเขาจะให้อภัย น้องไม่หวังสูงไปหน่อยหรือ รักใครให้ซื่อสัตย์ นี่คือคุณสมบัติง่ายที่สุดของคนรักกัน เขารักเรา เขาไม่เห็นมีใคร น้องรักเขาแบบไหนถึงนอกใจซ้ำแล้วซ้ำอีก คนที่เศร้ากว่าน่าจะเป็นเขาหรือเปล่า อย่าลืมนะ ความไว้ใจ สร้างไม่ง่าย ทำลายไม่ยาก และถ้ามันพังไปแล้ว โอกาสเรียกคืนความไว้วางใจแทบจะเป็นศูนย์ ไม่อยากเสียเขาไป ต้องถามใจของเขาเหมือนกันว่า ยังอยากมีเราเหมือนเดิมไหม เราเอาแต่ใจไม่ได้ค่ะ อยากนอกใจก็ไปกับคนอื่น จะเดินกลับมาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นคงไม่ใช่ นอกใจไป 1 ครั้ง ยังเรียกว่า “พลาด” นอกใจ 2 ครั้งนี่คือ “ประมาท” แต่ถ้านอกใจซ้ำซาก แปลว่าเราไม่ได้รักเขาแล้วหรือเปล่า

คนรักกันย่อมไม่ทำร้ายกัน คือประโยคที่พูดตั้งแต่จัด Club Friday ครั้งแรกเมื่อ 15 ปีที่แล้ว รักพลางนอกใจพลาง จะให้เชื่อยังไงว่ารัก น้องพยายามขอโทษ ทำดีทุกอย่างแล้วรู้สึกว่ามันมีค่ามาก แต่มันมากพอสำหรับเขาไหมที่จะทำให้แผลในใจหายไป

ยังจำความตอนหนึ่งในหนังเรื่อง ฮาวทูทิ้งฯ ได้เลย

     “ขอโทษแล้วยังไง คิดว่าขอโทษแล้วจบ แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตต่อได้ มันง่ายไปไหม เธอขอโทษเสร็จ ความรู้สึกต่อจากนั้น ถ้าจะไม่ให้อภัย มันคือปัญหาของเราใช่ไหม

     เอ็ม พูดตัดพ้อจีน แฟนเก่าที่อยู่ๆ ก็หายไป 3 ปี เพิ่งกลับมาขอโทษ เพื่อปลดเปลื้องความรู้สึกผิดในใจตัวเอง ช่างตรงกับสิ่งที่น้องกำลังรู้สึก ขอโทษแล้วนี่ไง ร้องไห้แล้วนี่ไง กำลังทำดีอยู่นี่ไง เรา move on ได้ง่าย รู้แล้วว่าผิด แต่กำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องไง แล้วหัวใจอีกฝ่ายเขา move on ได้ง่ายเหมือนเราหรือ?

     “นอกใจ” ครั้งแรกยากที่สุด กว่าเราจะเอาชนะความถูกผิดดีเลวในใจ คนที่เรารักจะเสียใจแค่ไหนเมื่อรู้ ลองน้องทำได้ 1 ครั้ง ครั้งต่อไปก็ง่ายแล้ว ถ้าความรู้สึกผิดไม่ทำให้เราฉุกคิดยับยั้ง แล้วยังมีครั้งต่อๆ ไป แปลง่ายๆ ว่าเราไม่แคร์น้ำตาของเขาเท่าไหร่ ไม่ได้ตั้งใจจะซ้ำเติมอะไรนะคะ แค่อยากให้น้องเข้าใจหัวอกเขา ตอนเป็นผู้กระทำเราไม่ค่อยรู้สึก จะมาเจ็บลึกตอนถูกกระทำบ้าง นี่คือภาพซ้ำๆ ที่เกิดบ่อยๆ ร้องไห้มากแค่ไหน ให้คิดเอาไว้ว่า เขาอาจร้องไห้หนักกว่าเรา อยากให้เขากลับมามากแค่ไหน ครั้งหนึ่งเขาคงรู้สึกแบบนี้ไม่ต่างกันค่ะ

     ตอนนี้เราทำได้แค่ขอโทษจนสุดหัวใจ แต่จะให้อภัยไหมเป็นสิทธิ์ของเขา “ไม่อยากเสียเขาไป” น้องต้องรู้ตัวไวกว่านี้ อย่าให้มีค่าที่สุดตอนหลุดมือ ตอนที่ยังได้ถือก็ปล่อยปละละเลย ไม่มีใครเป็นของตายทั้งชีวิต ถ้าไม่รักมากพอจะซื่อสัตย์ ก็ตัดเขาออกไปจากชีวิต หากเขาคือคนที่ไม่ใช่ บอกเลิกให้จบอย่าคบซ้อน

     ไม่แน่ใจจริงๆ ว่า รักที่เขามี ยังมากพอจะให้เขาเดินหน้าต่อไหม เราบั่นทอนความรักและความไว้ใจ ด้วยการกระทำของเราเองทั้งหมด ตอนนี้น้องไม่อยากเสียเขาไป แต่เขาอาจรู้สึกได้ว่าเสียเราไปตั้งแต่น้องนอกใจเขาครั้งแรกแล้วก็ได้นะ

     เอาใจช่วยให้เขาให้อภัยน้องไหวนะจ๊ะ เราทำให้ดีที่สุด เขาจะตัดสินใจแบบไหน เคารพทุกการตัดสินใจของเขา ความรักเป็นเรื่องของคนสองคน น้องอยากเดินต่อ แต่เขาไม่รอแล้ว ก็บังคับใจใครไม่ได้ค่ะ ในเมื่อวันหนึ่ง โลกที่เคยเป็นของคนสองคน น้องดันพาคนที่สามเข้ามาในความสัมพันธ์ ถ้าเขายืนยันจะไม่อยู่ในความรักนี้อีกต่อไป ก็ให้ถือว่านี่คือผลพวงจากการกระทำของเราเองในที่สุดค่ะ.

HUG MAGAZINE

คอลัมน์: หัวใจไม่จนมุม

 

 

 

     “การให้อภัยใช้พลังเยอะมาก โดยเฉพาะอภัยในเรื่องที่คนรักกันไม่น่าทำผิดได้ คือนอกใจซ้ำแล้วซ้ำอีก ต้องให้อภัยบ่อยแค่ไหน ความอดทนหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ และวันหน้า ถ้าเขาแข็งแรงมากพอจะเลือกทางเดินของตัวเอง เราไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะเรียกร้องด้วยซ้ำว่า ทำไมเขาถึงทำแบบนี้”


เรื่องที่คน(ไม่)ซึมเศร้าควรทราบ

 

เราเชื่อว่าหลายคนย่อมเคยได้ยินชื่อโรคซึมเศร้า (major depressive disorder) รวมถึงเคยรับรู้มาว่าควรพูดหรือไม่ควรพูดอะไรกับคนที่เป็นโรคนี้ ภาพลักษณ์โรคซึมเศร้าในสายตาคนทั่วไปนั้น เป็นเหมือนสิ่งเปราะบาง เข้าใจยาก และไม่รู้จะรับมืออย่างไร ฮักจึงได้นัดสนทนากับคุณหมอเอ๋-แพทย์หญิงกุสุมาวดี คำเกลี้ยง จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น เจ้าของหนังสือ จะซึม จะเศร้า ก้าวผ่านได้ (จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เนชั่นบุ๊คส์) เพื่อพูดถึงความเข้าใจผิดและข้อเท็จจริงที่คนไม่ซึมเศร้าควรทราบกัน

อาการที่แท้จริงของโรคซึมเศร้า

     “โรคซึมเศร้าถือว่าเป็นโรคทางอารมณ์ชนิดหนึ่งค่ะ ปัจจุบันคนเป็นมากขึ้นและอายุน้อยลง น้อยสุดที่ผ่านการวินิจฉัยเกณฑ์ 9 ข้อ คืออายุ 8 ขวบ เป็นซึมเศร้าแล้ว นอกนั้นจะมีอารมณ์เศร้าเป็นหลัก ไม่มีแรงจูงใจในการเรียน พบว่าเป็นตั้งแต่ ป.1-2 แล้วค่ะ ถ้าพ่อแม่มีปัญหาครอบครัว ทะเลาะกัน หรือครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว จะส่งผลต่อเด็กมากขึ้น คือถ้าเด็กไม่สบายใจ ไม่มีความสุข อารมณ์จะเป็นเหตุที่นำไปสู่ปัญหาการเรียนและพฤติกรรมต่อไป

     “สื่อฯที่เสพมีผลด้วยเช่นกัน มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การเสพสื่อฯ มากเกินไป ไม่ว่าจะด้านไหน จะเริ่มอิน เพราะฉะนั้นต้องเสพพอควร พักทำกิจกรรมอื่นก่อน หรือรู้สึกว่าถ้าคนใกล้ตัวที่ร่วมเสพด้วย เช่น นั่งดูข่าวด้วยกัน เขาไม่มีอาการเหมือนเรา เราต้องหยุดละ หรือดูละครแล้วอิน รู้สึกหดหู่ อารมณ์ลบเกิด แต่เมื่อปิดแล้วอารมณ์ไม่ได้อยู่กับเราต่อ นั่นคือปกติ แต่ถ้าปิดแล้วยังวนเวียนอยู่ในหัว ไม่สามารถดึงตัวเองขึ้นมาได้ นั่นคือความเสี่ยงละ

     “ต้องเข้าใจต้นเหตุที่แท้จริง มีกรณีที่เป็นซึมเศร้าแต่ประเด็นเด่นคือเรื่องสมาธิสั้น มาพบหมอเพราะขาดสมาธิ คิดตัดสินใจเชื่องช้า สุดท้ายมีความคิดว่าชีวิตไร้ค่า ไม่มีความหมาย รู้สึกว่าความผิดทั้งหมดมาจากตัวเอง จะคิดสั้น นำไปสู่การปลิดชีวิตตัวเอง ร่างกายไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่เป็นที่ความผิดปกติในภาวะซึมเศร้า โทษตัวเองทุกอย่าง และนำไปสู่การทำร้ายตัวเอง คนรอบข้างถ้าเห็นสัญญาณ ต้องรีบช่วยเหลือ สิ่งที่ยากคือครอบครัวไม่เข้าใจ และเข้าไม่ถึงการรักษา

     “หลักๆ คนเป็นซึมเศร้าจะมีชุดความคิดด้านลบเกี่ยวกับตัวเอง ปัญหาทุกอย่างเกิดจากฉัน ถ้าฉันไม่อยู่ซักคน ครอบครัวจะดีขึ้น ถ้าคุณคิดถึงขั้นนั้นควรจะมาหาหมอ”

 

วิธีเช็คอาการ

     “คนเรามีอารมณ์หลากหลายในหนึ่งวัน ดีใจ ผิดหวัง เครียด ส่วนคนเป็นซึมเศร้าจะมีอาการต่อเนื่อง ไม่ใช่แค่วันสองวัน แต่ต่อเนื่องสองอาทิตย์ สังเกตได้จากสองคำถามเป็นตะแกรงหยาบๆ ก่อน

  1. ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมารวมวันนี้คุณรู้สึกหดหู่ เศร้า ท้อแท้หรือไม่
  2. ตลอดสองอาทิตย์ที่ผ่านมาคุณรู้สึกเบื่อ ทำอะไรไม่เพลิดเพลินหรือไม่

     “ถ้าตอบใช่ ข้อใดข้อหนึ่งมีแนวโน้มที่จะมีภาวะซึมเศร้า คนปกติมีอารมณ์เศร้าเบื่อได้ แต่เราคงไม่เศร้าต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง แค่เศร้าปกติครึ่งชั่วโมง เดี๋ยวก็เปลี่ยนเป็นอารมณ์อื่น กลัว กังวล ดีใจ แต่คนที่มีอาการซึมเศร้าจะรู้สึกแบบนี้เกือบทั้งวัน และต่อเนื่องกันถึง 14วัน นอกจาก 2 คำถามดังกล่าวแล้ว ควรทำแบบทดสอบ 9 ข้อในเว็บกรมสุขภาพจิต ที่จะกรองละเอียดอีกขั้นค่ะ”

 

ผู้หญิงอ่อนไหว หรือเพราะฮอร์โมนเปลี่ยน

     “ฮอร์โมนมีผลต่ออารมณ์ ผู้หญิงก่อนมีประจำเดือนมีอารมณ์เศร้าเป็นเรื่องปกติ เพราะฮอร์โมนเปลี่ยน พอประจำเดือนหมดแล้วจะรู้สึกดีขึ้น หรือหลังคลอด ผู้หญิงอาจรู้สึกซึมเศร้าได้ ถ้ามีการช่วยเหลือ ได้พักผ่อนเต็มที่ อาการจะหายไป ถือว่าเป็นเรื่องปกติ หรือความเศร้าหลังจากสูญเสียคนที่รักไป ให้เวลาสองเดือน ค่อยเดินหน้าต่อไปได้ เป็นเรื่องปกติค่ะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าหลังจากนั้นยังหดหู่อยู่ ลองพบหมอเพื่อคุยกัน”

 

ความเข้าใจผิดระหว่างโรคจิตกับโรคซึมเศร้า

     “เข้าใจผิดมากที่สุดคือ เป็นซึมเศร้าเท่ากับเป็นโรคจิต ฉันไม่อยากเป็นเพราะไม่อยากเป็นโรคจิต ซึ่งไม่ใช่ค่ะ ถ้าเทียบโรคจิตกับโรคมะเร็ง ซึมเศร้าก็เป็นโรคปอด คนละโรคกัน โรคจิตเป็นโรคความคิดผิดปกติ แต่โรคซึมเศร้าเป็นโรคอารมณ์ผิดปกติ จิตเวช (psychiatry) มีหลายอย่าง เหมือนโรคทางกายที่มีหัวใจ ความดัน ปอด ตับ คนละอวัยวะ จิตใจมีหลายส่วนเช่นกัน เช่น ดูทีวีแล้วคิดว่าคนในทีวีจ้องจับผิดตัวเอง อันนี้คือโรคจิตเภท (schizophrenia) แต่โรคอารมณ์มีตั้งแต่ซึมเศร้า อารมณ์สองขั้ว (bipolar disorder) , ตื่นตระหนก (panic disorder) วิตกกังวล แพนิค จัดอยู่ในกลุ่มอารมณ์ แล้วแต่ละกลุ่มยังย่อยแยกอีกหลายโรค

     “ถ้าบอกว่าต่างกันอย่างไร โรคจิตเภทคนรอบข้างเดือดร้อน เจ้าตัวไม่รู้สึกเดือดร้อน เช่น ใช้ชีวิตปกติแต่สักพักเหมือนแว่วเสียงคนอื่นมาคุยด้วย ดูทีวีก็พูดถึงฉัน หวาดระแวงจนเอาอาวุธไปทำร้ายคนอื่น แต่โรคอารมณ์ ตัวเองเดือดร้อน จนต้องมารักษาด้วยตัวเอง ใจสั่น เศร้ามากๆ หรือตื่นตระหนก หมอเจอวัยรุ่นหลายคนจูงมือเพื่อนมา ไม่กล้าบอกที่บ้าน กลัวไม่เข้าใจ เพื่อนเคยมาหาแล้วดีขึ้นเลยพากันมา หรือไม่ได้เป็นอะไรแต่ช่วยเพื่อนไม่ได้เลยพามาหาหมอแทน

     “การตัดสินใจก้าวมาหาหมอได้ ต้องอาศัยความกล้าเหมือนกัน (ยิ้ม) ถ้ายังไม่สะดวกใจพบโดยตรงก็โทรหาก่อน เพื่อระบายและหมอก็ได้ข้อมูลที่จะช่วยเหลือ อย่างกรมสุขภาพจิต 1323 หรือองค์กรต่างๆ คนที่มีเงินไม่พอก็กังวล เรื่องค่าใช้จ่ายต่างๆ แค่หนูมาหาหมอก็ดีใจแล้ว ง่ายสุดก็ยกหูโทร.หาก่อนได้”

 

เมื่อสมองต้องการความสมดุล

     “สมองแบ่งเป็นสองส่วน ซีกซ้ายทำหน้าที่คิดและซีกขวาทำหน้าที่อารมณ์ คนเป็นซึมเศร้า สมองด้านอารมณ์จะทำงานอย่างหนัก เหมือนกระดานหก ส่วนที่เป็นตรรกะเหตุผลจะไม่ทำงาน การที่เราถามบางอย่างให้เขาตอบออกมา เหตุผลจะทำงานมากขึ้น อารมณ์ทำงานน้อยลง อย่างการกลัวผี ซีกอารมณ์ทำงานเต็มที่ บอกว่าผีไม่มีหรอก ไม่ช่วยค่ะ เมื่อผีอยู่เต็มหัวเขา แต่ซีกคิดด้วยเหตุผลจะช่วยคือ ถ้ามีผีจะรอดยังไง ความคิดนี้ต้องเกิดในตัวเขา และเราต้องเหนี่ยวนำเขา ไม่ว่าจากคนใกล้ตัว หรือผู้เชี่ยวชาญ ให้เขาตั้งคำถามกับตัวเอง เพื่อให้พลังงานไปอยู่ด้านตรรกะมากขึ้น อารมณ์น้อยลง แต่ต้องไม่ใช่เหตุผลของคนอื่น เช่น ผีไม่มีหรอก คำนี้ไม่ช่วยเลย ลองคิดว่าถ้ามีจะรอดได้ยังไง นี่น่าสนใจกว่า”

 

ถ้อยคำที่ไม่ควรพูดกับคนที่เป็นซึมเศร้า

     “ ‘เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น คิดมากทำไม’ เหมือนอยากช่วยแต่ยิ่งบั่นทอนจิตใจ คนฟังจะคิดว่า ‘ฉันไม่เหมือนคนปกติ ฉันผิดไปเอง เป็นเพราะฉันเอง’ ดีสุดคือรับฟังค่ะ คนที่เป็นซึมเศร้ามีเรื่องอัดอั้นตันใจเยอะมาก ถ้าเขาได้พูดจะเป็นการระบายอย่างหนึ่ง คนรอบข้างลองฟังก่อน หรืออีกสิ่งที่เจอคือ ไม่อยากพูด เพราะพูดไปก็ไม่เข้าใจ โดนด่ากลับอีก คำที่ควรพูดกับคนเป็นซึมเศร้าคือ ‘เป็นห่วงนะ มีอะไรคุยให้ฟังได้นะ’ ให้เขารู้สึกว่าเราอยู่ข้างๆ ยังมีเราอยู่ หลายคนนั่งมองหน้ากัน ไม่พูดก็ใช้สัมผัสแทน อยู่ในจุดที่เขาอยู่ด้วย หมอมองว่า คนเป็นซึมเศร้าจะเหมือนตกลงไปในเหวลึก เราอยู่ที่ปากเหวแล้วตะโกนบอกให้เขาขึ้นมา ไม่ใช่เลย เราต้องลงไปด้วย แต่มีสายเชือกหย่อนคาหลักข้างบนไว้ พร้อมจะขึ้นไปด้วยกัน ให้รู้ว่ามีทางนี้อยู่นะ อยากให้เราทำอะไรไหม อยากพูดอะไรไหม

     “ลองคิดว่าทำไมเขาอยากนั่งตรงนี้ ต้องมีดีอะไรบางอย่าง ถ้าลุกมาจะต้องสูญเสียมันไป ถ้าวิธีกระตุ้นไม่เกิดผลก็นั่งร่วมกับเขา มีคุณแม่บอกว่าทำไมลูกคุยกับหมอแต่ไม่คุยกับแม่ หมอให้น้องพูดค่ะ หมอไม่ได้พูดสั่งสอนอะไรน้องเลย คุณแม่ก็นิ่งไป รู้ว่าหมอใช้คนละวิธีกัน ผู้ใหญ่ใช้วิธีที่ว่าหวังดี เรียนรู้โลกมามากกับเด็ก แต่บางครั้งมันไม่ใช่ เราต้องฟังเขา ตั้งคำถามให้เขาได้คิดแทน เขาจะร้อยเรียงคำตอบแล้วถามตัวเอง

     “เคสหนึ่งเพิ่งได้งานใหม่ ไม่แน่ใจว่าจะโดนออกจากงานไหม เพิ่งเลิกกับแฟน อยู่คนเดียว เนื่องจากญาติเสีย พ่อแม่เลยไปต่างจังหวัดหมด หมอถามแอดมิดไหม เพราะเสี่ยงจะฆ่าตัวตายมาก เขาก็ไม่เอา ถ้าแอดมิดแล้วงานใหม่ล่ะ ผ่อนรถอยู่ด้วย แฟนก็ทิ้งไปแล้ว เขาแค่อยากนอนหลับสนิทได้ ตอนเช้าจะได้มีแรงไปทำงานไหว ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน แค่กลับไปทำงานก็สบายใจแล้ว เขาก็ค่อยๆ ดีขึ้น ถ้ายึดความคิดเรา คงต้องนอนโรงพยาบาล แล้วเขาต้องตกงานอีกแน่ เพราะฉะนั้นดีที่สุดคือฟังว่าเขาต้องการอะไร เลือกอันไหน ชีวิตเป็นของเขา แต่ต้องวัดใจกันพอสมควร หมอนัดเจออาทิตย์หน้า และตั้งคำถามว่าครั้งหน้าจะมีอะไรมาบอกหมอไหม เขาก็ว่าน่าจะนอนหลับได้มากขึ้น เหมือนเราเกี่ยวก้อยสัญญากันว่าจะเจอกันอีกนะ เมื่อเขารับปากด้วยตัวเอง พอจะทำอะไร เขาก็จะคิดว่าต้องมาเจอหมอตามสัญญานะ”

 

นัยแฝงของคำว่า “ไม่เป็นไร”

     “ต้องระแวงไว้ก่อนค่ะ ไม่เป็นไรคือเป็นไร (ยิ้ม) คนรอบข้างต้องอ่านสัญญาณจากเขา เพราะคนเราปากกับใจไม่ตรงกัน ต้องมีคนใกล้ชิดอยู่ด้วย หรือมีสัญญาใจด้วยกันอย่างที่หมอทำ คนเราถ้ามีสิ่งยึดเหนี่ยวสักหนึ่งอย่างจะยังอยู่ได้ คนที่มาหาหมอมีที่คิดสั้นกันหลายคน แต่ไม่ทำ เพราะมีภาพคนใกล้ตัว มีความสำเร็จในอนาคตรออยู่ เราใช้บางคำพูดดึงให้เขาเห็นจุดมุ่งหมายนั้น ถ้าเรื่องนี้เขาผ่านไปได้ สิ่งที่เขาจะได้รับคืออะไร เป้าหมายแรกๆ ของเขาในตอนนี้คืออะไร”

 

 

เมื่อซึมเศร้าถูกเอาไปใช้ในทางที่ผิด

     “คนเป็นโรคซึมเศร้าจะไม่ป่าวประกาศแก่ใคร เขาจะเฉือนเนื้อตัวเองให้คนอื่นได้ ไม่ใช่ให้คนอื่นยื่นให้ เป็นคนเสียสละชีวิตตัวเองให้มากกว่า เป็นการให้ฝ่ายเดียวด้วย แต่การเอาประโยชน์จากคนอื่น เป็นคนละขั้วกันเลย การเอาภาวะซึมเศร้ามาใช้ประโยชน์แบบนี้ก็ไม่ได้เป็นจริงแล้ว ที่จริงเรามีเซ้นส์ของใจเหมือนกันว่ามันไม่น่าใช่ อาจมีบางคนเคยเป็นลมชักจริงครั้งสองครั้งแล้วได้รับความสนใจ ได้สิทธิประโยชน์หลายอย่าง เลยคิดว่า ถ้าฉันเป็นแบบนี้ ทุกคนจะให้หมดสินะ ซึ่งไม่ใช่แล้วล่ะ”

 

ถ้าอยากหาย ควรทำอย่างไร

     “หมอแบ่งเป็นสามอย่าง เรื่องสารเคมี เรื่องตัวเขาเอง เรื่องคนรอบข้าง การมีคนรับฟังจะช่วยได้นะ สิ่งแวดล้อมที่ไม่ใช่ผู้คน เช่น มีสัตว์เลี้ยงสักตัว หรือเล่นกีฬา ไปออกกำลังกาย ทำกิจกรรมสร้างสรรค์ ก็ช่วยได้ สื่อรอบตัวเรามีหลายอย่างที่สร้างแรงบันดาลใจที่ดี ตอนนั้นด้วยอารมณ์ห่อเหี่ยวเพราะทำงานเต็มที่ แต่พอฉุกคิดด้วยเหตุผลได้ว่ายังมีลมหายใจ มีสิ่งที่รออยู่ เขาอาจลุกขึ้นมาได้ แค่พลิกขั้วความคิดตรรกะนิดหนึ่ง แต่มันก็ยากเหมือนกัน

     “เคสหนึ่งที่เขาบอกหมอว่าถ้าไม่ได้น้องหมา คงไม่ได้มาคุยกับหมอแล้ว น้องหมายังหายใจอยู่ เราเลยรู้สึกว่าเราต้องหายใจต่อด้วยเช่นกัน เป็นแสงสว่างเล็กๆ ที่ช่วยให้ตัดสินใจมีชีวิตต่อ”

 

คนพลังบวกแต่จากไปเพราะซึมเศร้า

     “บางคนเป็นนักแสดง หน้าฉากสดชื่นแต่ข้างในอกตรม สมมติเป็นตลกต้องแสดงให้เห็นว่าตลก แต่คนใกล้ชิดทราบว่าไม่ใช่ละ หน้าที่ขายเสียงหัวเราะต้องทำให้คนอื่นมีความสุข แต่พอเป็นเรื่องตัวเองกลับแก้ไม่ได้ คนใกล้ตัวน่าจะพอทราบ ต้องคอยจับสังเกตอาการ

     “เดี๋ยวนี้เราสื่อสารน้อยลง อยากให้เป็นชั่วโมงที่ไม่มีมือถือ ไม่มีจอ มานั่งคุยกัน 5-10 นาที อาจต้องมีชั่วโมงที่ไม่มีสิ่งกั้นระหว่างคนสองคน เพื่อเชื่อมโยงทางใจ ได้รู้ว่าแต่ละคนเจออะไรมาบ้างในแต่ละวัน รับฟังเพิ่มขึ้น ตั้งคำถามหรือชวนคุยในมุมอื่นของชีวิต วันนี้มีอะไรน่าสนุกบ้าง มีความสุขเรื่องอะไร ไม่สบายใจเรื่องอะไร ให้รู้ว่าเราแคร์เขา สังเกตเห็นเขาแปลกไปกว่าเดิม บางบ้านไม่ได้เชื่อมโยงกัน คนที่เป็นซึมเศร้าถ้ารู้สึกว่าไม่ได้เข้าพวกหรือเข้าสังคม จะตัดสินใจทำร้ายตัวเองเร็วขึ้น ควรดึงมามีส่วนร่วม มีคุณแม่มาคุยเรื่องลูกชอบเล่นเกม บอกให้เลิกได้แล้ว หมอถามว่าเวิร์คไหม ไม่เห็นเวิร์คเลย แม่เลยใช้วิธีใหม่ ไปนั่งอยู่ด้วยเลย ลูกไม่นอน แม่ก็ไม่นอน ในที่สุดผมนอนก็ได้ อยากให้แม่นอน”

 

วิธีที่ให้คนทั้งสองอยู่ร่วมกันได้

     “ตอนอยู่ในภาวะซึมเศร้าจะเหมือนผจญมรสุมอารมณ์ ระหว่างรักษาจะมีช่วงที่เขากลับสู่ภาวะปกติ เราช่วยดึงเขากลับมา ให้เขารู้สึกอยู่ร่วมกันได้ ใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่ได้แบ่งแยกกัน ทำให้หายเร็วขึ้น

     “อย่างที่บอก ถ้าเขายังไม่ลุกออกมา ก็ไปนั่งร่วมกับเขา ถ้าอยากชวน ก็เช่น ‘ออกกำลังกายคนเดียวเหงา ตัวเองไปเป็นเพื่อนเราหน่อย’ ค่อยๆ ตะลอม อย่าฝืน ให้เขามีพื้นที่ส่วนตัว เพราะคนซึมเศร้าจะเฉือนเนื้อตัวเองให้คนอื่น ตัวอาจไปเป็นเพื่อนได้ แต่ใจไม่ไปด้วย ควรลองบอกว่า ‘เราแค่อยากไปออกกำลังกาย แต่ไม่กล้าไปคนเดียว ถ้ามีเธอไปด้วยเราจะอุ่นใจนะ แต่ถ้าพร้อมเมื่อไรบอกนะ’ ให้เขารู้สึกว่ามีพื้นที่ โดยไม่ต้องเสียสละไปแต่ใจหดหู่ ให้อิสระแก่เขา ทำให้เขารู้สึกมีทางเลือกและไม่ถูกทอดทิ้ง เธอไปไหนฉันไปด้วย คนคนหนึ่งเป็นผู้ให้ต้องมีพลังมากพอ แค่เราไปนั่งใกล้ๆ เขา แต่ไม่ลากเขาไป แค่บอกให้รู้ว่าเราจะไปด้วยกัน ช่วยกัน พร้อมเมื่อไรไปกัน มันจะง่ายกว่า”

 

หากผู้ใหญ่เป็นซึมเศร้าควรทำอย่างไร

     “ตอนนี้มีแหล่งช่วยเหลือเยอะขึ้น รู้สึกเครียดก็มาคุยกับหมอ คุยกับใครก็ได้ที่จะช่วยให้ดีขึ้น ถ้าไม่แน่ใจว่าแค่ความเครียดหรือเป็นซึมเศร้าแล้ว ให้ทำแบบประเมินก่อน หรือโทร.ไปถาม ช่วยได้ในเบื้องต้น ถ้าเขาบอกว่าน่าจะเข้าข่ายแล้วนะ ลองมาพบหมอค่ะ และอยากบอกว่าเป็นแล้วหายได้ กลับมาดีขึ้นได้ การรักษามีหลายรูปแบบ ใช้ยา การทำจิตบำบัด กระตุ้นสมอง ฯลฯ ไม่ได้น่ากลัวเลย บางคนมาแค่มีเรื่องไม่สบายใจ ไม่ใช่ซึมเศร้า ได้คุยกับหมอแล้วเติมพลังเพื่อใช้ชีวิตต่อไป บางทีการพูดกับตัวเองในกระจกก็อาจได้ไอเดียที่เป็นทางออก หรือการอยู่กับสัตว์เลี้ยงที่มีชีวิต ก็ทำให้รู้สึกว่าฉันยังมีชีวิตอยู่ได้เช่นกัน

 

HUG MAGAZINE

คอลัมน์: แขกรับเชิญ

     “บริการทางด้านจิตเวชมีทั่วประเทศ มีทุกภูมิภาค ชมรมจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นมีเว็บไซต์แจ้งว่ามีแพทย์ที่ไหนบ้าง โทร.หาสายด่วนได้ แค่เปิดโอกาสให้ตัวเอง ลองสิ่งใหม่ๆ บางคนเคยไปหาหมอแล้วรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระหมอ ก็อาจต้องหาหมอคนที่สอง คนแรกอาจไม่คลิกกัน ลองหมอคนที่สองดู ลองเปิดหาทางช่วยเหลือใหม่ๆ แค่มาหา หมอก็ดีใจแล้ว

     “นอกจากดูแลร่างกาย เราต้องดูแลจิตใจด้วย มันเป็นเรื่องปกติค่ะ นักจิตวิทยาจะพูดคุยให้คำปรึกษาได้ แต่จิตแพทย์จะให้ยารักษาได้ด้วย จะรู้ว่าโรคนี้มาจากร่างกายหรือจิตใจ เช่นบางคนมีอาการคล้ายโรคทางอารมณ์บางอย่าง แต่พอรักษาไทรอยด์แล้วดีขึ้น ร่างกายกับจิตใจมันเชื่อมกัน จิตแพทย์จะประเมินได้ ถือว่าเป็นข้อแตกต่างจากนักจิตวิทยาค่ะ”

 

หมอเอ๋ – กุสุมาวดี คำเกลี้ยง


เทคนิคสร้างรักยุค New Normal

ช่วงนี้คู่รักหลายๆ คู่ต้องเผชิญกับสภาพการณ์แปลกใหม่ที่เรียกกันว่า New Normal ความปกติใหม่ที่เราทุกคนประสบร่วมกันเป็นครั้งแรก สถานการณ์ในยุคโควิด-19 กดดันให้ทุกวงการต้องเปลี่ยนแปลงและปรับตัวให้เข้ากับปรากฏการณ์แห่งยุค ไม่เว้นแม้แต่เรื่องความรัก

บางคู่อาจต้องเว้นระยะห่าง (social distancing) ทั้งที่ตามปกติก็ไม่ได้หวานกันจี๋จ๋าอยู่แล้ว ยิ่งต้องเว้นระยะห่าง ยิ่งห่างกันใหญ่ หรือบางคู่กลับมีเวลาว่างมากเกินไป อยู่ด้วยกันนานๆ เข้าก็ชักเบื่อ (อ้าว ไหงเป็นงั้น) แต่ไม่ว่าจะเป็นไปในรูปแบบไหน ก็ไม่ต้องกังวลใจ ฮักมีเคล็ดลับดีๆ มาฝากกัน ให้คู่รักทุกคู่จับมือกันผ่านวิกฤติช่วงนี้ไปให้ได้

 

+ โซเชียลสร้างรัก

ในเมื่อเป็นยุคแห่งโซเชียล จะมองหาตัวช่วยตัวอื่นไปทำไมกัน ก็ใช้สื่อโชเชียลนี่ละให้เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็น Line IG Facebook หรือ TikTok ก็มีให้เลือกเติมความหวานจนโลกต้องอิจฉา ออดอ้อนผ่านโซเชียลให้ชัดเจนกันไปเลย เผื่อใครที่คิดแทรกตัวเข้ามาในช่วงนี้ จะได้ถอยกลับไปคิดใหม่ให้ดีซะก่อน

 

+ ธรรมชาติเพิ่มหวาน

ในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 ยังตึงเครียดอยู่ หลายคู่อาจไม่ค่อยได้เจอกัน และเริ่มรู้สึกจำเจที่ต้องขลุกอยู่กับบ้าน สถานที่นัดเดตจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยเพิ่มดีกรีความหวานไม่ให้รักมันจืดชืด แม้สถานที่ต่างๆ อย่างร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือห้างสรรพสินค้า จะเปิดให้บริการกันตามปกติ แต่บรรยากาศก็ไม่เหมือนเดิม เพราะต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันที่รัฐกำหนด สถานที่เดตที่เหมาะกับช่วงนี้มากๆ ต้องเน้นธรรมชาติเท่านั้น อากาศปลอดโปร่ง แบบเอาท์ดอร์นี่แหละดี ไม่เพียงแต่จะมี social distancing จากคู่อื่นๆ ได้อย่างปลอดภัยแล้ว ความสวยงามของธรรมชาติก็ยังช่วยเพิ่มความโรแมนติกให้ความรักของคุณทั้งคู่ดูสดใสขึ้นอีกด้วย คู่ไหนที่เริ่มรู้สึกเบื่อๆ ลองเกี่ยวก้อยกันออกไปสูดอากาศในธรรมชาติดูบ้างสิ ช่วยได้เยอะนะ

 

+ ห่างแต่ดี

ก่อนหน้านี้หลายคู่ที่ติดแจ ไม่ค่อยได้แยกจากกัน ไปไหนไปด้วยกันเสมอๆ และนึกภาพไม่ออกว่า ถ้าห่างกันแล้ว คู่ของคุณจะเป็นอย่างไร แต่พอถึงยุคที่โควิด-19 คุกคามมันก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับชีวิตปกติวิถีใหม่ หรือที่เรียกกันว่า New Normal กันบ้าง การที่คุณทั้งสองจำใจต้องห่างกันในช่วงโควิดนั้น อาจส่งผลดีต่อความสัมพันธ์ก็เป็นได้ คุณอาจคิดถึงกันมากขึ้น เพราะเมื่อก่อนนั้นอยู่ด้วยกันจนเกิดความเคยชิน เผลอลืมไปว่าความคิดถึงนั้นมีอานุภาพร้ายแรงเพียงไร หรือคุณอาจจะทะเลาะกันน้อยลง เพราะต่างฝ่ายต่างมีเวลาส่วนตัวมากขึ้น เมื่อได้อยู่กับตัวเอง ได้ทำสิ่งที่ชอบ อารมณ์ก็ดีขึ้นตามลำดับ ส่งผลถึงความสัมพันธ์ที่พัฒนา พอหมดช่วงสถานการณ์โควิด หลายคู่อาจติดใจกับการค้นพบเทคนิครักษาความสัมพันธ์แบบใหม่นี้ แล้วลองเอาไปใช้ต่อก็น่าจะเวิร์คนะ.

DID YOU KNOW?

New Normal หรือความปกติในรูปแบบใหม่ เป็นคำศัพท์ที่ถูกใช้เป็นครั้งแรกเมี่อ ค.ศ. 2008 โดยบิลล์ กรอสส์ (Bill Gross) นักลงทุนในตราสารหนี้ชื่อดัง และเป็นผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Pacific Investment Management (PIMCO) เขาให้นิยาม New Normal ในบริบทเศรษฐกิจโลกเอาไว้ว่า เป็นสภาวะที่เศรษฐกิจโลกมีอัตราการเติบโตชะลอตัวลงจากในอดีต และเข้าสู่อัตราการเติบโตเฉลี่ยระดับใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม ควบคู่ไปกับอัตราการว่างงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังเกิดวิกฤติทางการเงินในสหรัฐฯ

 

+ข้อมูลจากนิตยสารการเงินธนาคาร ฉบับเดือนพฤษภาคม 2015 (โดย เขมรัฐ ทรงอยู่)


16 เรื่องน่าคิดที่ท้าทายความเชื่อ

มาถึงวันนี้อะไรที่เราเคยเชื่อฝังใจว่าไม่มีทางเกิดขึ้นนั้นกลับปรากฏให้เห็นอย่างไม่น่าเชื่อ มาดูซิว่า 16 เรื่องต่อจากนี้ท้าทายความเชื่อของคุณในเรื่องใดบ้าง

 

  1. ค่าไฟจะแพงขึ้นเรื่อยๆ

ยุคนี้หากขาดไฟฟ้าไปชีวิตประจำวันคงลำบากยากยิ่ง โดยเฉพาะคนเมืองยุคใหม่คงเหมือนขาดอากาศหายใจเลยทีเดียว หากพูดถึงเรื่องราคา ถ้าผู้ผลิตหลักไม่ใช่เป็นเอกชน คงการันตีว่าอนาคตค่าไฟจะแพง

  1. ราคาน้ำมันวันนี้ถูก แต่อนาคตแพง

การใช้น้ำมันในปัจจุบันลดลงเพราะพิษเศรษฐกิจ และการอาศัยจังหวะตามน้ำหาประโยชน์ของมือที่มองไม่เห็นระดับโลก แต่แน่นอน ระยะยาว เราจะใช้น้ำมันเพิ่มขึ้น อย่างน้อยคงไม่มีเครื่องบินลำไหนกล้าใช้ไฟฟ้า เพราะหากแบตฯ หมดจะขอร่อนลงมาชาร์จไฟ แล้วให้ผู้โดยสารรอเหรอ แต่ถ้าต้องใช้ไฟฟ้าจริงๆ ค่าโดยสารจะไม่สามารถถูกอย่างปัจจุบัน

  1. พลังงานทดแทนไม่ใช่พลังงานหลักในเวลาสั้น

พลังงานทดแทนจะมาทดแทนพลังงานหลัก เมื่อเราไม่มีพลังงานหลักอีกต่อไปหรือน้ำมันหมดโลก ถ้าน้ำมันร่อยหรอ ราคาน้ำมันจะแพง แพงจนไม่คุ้มที่จะใช้น้ำมัน วันนั้นคือเวลาของโลกพลังงานทดแทนจริง

  1. ธนาคารไม่เจ๊ง ตราบเท่าที่เรายังอยู่ในระบบทุนนิยม

ประเทศที่มีอำนาจสูงสุดในระบบทุนนิยม คือประเทศที่ควบคุม supply ของเงินได้ ซึ่งปัจจุบันทำผ่านธนาคารกลางและธนาคารพาณิชย์ ถ้าปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเสรี นั่นหมายความว่า หมดอำนาจ ผู้มีอำนาจคงไม่ยอมง่ายๆ

 

 

  1. เมื่อมีเงินในระบบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราคาสินทรัพย์จะขึ้นแบบควบคุมไม่ได้

คนที่ถือแต่เงินสดอาจต้องรับผลจากสิ่งนี้แบบหลีกเลี่ยงไม่ได้

  1. เงินเดือนคือสิ่งที่เพิ่มขึ้นน้อยที่สุดในระบบเศรษฐกิจ

ส่วนสินทรัพย์คือสิ่งที่ขึ้นมากที่สุดในระบบเศรษฐกิจ คนรวยทุกคนเข้าใจเรื่องนี้ดีจึงวางเงินส่วนใหญ่ไว้ในสินทรัพย์

  1. ที่ดินในเมือง ราคาอาจไม่ขยับไปไหน แต่ที่ไกลๆ ใกล้ธรรมชาติ ราคาอาจพุ่งจนน่าตกใจ

ในโลกทำงานที่ไหนก็ได้ คนคงไม่อยากทำงานกลางเมือง รถติด แออัด คุณภาพชีวิตต่ำ

  1. สินค้าและบริการที่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจซื้อจะเข้าสู่ยุคเฟื่องฟู

ของที่ใช้เหตุผลในการตัดสินใจไม่มีใครยอมจ่ายแพง ของที่ใช้อารมณ์ ยิ่งแพง ก็ยิ่งอยากได้

 

 

  1. ธุรกิจใหญ่จะแตกเป็นธุรกิจย่อยที่มีความชัดเจน

เพราะมันเหมาะกับเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันมากกว่า โดยเฉพาะในตลาดหุ้น เราจะเห็น แตกแล้วโต!

  1. หนี้สินจะโตก้าวกระโดด

คนยุคใหม่จะถูกควบคุมด้วยหนี้สินนั่นเอง ยิ่งมีอีโก้มาก ยิ่งมีหนี้ก้อนโตตามอีโก้

  1. ค่ารักษาพยาบาลของคนเราจะสูงขึ้นเรื่อยๆ

แทบไม่ต้องสงสัย เราจะจ่ายค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งโรงพยาบาลและธุรกิจที่เกี่ยวกับเรื่องสุขภาพ ดีแน่นอน

  1. การศึกษาของลูก หนึ่งในค่าใช้จ่ายที่แพงที่สุดของคนรวย

เนื้อหาความรู้ที่เรียน อาจไม่สำคัญเท่ากับการซื้อสังคมให้แก่ลูก พ่อแม่บางคนยอมเป็นหนี้ เพื่อให้ลูกได้เรียนดีๆ โรงเรียนที่ดียังคงเป็นธุรกิจที่ดีต่อไป

 

  1. สัตว์เลี้ยงคือลูกของคนโสด

คนโสดจะเลี้ยงสัตว์แทนการมีลูก ธุรกิจเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน

  1. ธุรกิจเกี่ยวกับความเชื่อนั้นยิ่งใหญ่มหาศาล

ไม่ว่าคนรุ่นเก่าหรือรุ่นใหม่ล้วนต้องการที่พึ่งทางใจเหมือนกัน

  1. ความหวังขายดีกว่าความจริงเสมอ

คนซื้อลอตเตอรี่เพราะมีความหวัง คนลงทุนเพราะความจริง และแน่นอนว่าลอตเตอรี่ขายดีกว่าลงทุนตลอด เพราะความหวังนั้นขายง่ายกว่า

  1. คนดีฉลาดกว่าคนไม่ดีเสมอ

เพราะการเป็นคนไม่ดีนั้นการันตีผลลัพธ์ที่แย่กว่าทุกๆ ด้านในระยะยาว ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งที่พ่อแม่ควรสอนลูกให้เป็นคนดี

 

เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไป อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกหากความเชื่อบางอย่างภายในใจของเราจะแปรเปลี่ยนไปในวันหนึ่งข้างหน้า จริงมั้ย

 

HUG Magazine 

คอลัมน์ ‘เงินทองต้องรักษา’

เรื่อง: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม


'Someone Great' รักที่เพิ่งผ่านพ้นไป และการเติบโตของแก๊งเพื่อนสาว

“เอริน แกกำลังยึดติดกับอะไรบางอย่างที่มันไม่อยู่แล้วเอาไว้ เราเกือบจะ 30 แล้ว มันไม่ได้ ‘น่ารัก’ แล้วนะ แกคิดว่าแกจะสาวตลอดไปรึไง”

ประโยคข้างต้นนั้น แบลร์ ผู้ซึ่งดูมีชีวิตเข้ารูปเข้ารอยกว่าใครในแก๊ง 3 สาว โพล่งใส่ เอริน หญิงรักหญิงผู้กลัวที่จะพูดคำว่า “รัก” ในขณะที่ต่อล้อต่อเถียงกันตามประสาเพื่อนสนิท

ราวกับเป็นสถานการณ์ร่วมของผู้หญิงวัยใกล้ 30 หลายคน เราต่างเคยตำหนิเพื่อน หรือโดนเพื่อนพูดเตือนสติ ทั้งนี้เพราะการเปลี่ยนผ่านจากช่วงวัย 20 ไปสู่ 30 ในหลายๆ ครั้งมันช่างน่ากังวล เราไม่อยากละความสนุกสนานของสมัยเป็น “วัยรุ่น” แต่ภาระหน้าที่ความรับผิดชอบในการงาน และอาจจะรวมถึงความสำเร็จในอนาคตก็เพิ่มระดับมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครคอยให้อภัยคุณในฐานะ “เด็ก” อีกต่อไปแล้ว แม้จะรู้และยอมรับ แต่ใจหนึ่งเรายังอยากยึดเหนี่ยวสิ่งเดิมๆ ที่เคยมีเอาไว้ การเปลี่ยนแปลงไม่เคยให้ความรู้สึกปลอดภัย 

 

เจนนี่ แบลร์ เอริน เป็นสามสาวเพื่อนสนิทที่คบกันมานานตั้งแต่สมัยเรียน ทุกคนเติบโตมาดี มีหน้าที่การงานที่ไม่ขี้เหร่ ไม่มีใครใกล้เคียงสภาวะขี้แพ้ แต่กระนั้น การเปลี่ยนผ่านในช่วงวัยนี้ก็ยังมิใช่เรื่องง่าย

Someone Great เล่าเรื่องราวในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงวันสองวัน เมื่อเจนนี่จำใจเลิกกับแฟนหนุ่มที่คบกันมายาวนาน 9 ปี เธออกหัก ยังอยู่ในช่วงเศร้าโศก อีกไม่นานเธอจะย้ายจากนิวยอร์คไปทำงานในฝันที่ซานฟรานซิสโก เธอต้องการเพื่อนๆ อยากได้เหล้า กัญชา และตั๋วเข้างานปาร์ตี้คอนเสิร์ตวง Neon Classic วงโปรดของเธอและเพื่อน เพื่อเป็นการเยียวยาและบอกลาบางสิ่งบางอย่าง

นี่อาจเป็นหนังว่าด้วยภาวะอกหัก ซึ่งผู้หญิงวัยใกล้ 30 หลายๆ คนต้องการ มันเป็นรอมคอมที่บ้าบอ ทำอะไรห่ามๆ เมาเละเทะ แต่ตลกมากและเต็มไปด้วยความสวยงามในมิตรภาพของเพื่อนๆ ที่เติบโตมาด้วยกัน 

ยิ่งกว่านั้น การสลับฉากย้อนอดีตไล่เรียงช่วงเวลาความสัมพันธ์ 9 ปีของเจนนี่กับแฟนหนุ่มยังสะเทือนความรู้สึกเราได้ลึกเกินคาด หัวเราะแล้วก็หยุดพักปาดน้ำตาไปสองรอบ

ต้องใช้ประสบการณ์ชีวิตพอดูจริงๆ นะ เราจึงจะเข้าใจว่าทำไมคนที่ยังรักกันอยู่สุดใจถึงจำใจไปด้วยกันไม่ได้ เราจึงจะยอมรับว่าทุกความสัมพันธ์ที่พังทลายนั้น ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง แต่เกิดจากเหตุปัจจัยหลายอย่างที่สั่งสมมานาน

เราจึงจะตระหนักว่า บางครั้งคนเราก็มีเส้นทางการเติบโตที่แตกต่างกันเป็นเรื่องธรรมดา

และไม่ว่าช้าหรือเร็ว ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไป การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ให้ความรู้สึกปลอดภัย แต่เราจะเรียนรู้และเดินจากตรงนี้ไปอยู่ตรงนั้นได้ในที่สุด เพราะเราไม่ได้เดินคนเดียว ทุกมิตรภาพและความรักที่ผ่านมาจะประทับอยู่ในใจเราตลอดไป.

 

HUG Magazine 

คอลัมน์ ‘สวมแว่นสีชมพูดูหนัง’

เรื่อง: รอมคอมแอดมิน


'เป็น 'แฟนเก่า' ที่ให้เขาปรึกษาเรื่อง 'แฟนใหม่' ถ้าไม่ไหวก็หยุดเถอะ'

     Q.“หนูมีเรื่องมาปรึกษาค่ะ ตอนนี้งงมากกับเรื่องนี้ เขาบอกว่าอยากดูแลพ่อแม่ เลยบอกเลิกเรา แต่ที่แท้ไปมีคนใหม่ หายไปเกือบ 2 เดือน จนเริ่มทำใจได้ แล้วเขาก็กลับมาคุยกับหนูเหมือนเดิม โทร.หาทุกวัน วันละหลายชั่วโมง บางทีก็งงนะ รักคนนั้นแต่ทำไมต้องกลับมาทำให้หนูเจ็บ เล่าเรื่องผู้หญิงคนนั้นให้ฟังว่า ยังไม่ยอมเปิดตัว ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ที่สำคัญเขาจะแช็ทบอกตลอดว่าทำอะไร ไปทำงานแล้ว พักแล้ว เลิกงานแล้ว อาบน้ำ เขาจะบอกหนูทำไม บางทีก็คุยเรื่องเราสองคน บางทีก็บอกรักหนูมาก แต่หนูถามเขานะคะว่ารู้สึกยังไงกันแน่ เขาบอกว่าอยากชดเชยเวลาให้หนู ที่ทำให้เสียใจ เขาพูดด้วยนะว่าไม่ได้ให้ความหวัง แต่ก็ยังหวงก้างไม่อยากให้หนูมีใคร หนูไม่รู้เลยว่า เขาคิดอะไรอยู่ เห็นเป็นของตาย คนคั่นเวลา หรือที่ระบาย ในเวลาเขาเครียดเรื่องคนของเขา หนูควรทำยังไง ควรจัดการแบบไหนดี”

A.

     ปัญหามันจะวนๆ อยู่ที่เขาไม่ยอมปล่อยหรือเราเองที่ไม่ยอมไป น้องยังมีใจ เขาก็เห็นแก่ตัวใส่เราได้อยู่เรื่อยๆ วันที่เขาจะไป หาเหตุผลโกหกง่ายๆ ว่าอยากดูแลพ่อแม่ ทำไมเหรอ การมีเรา เขาไม่สามารถกตัญญูต่อบุพการีหรือ อย่าคิดว่าเราน่ะหลอกง่าย พอจะไปพูดอะไรก็ได้ แล้วก็เชื่อ แบบที่ยื้อไม่ได้ ยื้อแล้วจะดูใจร้าย เขาบอกแล้วไง ว่าต้องไปดูแลพ่อแม่ ที่แท้ก็มีแฟนใหม่ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรกับความรู้สึกของเรา

     พอไปง่าย ก็สามารถวนกลับมาได้ แถมเรายังยอมซะด้วย โดยการช่วยเป็นผู้ฟัง เพราะอย่างน้อย ก็หลอกตัวเองได้บ้างว่า เรายังสำคัญ แค่เห็นเบอร์เขาที่หน้าจอก็เหมือนสิ้นสุดการรอคอยแล้ว ปัญหาเลยไม่ได้อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่เรายังให้ความหวังตัวเองค่ะ

     น้องไม่ต้องไปงงกับคนเห็นแก่ตัว ถ้าเขารักเราจริง คงไม่ทิ้งให้เราเป็นแฟนเก่าด้วยเหตุผลงี่เง่าๆ ว่าอยากดูแลพ่อแม่ หายไปแค่ 2 เดือน เลื่อนแฟนเก่าให้เป็นที่ปรึกษา เขาไม่เคยแคร์ความรู้สึกของเราจริงๆ ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหนๆ มีแฟนใหม่ แต่ยังอยากให้แฟนเก่าเป็นเพื่อน อย่าเลื่อนไปเป็นแฟนใครนะ อยากให้อยู่ใกล้ๆ แต่ไม่ต้องดูแล เพราะเขามีแฟนหลักอย่างเป็นทางการอยู่แล้ว ตกลงไม่ต้องดูแลพ่อแม่แล้วหรือ ถึงมีเวลาคบทั้งแฟนใหม่ และยังให้เวลาแก่แฟนเก่าด้วย รักเขา พี่เข้าใจ แต่น้องต้องไม่ลืมความเป็นจริงที่ว่าเขาเอาแต่ใจ และไม่แคร์ความรู้สึกใครซักคน ทั้งคนใหม่ของเขาหรือคนเก่าอย่างเรา หยอดได้หยอด เพราะรู้ว่าเราพร้อมมากที่สามารถเป็นของตายของเขาได้ อยากโทร.มาเมื่อไหร่เราพร้อมรับสาย วางหูเมื่อไหร่ก็ได้ ก็เขาบอกแล้วไงว่าไม่ได้อยากให้ความหวังนะ

     คนใหม่ของเขายังทำให้เขาดูไร้ตัวตน เขาเลยอยากหาใครซักคนเพื่อสร้างความมั่นใจในตัวเองหรือเปล่า หรือแม้แต่คบเราประชดคนใหม่ เพื่อเร่งให้คุณค่าของเขามีมากขึ้น

     ไม่ได้มองโลกแง่ร้าย แต่ยังมีแง่มุมอีกมากมายที่ทำให้เรารู้สึกได้ กับผู้ชายโลเล และทำอะไรก็ได้เพื่อตัวเอง เราเป็นแค่ดาราสมทบให้เขาคบเพื่อประชดคนใหม่ อย่าไปฟังคำว่าเขารักเรามาก ตราบใดที่ยังไม่ได้อยากมีเราคนเดียว คำว่า “รัก” ออกเสียงง่าย บางทีเขาอาจพูดๆ ไป ทั้งที่ใจยังไม่ได้รู้สึก รักมากแค่ไหนเชียว มีเราคนเดียวยังทำไม่ได้เลย ถ้าเขาบอกว่าสิ่งที่เขาทำนั้นเพื่อชดเชยความรู้สึกที่เคยทำให้หนูเสียใจ ก็บอกเขาด้วยว่า ตอนนี้สิ่งที่เขาทำไปใจร้ายกว่าอีก ไม่ให้เป็นตัวจริง แล้วยังทิ้งให้เป็นตำแหน่งตัวสำรอง คอยร่วมมือกับเขาทรยศคนใหม่ เห็นหัวใจฉันเป็นอะไร นี่หรือคือการชดเชย

     ไม่ใช่รีสอร์ทให้เขากอดเป็นพักๆ เดี๋ยวก็กลับไปรักคนที่เป็นบ้านของเขา เมื่อชัดเจนกับความรู้สึกของตัวเรา จะจัดการเขาก็ไม่ใช่เรื่องยาก ปัญหาคือพอน้องยังมีใจ อะไรที่เขาทำให้ เลยกลายเป็นเรื่องยิ่งใหญ่เสมอ เขาหยอดแค่หนึ่งแต่เราซึ้งถึงร้อย คอยเป็นที่ปรึกษาแสนดี ทั้งที่เจ็บปวดทุกที เมื่อฟังคนที่เรารัก พูดถึงคนที่เขารักซึ่งไม่ใช่เรา ปล่อยเขาไปรับมือเรื่องของเขาเองดีกว่า บอกว่าเราไม่สะดวก ไม่ต้องรับสายซะทุกครั้ง แล้วก็หมดพลังเมื่อวางสาย ไม่มีเราเขาอยู่ได้ คนใกล้ๆ เขาก็มี ไม่ว่าเราจะ “หยุด” หรือจะ “ทน” เขาก็มีอีกคนอยู่ดี เราต่างหากที่ไม่มี จะได้รู้สึกดีกับความภูมิใจที่เราไม่ได้แย่งคนของใคร ดีกว่าสุขใจกับเวลาเหลือๆ ที่เขาเผื่อแผ่ให้ เขาไม่ใช่ผู้ชายสูงค่าที่เราต้องแลกมาด้วยความอดทน

     บอกเขาไปว่า “เดี๋ยวส่งไลน์ต่อให้แฟนใหม่เธอนะ เราสงสารผู้หญิงด้วยกัน วันที่ถูกหลอก เรารู้ว่าเจ็บยังไง ไม่อยากให้ผู้หญิงคนไหนเจ็บอย่างที่เคยโดน เมื่อเลือกใคร รับผิดชอบความรู้สึกของคนคนนั้นด้วยเถอะ การที่ผู้หญิงคนนั้นทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน คงยังไม่มั่นใจอะไรในตัวเธอหรือเปล่า ทั้งที่มีเขาอยู่แต่เธอยังรายงานตัวกับเราอยู่เลย เธอคงทำได้ แต่เราทำไม่ได้ว่ะ ร่วมมือกันหลอกคนคนนั้น เราเคยถูกกระทำมาแล้ว เราคงไม่ร่วมมือกับเธอทำร้ายใครอีก” พูดนิ่งๆ แล้วก็หยุดรับสาย

     ยังรักเขาก็ได้ แต่ไปรักไกลๆ เพราะในที่สุดคนที่เจ็บหนักก็คือเราอยู่ดี ไม่ว่าจะมีเขาในฐานะแฟนหรือเปล่า พี่ถึงได้บอกว่า ปัญหาทั้งหมดอยู่ที่เรายังรู้สึกดีใจ ถึงไม่ได้เป็นอันดับหนึ่ง ขอให้ได้เป็นซัก 1 อันดับที่เขาคิดถึง ไม่ได้ยืนหนึ่ง ขอให้ได้กึ่งๆ เป็นแฟนก็ยังดี ต่อให้ปัญหาเริ่มจากเขา แต่เราเองอาจต้องเป็นคนที่จบเรื่องนี้ค่ะ.

HUG Magazine 

คอลัมน์ ‘หัวใจไม่จนมุม’

 

 

     คนที่อดทนทำไมต้องมารักกับคนเห็นแก่ตัว ทั้งที่มีข้อสงสัยในหัวใจเต็มไปหมด อยากให้น้องเป็นฝ่ายเลือก ไม่ใช่เขาเป็นคนเลือกจะวางเราไว้ตรงไหนก็ได้.

— DJ อ้อย นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล


'Playing It Cool'

เมื่อหนุ่มเพลย์บอยไม่เชื่อในรัก ต้องมาตกอยู่ในสูตรซ้ำๆ ของความรัก

หัวข้อหนึ่งที่เราและคนรักหนังรอมคอมรอบๆ ตัวคุยกันอยู่บ่อยครั้งคือ ประเด็นความซ้ำซากและสูตรสำเร็จในหนังประเภทนี้

หากจะมีหนังประเภทไหนโดนโจมตีเรื่องสูตรเดิมๆ มากที่สุดก็ต้อง “โรแมนติก-คอมเมดี้” นี่ละค่ะ ที่โดนค่อนแคะประจำว่าก็เนื้อเรื่องแบบเดิมๆ ยังจะฟินซ้ำไปซ้ำมาอยู่ได้ ไร้สาระจริงๆ (ฮ่าๆ)

มนุษย์ผู้ดูแต่หนังรักเป็นหลักอย่างเรา รู้ชัดและนึกออกว่า “สูตร” และ “ความซ้ำ” นั้นคืออะไร แต่นึกไม่ออกว่าแล้วจะทำยังไงไม่ให้ซ้ำ มีแง่มุมไหนที่ยังหลงเหลืออยู่อีกบ้าง จะเดินเรื่องยังไง อุปสรรคแบบไหน ถ้าไม่จบลงที่วิ่งตามไปคลี่คลายความเข้าใจผิดที่สนามบินแล้วทำยังไง จะให้ไปที่สถานีรถไฟ หรือศูนย์ขนส่งฯ แทนก็คงจะไม่ช่วยในจุดนี้ : ) หรือจริงๆ แล้วจะซ้ำหรือไม่ซ้ำนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่อยู่ที่ว่าหนังนั้นสร้างความเชื่อได้แค่ไหนหรือเปล่า

เมื่อได้ดูหนังเรื่องนี้เราเลยตื่นเต้นเป็นพิเศษโดยเฉพาะประเด็นนี้

Playing It Cool ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มนักเขียนบทภาพยนตร์คนหนึ่ง ผู้ซึ่งไม่เชื่อในรักแท้ ทำตัวเป็นเพลย์บอยไม่เคยปล่อยให้ตัวเองลงลึกในความสัมพันธ์ เขากำลังคันไม้คันมืออยากเขียนบทหนังบู๊ แต่ตอนนี้ค่ายหนังต้องการหนังรอมคอม จึงได้รับใบสั่งให้เขียนก่อน เพราะพระเอก-นางเอกพร้อมแล้ว ทำสำเร็จเดี๋ยวให้เขียนหนังบู๊ให้หนำใจเลย

ปกติแล้วเวลาเราไม่เชื่อในอะไร แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะสร้างผลงานที่ดีออกมาจากสิ่งนั้นได้ ระหว่างที่กำลังหาวิธีแก้ปัญหาก็มาเจอกับสาวทรงเสน่ห์คนหนึ่ง ที่ทำให้เขารู้สึกว่าเธอไม่เหมือนใคร ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน นี่เหมือนจะเป็นครั้งแรกเลยที่เริ่มลังเลว่า รักโรแมนติกอาจจะมีอยู่จริง สาวเจ้ามีแฟนอยู่แล้ว ทีนี้จะเอายังไงต่อ จะพยายามมั้ย แล้วพยายามแค่ไหน พยายามไปทำไม พยายามอะไร พยายามเป็นเพื่อนหรือเป็นแฟน พอช่วงไหนที่กำลังคิดว่าจะเลิกล้มความตั้งใจ เธอก็ดันโผล่มาให้เห็นตอกย้ำว่า “นี่แกจะปล่อยผู้หญิงคนนี้ไปได้จริงๆ เหรอ”

พล็อตเรื่องยังอยู่ในโซนรอมคอมแบบเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เราตื่นเต้นคือ เรื่องที่ตัวละครไม่เชื่อในรักโรแมนติกต่างหาก คือไม่เชื่อแล้วเขาพูดออกมาเลย พูดออกมาทุกอย่างที่เป็นวัตถุดิบสูตรสำเร็จ พูดแบบชัดแจ้งว่า เออ! รู้แล้วเว้ยเฮ้ย ไม่ต้องมาจิกกัดฉัน ฉันเป็นหนังรอมคอมที่กัดตัวเองให้ดูก่อนตรงนี้นี่แหละที่เราชอบมาก (ฮ่าๆ)

นอกจากเรื่องความซ้ำแล้วยังจิกต่อเล็กๆ ด้วยการเล่าเรื่องลงลึกไปอีกว่า พระเอกนั้นเมื่อเล่าหรือได้ฟังเรื่องอะไรมา จะจินตนาการออกมาเป็นซีนหนัง เลยมีฉากซ้อนให้เห็นหลายซีน ขนาดบอกว่าตัวเองไร้หัวใจ ยังจินตนาการเป็นภาพหัวใจกระโดดออกมาเดินตามข้างนอก หัวใจอันเย็นชา (ที่หน้าตาเหมือนเขานั่นแหละ) ใส่สูทดำสวมหมวกเดินสูบบุหรี่คือกวนมาก บางช่วงก็กัดตัวเองอย่างร้ายกาจทีเดียว

สำหรับเรานั้นหนังใช้รูปแบบการนำเสนอนี้บ่อยเกินไปหน่อย ระหว่างกลางเรื่องหวือหวาสับจังหวะเยอะมาก ตอนท้ายจึงเนือยๆ เหมือนหมดมุก

สิ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ แก๊งเพื่อนนักเขียนของพระเอก นี่ก็สูตรนะ แก๊งเพื่อนแคแร็กเตอร์จัดช่วยเดินเรื่อง ช่วยตบมุก นับเป็นความคลาสสิก แต่ก็นั่นละค่ะเพราะหนังไม่ได้ปฏิเสธสูตรหรือตั้งโจทย์ว่า “ฉันจะต้องทำให้ทุกอย่างแตกต่าง” ซึ่งเราคิดว่าแบบนี้ดีแล้ว การตั้งป้อมปฏิเสธนั้นไม่ต่างจากการพยายามฉีกออกนอกกรอบนี้ไปสู่กรอบใหม่เท่านั้นเอง

ในพาร์ทความรู้สึก เรื่องนี้ออกแนวดูสนุกมากกว่าลึกซึ้งนะ ไม่ได้ตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบอะไรมากมาย

แต่เสน่ห์ของหนุ่มหล่อของคริส อีแวนส์ ยังใช้การได้อยู่ ส่วนนางเอก-มิเชล โมนาแฮน ส่วนตัวคิดว่าเธอมีคุณสมบัติทุกอย่างที่นางเอกหนังรักต้องการอยู่แล้ว วิธีคิดเรื่องพยายามจะพาตัวเองให้อยู่หรือทำในสิ่งที่ดูปลอดภัย ควรทำ ถึงแม้จะรู้ว่าจริงๆ แล้วอะไรพิเศษสำหรับตัวเองของนางเอกก็น่าสนใจดี

นับว่าทั้งพระนางจูงมือกันสอบผ่านชิลล์ๆ ไม่ได้เลิศเลอหรูหรา แต่ยังอยู่ในมาตรฐานที่ดี ควรค่าแก่การดูค่ะ

เอาเข้าจริงความรักก็แบบนี้ เหมือนจะมีความเฉพาะตัวแต่ก็เกิดขึ้นซ้ำๆ ราวกับธาตุตั้งต้นในหัวใจของมนุษย์เป็นสิ่งเดียวกัน …

 

HUG Magazine 

คอลัมน์ ‘สวมแว่นสีชมพูดูหนัง’

เรื่อง: รอมคอมแอดมิน


รักข้ามทุกอุปสรรค : ศรีหลอด เชิญยิ้ม

ศรีหลอด เชิญยิ้ม ตลกร่างผอมที่หลายคนคุ้นหน้าจดจำเขาได้จากโฆษณาฮอลล์ข้าวมันไก่อันโด่งดัง ติด 1 ใน 10 ที่คนไทยโหวตอยากรู้ว่าคนเล่นเป็นใคร เส้นทางอาชีพที่คร่ำหวอดกับการเรียกเสียงหัวเราะ หน้าสปอตไลท์ที่ฉายฉาน ย่อมต้องมีเงาพาดผ่าน เรื่องราววันนี้จึงเป็นช่วงชีวิตอีกด้านหนึ่ง หลังแสงไฟสว่างจัดจ้า นั้นมิได้มืดมนแต่อย่างใด เพราะยังมีแสงรักอันอบอุ่นละมุนละไมของคู่ชีวิต (พลอย-ยุวดี นัยนามาศ) ที่ชูใจให้ตลกคนนี้ยังคงมีแรงโลดแล่นบนเวทีต่อไป

 

เมื่อตลกเข้ามาจีบ

“เพื่อนบอกว่าคนนี้ไงที่อยู่ในโฆษณาฮอลล์ ก็คิดว่าคนนี้เหรอ ทำไมในทีวีขี้เหร่ ดูแก่จัง แต่ตัวจริงดูดี (หัวเราะ) เพื่อนเหมือนเป็นแม่สื่อ เวลาไปไหน จะมาคอยถามว่าพี่หลอดไปด้วยนะ พลอยไปไหม เลยเริ่มสนิทกัน”

พลอยเล่าถึงวันที่เพื่อนมาเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์ แรกเจอกันในงานวันเกิดคนรู้จัก ตอนนั้นยังไม่ปิ๊งกัน และฝ่ายชายก็จีบเพื่อนในกลุ่มเธอก่อนด้วย แต่กลับไม่มีใครระแคะระคาย

“ช่วงนั้นผมเล่นตลกอยู่คณะพี่สุเทพ ศรีสังข์ ได้เจอกับพวกเขา กลุ่มพลอยจะมี 4-5 คน ไปไหนด้วยกันตลอดเหมือนนิ้วทั้งห้า ตอนแรกผมจีบเพื่อนเขา แต่ก็คุยกันไม่นาน รู้ว่าไม่ใช่ละ ตอนเราจีบ เราไม่ได้แสดงออกมาก ทำให้คนอื่นเลยดูไม่ออก เฮฮาไปเรื่อย พอเลิกคุยกับเพื่อนเขาได้สักพัก ก็ไปถามเพื่อนอีกคนว่าจำได้ไหมที่มีผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อสีนี้ในวันนั้น เขาชื่ออะไร แล้วบังเอิญคนที่มีเบอร์พลอยคือแฟนเพื่อนที่อยู่ในกลุ่มห้านิ้วนี้ด้วยเหมือนกัน”

สถานที่แรกที่ทั้งสองนัดพบกัน คือทำบุญที่วัดหัวลำโพง ถือว่าเปิดฉากคบหาดูใจได้ขลังดีนะ

 

เอาชนะความเจ้าชู้

การที่คนดังมาจีบ ฝ่ายถูกจีบมักความคาดหวังสูงเป็นธรรมดา แต่พลอยก็ตัดสินใจทำตัวปกติ เป็นตัวของตัวเอง ไม่ปรุงแต่งเพิ่มเติม เพราะเขาชอบที่เราเป็นแบบนี้ถึงได้มาจีบไม่ใช่เหรอ พอคบได้สักพัก ศรีหลอดมองถึงอนาคต ถามตรงไปตรงมาว่าตัดสินใจเป็นผัวเมียกันจริงไหม

“ถ้าตกลงปลงใจ ผมก็จะพาพ่อแม่มาอยู่ด้วย หาที่อยู่เป็นกิจลักษณะ และจะได้บอกกล่าวพ่อแม่พลอยด้วย ตอนนั้นตลกรายได้ดี ผมไม่เล่นพนัน ไม่กินหรู ไม่เสพยา เดือนหนึ่งก็พอมี เลยคิดว่าทำงานคนเดียวไหว จะเลี้ยงทุกคนเอง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พลอยก็ดูแลพ่อแม่ผม ดูแลบ้าน ผมออกไปทำงานหาเงินเอง”

พลอยเสริมต่อว่า

“รู้ได้ว่าผู้ชายคนนี้อบอุ่น เป็นคนรักครอบครัว ถึงจะเจ้าชู้แต่รักครอบครัว ดูแลพ่อแม่ ดูแลครอบครัวได้ เลยตัดสินใจอยู่กับเขา ปีแรกเกือบจะเลิกกันแล้ว พ่อแม่พี่หลอดบอกว่าให้ใจเย็นๆ เราก็รอเขาปรับปรุงตัวเอง ถ้าไม่ปรับปรุง ก็อยู่กันไม่ได้ละ เรารู้ว่าพี่หลอดมีข้อดีอยู่ และทุกคนมีข้อผิดพลาดเช่นกัน ต้องให้เวลาเขาหน่อย”

เราถามศรีหลอดผู้ประกอบอาชีพที่มักถูกตราหน้าว่า เป็นตลกต้องเจ้าชู้ แต่เขาเลิกเจ้าชู้ได้อย่างไร

“ผมหยุดเจ้าชู้มาสิบกว่าปี เลิกไปเลย ปกติสี่ห้าโมงเย็นต้องออกจากบ้านไปเล่นตลก ตีสองต้องกลับ พอกลับ พลอยก็รอเปิดประตู ถ้าผมกลับตีสี่ตีห้า ก็ต้องมีทะเลาะกันละ เธอไปไหนมา ทำไมกลับช้า มันทำให้ความรักที่มีให้กันเสื่อมลง แล้วการเลิกเจ้าชู้ดีอย่าง ประหยัดเงิน ไม่ต้องเลี้ยงผู้หญิงอีกคน เอาเงินมาซื้อนม ซื้อแพมเพิร์สให้ลูก ซื้อกุ้งหอยปูปลามาทำข้าวให้พ่อแม่กินดีกว่า ไม่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ มือถือดังให้เมียรับได้เลย ดีกว่าไปไหนต้องติดไปด้วยเพราะระแวง ทำไมเราไม่มีเมียคนเดียว หยุดไปเลยไม่ตายหรอก พลอยไม่เคยนอกใจผม ตื่นเช้ามาทำกับข้าวให้กิน ดูแลพ่อแม่ผมอย่างดี ดูแลบ้านอย่างดี แล้วพอน้องเหมยเกิดมา เป็นเด็กพิเศษ ถ้าไม่รักกันจริงคงไปแล้ว แต่พลอยทุ่มเทให้ลูกมาก ตั้งใจอดทนกับการดูแลลูก เขาทำอะไรผิดเหรอ เราถึงต้องทำร้ายจิตใจเขา”

 

ขบจึงขันพลันเจ็บ

ครั้งหนึ่งศรีหลอดคิดมุกตลกจากวงสนทนาเรื่องความเจ้าชู้ได้ นำไปใช้บนเวที เรียกเสียงฮาครืนเป็นอย่างดี ด้วยวลีว่าหายกัน

“ผมถามผู้ชมว่ามีผู้ชายคนไหนแอบไปนอนกับสาวแล้วเมียจับได้บ้างครับ คนฟังก็ยกมือกัน ถามมีใครโกหกเมียไหม มีใครยอมรับบ้าง ก็ตอบโกหกทั้งนั้น ผมบอกเวลาเมียจับได้ให้ยอมรับไปเลย แล้วครอบครัวพี่จะมีความสุขแบบผม วันก่อนผมกลับบ้าน เมียยืนชี้หน้าถามว่าไปนอนกับผู้หญิงมาใช่ไหม เรากล้าทำกล้ารับ เมียไม่ด่า พูดมาว่าถ้างั้นมึงกับกูหายกัน ตอนเล่นมุกตลกฟังแล้วขำ แต่ชีวิตจริงมันเจ็บปวดนะ สมมติผมไปเล่นตลก ภรรยาอยู่บ้าน เราไม่รู้ว่าอยู่จริงไหม รู้แค่ว่าเขาอยู่กับพ่อแม่ แล้วถ้าเขาบอกแม่ เดี๋ยวออกไปข้างนอกหน่อยนะ หายไปสักชั่วโมง ไปทำอะไรก็ไม่รู้ เพราะฉะนั้นต้องเชื่อใจกัน”

ศรีหลอดยอมรับว่าช่วงนั้นยังสนุกสนานเฮฮา จนได้เจอกับคำว่าหายกันจริงๆ ที่ไม่ใช่มุกตลกจากแฟนคนเก่า พอคบพลอย และเห็นความดีที่เธอทำไว้ ก็เริ่มฉุกคิดว่าควรยุติได้แล้ว ทุกวันนี้ทำอะไรภรรยารู้หมด สบายใจ ไปไหนมาไหนคอยบอกเสมอ

 

ผูกใจด้วยเสน่ห์ปลายจวัก

ฝีมือกับความจน คือเหตุผลที่เขาเลือกผู้หญิงคนนี้มาเป็นคู่ชีวิต

“เวลาผมไม่มีเงิน พลอยไม่ได้เอาเงินมาให้ เขาทำกับข้าวให้กิน เป็นน้ำพริกปลากระป๋อง ปลาทูทอด ชะอมดิบ ผักต่างๆ หาเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การทำอาหารให้แบบนี้ต่างหาก พลอยมีเงินของเขาเอง จะไปซื้อกับข้าวดีๆ มาเอาใจก็ได้ ผมเคยคบผู้หญิงคนหนึ่ง รวยมาก ใช้เงินกับทุกอย่าง จ้างซักผ้า ซื้ออาหาร แม้แต่ไข่เจียวไข่ดาวก็ซื้อ ถ้าวันหนึ่งเงินหมดล่ะ ทำอะไรไม่เป็นเลยนะ แต่พอมาเจอพลอย เงินมีแต่ทำกินเอง ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ซื้อในสิ่งที่ตัวเองทำได้ อย่างน้อยถ้าเราไม่มีเงิน เขาก็ยังมีฝีมือทำกับข้าวให้เราและพ่อแม่กิน อีกหน่อยพอมีทุนในการทำธุรกิจ ก็เปิดร้านขายข้าวแกง ทั้งหมดนี้ผมคิดระหว่างที่นั่งกิน รู้ว่าฝากผีฝากไข้ได้ละ เขาทำอร่อยด้วย น้ำพริกปลากระป๋อง คำแรกเข้าปากคือใช่ ผมกินข้าวสองจานเลยนะ”

พลอยเห็นพ้องเช่นกันในเรื่องอาหารการกิน

“พี่หลอดเป็นคนกินง่ายด้วย เราไม่ชอบคนกินยากอยู่ยาก เพราะเราเป็นคนบ้านนอก กินอะไรง่ายๆ แค่น้ำพริกปลากระป๋องกับปลาทูทอด เขาก็กินได้ ทุกวันนี้ยังบ่นว่าไม่ทำน้ำพริกปลากระป๋องให้กินเลย ช่วงที่พี่หลอดมาจีบ ก็มีอีกคนมาจีบเหมือนกัน เป็นคนรวยเลยละ แต่ถ้าเลือกคนนั้นก็ต้องเป็นเมียน้อยเขา เราไม่เอาดีกว่า พี่หลอดถึงไม่มีเงินแต่ดูแลเราได้ เขารักพ่อแม่ เป็นคนจริงใจ อะไรชอบไม่ชอบบอก ไม่ฟุ่มเฟือย ทำให้รู้ว่าถึงไม่มีเงินก็รักกันได้”

ศรีหลอดยังย้ำด้วยว่าทุกวันนี้ติดใจเสน่ห์ปลายจวักของภรรยาถึงกับถ้าออกไปทำงานต้องกินข้าวฝีมือภรรยาก่อน กลับมาก็ต้องได้กิน แค่ผัดกะเพราไข่ดาวก็พอใจแล้ว

“ต้องฝีมือเขา ไม่ก็ฝีมือแม่ มีแค่สองคนนี้ พอพลอยจดจำสูตรแม่ผมได้ ทุกวันนี้แม่ไม่ต้องทำแล้ว เพราะสูตรทุกอย่างของแม่อยู่ในตัวพลอยหมดแล้ว และรวมกับฝีมือเขาเอง ผมตายรังเลย (หัวเราะ)”

เล่นเอาเรากลืนน้ำลายตาม นึกอยากลองมีโอกาสได้ลิ้มชิมรสสักครั้ง

 

พลังใจเพื่อเด็กพิเศษ

บททดสอบใหม่เข้ามาอีกครั้งในชีวิตคู่ของทั้งสอง ครั้งนี้หนักหนาสาหัสจนเราอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าประสบกับตัวเอง เราจะฝ่าฟันอุปสรรคได้อย่างพวกเขาไหม เมื่อน้องเหมย (อณุภา พรามเย็น) ลูกสาวคนรองเป็นเด็กพิเศษตั้งแต่เกิด

“อยากบอกคุณพ่อคุณแม่ทุกคนที่เป็นเหมือนกันคือทำใจให้ได้ ไม่ต้องเครียด แรกๆ พวกเราก็ทำใจไม่ได้นะ คนเป็นพ่อแม่ตั้งความหวังอยู่แล้วว่าลูกต้องน่ารัก ต้องแบบนั้นแบบนี้ พอฟื้นขึ้นหลังจากคลอด พยาบาลเดินมาบอกว่าลูกไม่ปกติ เป็นเหมือนสายันต์ ตอนนั้นไม่รู้จักตลกที่เป็นเด็กพิเศษ เลยงง พี่หลอดเดินมาจับมือร้องไห้บอกรายละเอียด เรานอนน้ำตาไหล ทำไมต้องเป็นลูกเรา หมอยังไม่แน่ใจเป็นจริงไหม ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาลเด็กที่ราชวิถี และผนังหัวใจก็มีรูรั่ว ต้องเทียวไปเทียวมา เข้าออกโรงพยาบาลแทบทุกวัน ตื่นตีห้าไปรับบัตรคิว

“พอไปโรงพยาบาล ได้เจอเด็กทุกประเภท เริ่มทำใจว่าลูกเรายังดีที่ครบสามสิบสอง เด็กบางคนปกติแต่ไม่ครบ หน้าตาน่ารักแต่ไม่มีขา หรือปากแหว่ง แล้วลูกยังพูดโต้ตอบรู้เรื่องได้ ไม่ใช่เหม่อลอย ยังวิ่งเล่นได้ เราเลยมีกำลังใจ ฮึดสู้ เล่นกับเขา เปิดเพลงให้ฟัง เด็กพิเศษชอบฟังเพลง จะเต้นตาม อารมณ์ดี อย่าให้ดูทีวีเพราะจะมีอะไรหลายอย่างรบกวนเกินไป อย่าคิดว่าทำไมลูกเป็นแบบนี้ เขาเลือกมาเกิดกับเราแล้ว ยังไงเสียเขาก็เป็นลูกเรา ต้องเลี้ยงให้ดีที่สุด”

ศรีหลอดเองยอมรับว่าในช่วงแรงที่เจอเรื่องนี้ เขาก็ยังเป็นคนธรรมดาที่มีความรู้สึกอับอาย ไม่กล้าโพสต์ภาพน้องเหมยให้ใครเห็น หรือแม้แต่จะพาออกไปข้างนอก จนกระทั่งวันหนึ่ง คำปรามาสของคนคนหนึ่งได้ส่งผลกระทบต่อจิตใจของเขาอย่างรุนแรง

“ตอนน้องเหมยยังตัวเหลือง ต้องเข้าตู้อบ มีคนพูดกับผมว่า ‘ถ้าเขามีลูกมีหลานแบบนี้ไม่ปล่อยให้เกิดมาหรอก เกิดมาก็เป็นภาระสังคม ทำให้สังคมเดือดร้อน เพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้’ คำพูดนี้ทำให้ผมมุมานะและคิดในใจว่าสักวันหนึ่งจะทำให้เห็น และทุกคนจะยอมรับในตัวลูกเรา ถึงผมตายไป ลูกก็ช่วยเหลือตัวเองได้ จนน้องเหมยโตขึ้น แล้วเจอคนที่เคยพูดคำนั้น เขาก็ได้เห็นว่าน้องเหมยโตมาอย่างดี และไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนจะปล่อยลูกให้เป็นภาระสังคม

“อยากให้ทุกครอบครัวที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษ ตัดคำว่าอายออกไปจากชีวิตเลย ถ้าคุณอาย ให้อยู่แต่ในบ้าน ลูกจะไม่มีพัฒนาการแน่ๆ ตั้งใจเลี้ยงลูกให้เหมือนเด็กปกติ อย่าไปใส่ใจหรือสนใจสายตาคนรอบข้างที่มองลูกคุณ ถ้าสามารถเอาชนะสายตาทุกคู่ที่มองลูกคุณได้ คุณจะพาลูกไปได้ทั่วโลก บ้านเราเลี้ยงลูกเหมือนเด็กปกติ ทั้งการสอนและการพูดจา ตอนแรกผมอายที่ลูกเป็นแบบนี้ แต่ทุกวันนี้เขาเป็นส่วนหนึ่งของผมไปแล้ว สวรรค์ส่งน้องเหมยมาอยู่กับเราต้องขอบคุณทุกคนที่ช่วยดูแล ให้คำแนะนำเป็นอย่างดีแก่พวกเรา อยากเป็นกำลังใจให้แก่ทุกคนครับ”

อีกกรณีที่ศรีหลอดยกเป็นอุทาหรณ์สำหรับคุณพ่อคุณแม่ก็คือ ตอนที่น้องเหมยไปโรงเรียนสำหรับเด็กพิเศษ เมื่อกลับมาบ้านก็ทำท่าขาเป๋ให้ดู เป็นท่าที่จำมาจากเด็กพิการในโรงเรียน ตอนนั้นคุณพ่อรีบละลายพฤติกรรมลูกสาวทันที รู้ว่าต้องป้อนข้อมูลที่ดีให้จดจำแทน เพราะเขาแยกแยะไม่ออกว่าสิ่งไหนถูกต้อง เลยได้แต่เลียนแบบมาเท่านั้น

เราคิดว่าความไร้เดียงสามีอยู่ในเด็กทุกๆ คน เขาไม่รู้ถูกรู้ผิด เขาแค่สนใจอยากเรียนรู้ เพราะฉะนั้นหน้าที่หยิบยื่นสิ่งดีๆ จึงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่พึงใส่ใจให้มาก

 

เรื่องโกหกครั้งแรก

“ผมเคยแอบซ่อนเงิน เพื่อซื้อของขวัญให้พลอย ยอมทะเลาะกัน พ่อแม่ผมสอนมาตลอดว่าห้ามโกหก ผมไม่เคยโกหกเลยในชีวิต แต่เพื่อจะซื้อสร้อยให้เขาในวันเกิด เลยโกหกว่าเพื่อนยืมไปบ้าง หลอกล่อไปเรื่อย สะสมเงินจนครบ ถึงวันเกิดก็เอาสร้อยมาให้ แล้วบอกว่านี่เป็นการโกหกครั้งแรก อยากเซอร์ไพรส์ ที่ทำไปทั้งหมดคืออยากซื้อให้ (ยิ้ม)”

ศรีหลอดยังคงอารมณ์ดีทุกครั้งที่พูดถึงภรรยาด้วยน้ำเสียงระรื่น แม้บางช่วงสนทนาจะมีเสียงเครืออยู่บ้าง

“ผู้หญิงทุกคนแหละอยากแต่งเติมเสริมความสวย พลอยก็เหมือนกัน ผมจะบอกว่าไม่ต้องทำหรอก ชอบแบบธรรมชาติอย่างนี้ ผมรักที่พลอยเป็นตัวพลอย ผมให้ได้ทุกอย่าง ฟังเหมือนพระเอกที่ภรรยาจะโดนยิง ผมเอาร่างกายไปรับแทนได้ เพราะเขาดีกับผมมากๆ ผมให้เขาได้หมด ไม่รู้ว่าคนตีค่าความดีจากอะไร แต่พลอยมีหมด บางทีผมใจร้อน ขับรถเจอคนแซงบีบแตรหงุดหงิด พลอยจะจับมือแล้วบอกคิดถึงลูกไว้มากๆ ผมก็ได้สติ”

 

ครองคู่อย่างยั่งยืน

เราถามถึงเคล็ดการใช้ชีวิตคู่ให้คงทน เพื่อเป็นแนวทางแก่คนที่เพิ่งแต่งงานหรือกำลังเจอความหวั่นไหวทางใจ พลอยหัวเราะเสียงสดใส บอกไม่คิดเหมือนกันว่าจะอยู่กันมานานถึง15-16 ปีแล้ว

“อยากบอกทั้งผู้หญิงผู้ชายว่าต้องใจเย็นๆ ค่ะ มีปัญหาอะไรให้ใจเย็นไว้ก่อน ใจร้อนใส่กันเลิกรากันได้ รับฟังว่าปัญหาเกิดจากอะไร ทุกครอบครัวต้องมีปัญหาแน่ละ อยู่ที่เราจะใจเย็นหรือตอบโต้ ถ้าตอบโต้ก็มีปัญหาต่อ ทางที่ดีที่สุดต้องใจเย็น ฟังซึ่งกันและกัน ช่วยกันคิดว่าจะแก้ปัญหาตรงนี้ยังไง คอยปรึกษากัน ชีวิตคู่ต้องอยู่ด้วยความเข้าใจ ยิ่งถ้าสามีทำงานหาเงินคนเดียว เขาก็มีความเครียด เพราะงั้นภรรยาต้องใจเย็นๆ ที่สำคัญอย่ามีอีโก้ใส่กันเลยค่ะ ไม่งั้นเลิกราแน่นอน”

 

ความในใจที่อยากให้รู้

ถ้าวันนี้ได้เปิดอกพูดกัน อยากกล่าวความในใจอะไรแก่คู่ชีวิตบ้าง

พลอย: “อยากบอกว่ารักพี่หลอดมากค่ะ (ยิ้ม) ปกติเราไม่เคยพูดเลยนะ ไม่เคยบอกรักพี่เขาเลย (หัวเราะ) ห่วงเขามากนะ เพราะเขาชอบดื้อรั้น ทำงานตื่นแต่เช้ากลับดึก ห่วงเรื่องขับรถ เพราะขับเร็ว บางทีมีไลน์เข้ามาในมือถือ เขาจะอ่านตอนขับ กลัวจะเจออุบัติเหตุ เพราะเขาเป็นเสาหลักครอบครัว แล้วสุขภาพเดี๋ยวนี้ก็ไม่สบาย เรารักเขาจริงๆ ไม่อยากให้ไปไหน อยากให้อยู่ด้วยกันนานๆ อยู่บ้าๆ บอๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ (หัวเราะ) สร้างสีสันให้ลูกเมียมีรอยยิ้ม อยู่กับครอบครัวไปนานๆ ไม่อยากให้จากกัน”

ศรีหลอด: “อยากบอกว่ารักพลอยมาก อยากได้อะไรจะหามาให้ จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวดีขึ้น ในตอนนี้มีสิ่งหนึ่งที่พลอยอยากได้มาตลอด แต่ผมยังทำให้ไม่ได้ เขาอยากจัดงานแต่งงาน ผมยังไม่พร้อม เพราะไม่เข้าใจว่า การแต่งงานคืออะไร ทำไมต้องเอาเงินเป็นแสนมาละลายแค่วันเดียว การแต่งงานไม่ได้บ่งบอกว่าเรารักกัน หลายคู่จัดงานกันหลายล้านแล้วเลิกกัน พ่อพลอยเสียแล้ว แม่เขาเลยถามว่าเมื่อไรจะแต่ง ผมก็บอกไปตรงๆ ว่าไม่รู้ แต่ถ้าพลอยยังมีชีวิต ผมไม่มีวันเลิกกับพลอยแน่นอน จะดูแลเขาให้ดีที่สุดด้วย และดูแลทั้งสองครอบครัวให้ดีที่สุดเช่นกัน

 

     “ทุกวันนี้ผมทำเพื่อเขา ผมรู้ว่าถึงเอาสินสอดให้บ้านพลอย เขาก็คืนให้ผม แค่อยากทำให้ถูกต้องตามประเพณี ตามประสาคนบ้านนอก อยากให้ชัดเจน บางทีขับรถผ่านร้านชุดวิวาห์ พลอยแซวว่าชุดสวยเนอะ มันเจ็บจี๊ดๆ นะ คำว่า ‘รัก’ เราไม่ต้องพิสูจน์แล้ว เพราะเขารู้ว่าผมทำทุกอย่างเพราะรัก คิดว่าถึงวันหนึ่ง ผมจะเดินไปบอกพลอยว่าพร้อมแล้วนะ (น้ำตาคลอ) แต่งงานกันไหม”

— ศรีหลอด เชิญยิ้ม


บุกดินแดนแห่งฝัน บรุคไซด์ วัลเลย์ รีสอร์ต “แคมปิ้งคาร์ริมบึง”

เราออกเดินทางในเช้าวันหยุดจากกรุงเทพฯ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงเศษก็ถึงจังหวัดระยอง ที่มีสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตและหลากหลาย ทั้งทะเล ภูเขา น้ำตก แต่วันนี้เราพามายังสถานที่ยอดนิยมไม่แพ้ที่อื่นๆ คือ บรุคไซด์ วัลเลย์ รีสอร์ต” ดินแดนแห่งการผจญภัยที่โอบล้อมด้วยป่าไม้ ภูเขา และทะเลสาบ จุดหมายปลายทางสำหรับการพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้

     ภายในรีสอร์ตพื้นที่กว่า 500 ไร่ ถูกจัดสรรเป็นสัดส่วน เป็นที่พักและพื้นที่กิจกรรมผจญภัยอีก 9 โซนด้วยกัน เราเริ่มเดินจากแลนด์มาร์คจุดแรกขึ้นมาบนสะพานแขวนที่ทอดผ่านบึงน้ำ วิวทิวทัศน์ด้านบนคือกลุ่มบ้านพักหลายหลังที่เรียงรายอยู่ริมบึง บรรยากาศราวกับกำลังยืนอยู่ในเมืองริมทะเลสาบสักแห่งในยุโรป ตอนเราเดินไปมีแสงเฉียงพาดลงบนสะพานพอดี ว่าแล้วก็ไม่รอช้า รีบยกกล้องขึ้นมาชักภาพ เช็คอินเป็นที่ระลึกสักหน่อย

     เมื่อเดินข้ามสะพานมาอีกฝั่งหนึ่งก็เข้าสู่โซนสตรอว์เบอร์รี่ทาวน์ เมืองแห่งความสดใสขนาดใหญ่ที่สุดของรีสอร์ต ที่ออกแบบอย่างน่ารักคล้ายกับกำลังยืนอยู่ในประเทศเนเธอร์แลนด์เลยทีเดียว ทางเดินตรงกลางขนาบด้วยอาคารสีพาสเทล รูปทรงสไตล์ฮอลแลนด์เรียงรายสุดสายตา ภายในอาคารแต่ละหลังตกแต่งเป็นคาเฟ่ ร้านอาหาร และร้านค้า ชวนให้เดินแวะเข้าร้านนั้นออกร้านนี้ แถมยังสามารถเปลี่ยนชุดเป็นชาวดัตช์ เดินถ่ายรูปตามจุดเก๋ๆ ที่ทางรีสอร์ตจัดเตรียมไว้ได้ด้วย เมื่อเดินทะลุออกมาเราพบลานกว้าง ด้านหนึ่งเป็นหมู่บ้านเนเธอร์แลนด์หลากสีสัน อีกด้านเป็นสวนดอกไม้สีสดที่ถูกจัดวางลดหลั่นไปตามเนินเขา เป็นจุดพักผ่อนชมวิวแบบพาโนราม่าได้ไม่รู้เบื่อ เราสองคนนั่งเล่นเพลิดเพลินกับบรรยากาศจนพระอาทิตย์ส่งสัญญาณเตรียมลาลับขอบฟ้า จำต้องเข้าที่พักเพื่อพักผ่อน

     ที่พักของเราเป็นรถบ้านหรือแคมปิ้งคาร์ริมบึง เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเหมือนกับห้องพักในโรงแรมทั่วไป สามารถพักได้ 4 คน มีเตียงสำหรับ 1 คน 2 เตียง และเตียงสำหรับ 2 คน อีก 1 เตียง อีกไฮไลต์ในช่วงเย็นที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง คือกิจกรรมรอบเตาบาร์บีคิว ที่มีอาหารให้เลือกเป็นเซตตามความชื่นชอบของแต่ละคน เราทยอยสั่งบรรดาบาร์บีคิวมาปิ้งบนเตาทีละไม้ ระหว่างนั้นก็มีเสียงแซวที่ค่อยๆ ดังขึ้น เพราะลุ้นว่าบาร์บีคิวจะดิบหรือไหม้ นับเป็นความสนุกสนานอีกอย่างหนึ่ง แต่ไม่ต้องกังวลเพราะที่นี่มีพนักงานคอยให้บริการ ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องฟืนไฟ เสร็จสรรพจากปาร์ตี้บาร์บีคิว หนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อน แสดงว่าถึงเวลาที่ร่างกายต้องพักผ่อนจริงๆ แล้ว ขอบอกว่าภายในรถบ้านนอนสบายมากๆ แทบไม่รู้สึกเลยว่านอนอยู่บนรถบ้าน เพราะเตียงแสนนุ่มกับผ้าห่มอบอุ่นเหมือนนอนอยู่ในโรงเเรมเลยทีเดียว

     เช้าวันใหม่ที่อากาศช่างสดใส เรารีบแหวกม่านชมบรรยากาศริมบึงยามเช้า พระอาทิตย์ทอแสงแดดอ่อนๆ ทักทาย หมอกจางๆ ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ มีฝูงห่านสีขาวนวลเล่นน้ำเหมือนกำลังเริงระบำอยู่บนเวทีให้เราได้ชม หลังจากอิ่มหนำสำราญกับมื้อเช้า เตรียมตัวออกผจญภัยกับกิจกรรมแอดเวนเจอร์ที่มีหลายโซน ไม่ว่าจะเป็นปีนหน้าผาจำลอง โหนสลิงข้ามทะเลสาบ ปั่นจักรยานน้ำ ฯลฯ

     เราเดินไปยังโซนอเมซอนเทรล ที่ระหว่างทางได้ยินเสียงน้ำไหลจากลำธาร สองข้างทางมีต้นไม้สูงเขียวครึ้ม ลัดเลาะไปตามลำธารราวกับเข้าไปในป่าจริงๆ หันไปเจอฝูงแกะในโซนอังเคิลแซมฟาร์ม ทันใดนั้นเหมือนมีแรงดึงดูดที่เรียกว่าความน่ารักชวนเราให้แวะจุดนี้ก่อน เจ้าแกะสีขาวพากันยืนทำตาละห้อย ส่งเสียงออดอ้อนให้เดินเข้าไปหา และบรรดาแกะก็เดินเข้ามารับอาหารจากมือของเรา หลังจากตกหลุมรักฝูงแกะจนไปไหนไม่รอด กว่าจะรู้ตัวพระอาทิตย์ก็สาดแสงร้อนแรงเกินกว่าจะไปเล่นกิจกรรมกลางแจ้งเสียแล้ว เราจึงเดินกลับมานั่งชิลล์กันที่รถบ้าน ก่อนเก็บสัมภาระแล้วขับรถกลับกรุงเทพฯ ในช่วงบ่ายของวัน

 

     สองวันหนึ่งคืนที่มาพักผ่อนที่นี่ ภายในใจนั้นรับรู้ได้ว่าการเดินทางครั้งนี้ไม่ใช่แค่การได้มานอนเล่นในรีสอร์ตสวยๆ แต่เราได้ทำอะไรแปลกใหม่ ทดลองเป็นนักผจญภัยที่ไม่ต้องกำหนดแบบแผนมากนัก นับเป็นความสุขที่ได้รับจากการเดินทางท่องเที่ยว เก็บเกี่ยวประสบการณ์ และสร้างความทรงจำในสถานที่ที่ชอบกับคนที่ใช่จริงๆ.

 

HUG MAGAZINE

คอลัมน์ ‘พาหัวใจไปเที่ยว’

โดย น้องฟาง


เพราะ 'รัก' ต้อง 'ชัดเจน'

คุณเคยรู้สึกเหนื่อยมั้ย กับความรักที่ดูคลุมเครือ กับความรู้สึกที่ต้องคาดเดาเอาเอง ไม่รู้ว่ารักจะตรงกับที่เราคาดคิดไว้หรือเปล่า.

ไม่ว่าจะเป็นความรักแบบไหน ความชัดเจนย่อมสำคัญเสมอ รู้สึกให้ชัดเจน ดูแลกันให้ชัดเจน รักก็บอกว่ารัก ไม่รักก็ไม่เห็นต้องกั๊ก เพราะความชัดเจนจะช่วยให้ความรักเติบโตได้อย่างสดใส

แล้วหากต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ชัดเจนล่ะ จะทำอย่างไรดี.

ใจเย็นๆ ค่ะ ไม่ต้องกลุ้มใจไป มาดูวิธีจัดการกับความคลุมเครือที่ ฮัก นำมาฝากกันดีกว่า เอาให้รู้ชัดๆ กันไปเลย

  1. รักเขามั้ย?

หากอยากให้คนอื่นชัดเจน เราก็ต้องชัดเจนก่อนค่ะ ถามใจตัวเองให้แน่ชัดว่า เรารู้สึกอย่างไรกับเขา ใช่ความรักหรือไม่ หรือแค่คบกันแก้เหงา ถ้าใจตอบว่า คนนี้แหละใช่ ต้องคบคนนี้ ปล่อยผ่านไม่ได้ ก็เดินต่อไปที่สเต็ปสองเลยค่ะ.

  1. เริ่มเปิดประเด็น

ในเมื่อมันไม่ชัดเจน ก็ต้องทำให้มันชัดเจน จริงมั้ย? เมื่อเขาไม่พูด เราก็ถามไปเลยว่ารู้สึกอย่างไร พ.ศ. นี้ไม่ต้องเหนียมอายกันแล้ว ถ้ามัวแต่คิดเองเออเอง เดี๋ยวเกิดคิดผิด เดาผิด เสียเวลา เสียความรู้สึกไปฟรีๆ ท่องไว้ค่ะว่า เวลาเป็นสิ่งมีค่า อย่าเสียค่าโง่กับสิ่งที่ไม่คุ้มไม่คู่ควร แต่ก่อนจะลุยเปิดประเด็น แนะนำให้ค่อยพูดค่อยจากัน อย่าแรง อย่าใช้อารมณ์ เพราะการพูดคือศิลปะอย่างหนึ่ง หากเราพูดดี บรรยากาศในการสนทนาย่อมไม่ตึงเครียด แม้ผลลัพธ์อาจไม่เป็นดั่งใจ เราก็ยังมีความทรงจำดีๆ เก็บไว้ให้ได้นึกถึง.

  1. เล่นใหญ่ใจต้องนิ่ง

หากเปิดอกพูดคุยกันแล้ว เขายังคงเลี่ยง ไม่ระบุสถานะให้ชัดเจน คุณอย่าเพิ่งหัวร้อนกับสถานการณ์นี้ เพราะเขาอาจยังต้องการเวลา เพื่อหาคำตอบให้แก่หัวใจตัวเองก็เป็นได้ ฉะนั้น อย่ากดดันเขา ต้องให้เวลาเขาค่ะ เมื่อเขารับรู้ว่าเราต้องการเคลียร์ความรู้สึกที่มีต่อเขาแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็ให้เวลาเขากลับไปทบทวนความรู้สึกของตัวเอง และคุณต้องใจแข็ง แนะนำให้เว้นระยะห่างระหว่างกันไว้ เป็นการช่วยกระตุ้นให้เขารู้ใจตัวเองได้เร็วขึ้น.

  1. ไม่ใช่ก็ไม่รั้ง

ถ้าคำตอบไม่เป็นดังที่หวัง ก็อย่ารั้งตัวเองไว้ ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์เกิดความคลุมเครือ คือการหลอกตัวเองว่ายังรักกันอยู่ หากถามเขาแล้ว แต่คำตอบคือไม่ได้คิดอะไรกับเรา อย่าดึงดันให้ความสัมพันธ์ดำเนินต่อไปอีกเลย เพราะถึงอย่างไร คำตอบของเขาย่อมเปลี่ยนได้ยาก แม้คุณจะคิดปลอบใจตัวเองว่า เวลาอาจทำให้เขาเปลี่ยนใจ แต่หากวันใด เขาดันไปเจอคนที่เขารักเข้าจริงๆ เราจะเจ็บหนักเอาได้นะคะ ตัดใจซะตั้งแต่ตอนนี้ ดีกว่าเจ็บซ้ำซากให้จิตตกเล่นๆ ค่ะ.