ชายผู้เป็นยอดนักก็อปปี้โชว์ของไทย เจ้าของเสียงและลีลามากมายจนได้อีกฉายาว่า ‘พันหน้าพันเสียง’ ไมเคิ่น ตั๋ง หรือ คุณตั๋งตั๋ง นิจรันธ์ วันนี้เขายอมวางบทบาทนักก็อปปี้โชว์ เพื่อเผยตัวตนแท้จริงให้ได้รู้จัก ว่าถึงเขาจะเป็นยอดนักลอกเลียนแบบ แต่ความรักของเขาไม่สามารถทำซ้ำได้ เพราะมันมีเพียงแค่หัวใจดวงเดียวเท่านั้นที่ขอมอบให้แก่คนคนเดียว คือคุณเอ๊ะ ปุณณภา นิจรันธ์ ผู้หญิงที่เป็นพลังใจสำคัญจนไมเคิ่น ตั๋ง สามารถโลดแล่นบนเวทีแสงสีเสียงแห่งนี้มาเนิ่นนานถึงสิบแปดปี

 

ศรสองดอกจากกามเทพ

   คุณเอ๊ะเริ่มเท้าความถึงวันแรกที่เจอกัน เป็นวันทำงานที่บริษัทโปรมีเดียมาร์ทตามปกติ ได้พบคุณตั๋งที่ขับรถตามมาจอดทางด้านหลัง เพื่อมาทำอัลบั้มเดอะตู้&เดอะตั๋ง คู่กับคุณตู้ (ดิเรก อมาตยกุล) ครั้งนั้นคุณเอ๊ะยอมรับว่ารู้สึกชอบตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ ยิ่งต้องทำงานสัมภาษณ์พูดคุย ก็ยิ่งรู้จักยอดนักก็อปปี้คนนี้มากขึ้น แต่หารู้ไม่ว่ากามเทพแผลงศรถึงสองดอกในเวลาเดียวกัน เพราะคุณตั๋งก็แอบปิ๊งสาวที่เดินนำหน้ารถโดยไม่ทันได้เห็นหน้าค่าตาเช่นกัน

     “กำลังขับรถไปจอด ก็เห็นเขาเดินอยู่ตรงหน้า บั้นท้ายดุ๊กดิ๊กไปมา ผมชอบมองไง ก็นึกว่าผู้หญิงคนนี้ใครวะ จนไปเจอกันในบริษัท พอเจอหน้า อ้าว! หน้าสวยด้วย สะโพกสวยด้วย คือปิ๊งบั้นท้ายแล้วหน้ายังได้รูปอีก (หัวเราะ) เลยจีบมาตลอด ทำเทปต้องส่งงานเข้าห้องอัด มีคุยงานกันก็แฝงการจีบไปเรื่อยๆ ผมไม่มีโปรนะ คุยกันตรงไปตรงมา”

     คำครหาสารพัดจากคนรอบข้างที่ว่าศิลปินเจ้าชู้ จีบเพื่อแค่ความสนุก แถมยังกินเหล้าสูบบุหรี่ มีแต่สร้างปัญหา สิ่งเหล่านั้นกลับไม่ปรากฎในตัวคุณตั๋งเลยสักนิด

     “เราเจอศิลปินนักดนตรีมาเยอะ แต่ไม่มีใครเหมือนพี่ตั๋ง พี่ตั๋งเป็นคนละเอียด เจ้าระเบียบ พูดคำไหนคำนั้น พูดจริงทำจริง ไม่เคยมาสาย ตรงต่อเวลามาก พี่ตั๋งเป็นคนไม่พูดเอาใจ หรือทำดีแค่ต่อหน้าเราเท่านั้น แต่อยู่ที่ไหนก็เป็นแบบนี้ แสดงท่าทีต่อทุกคนเหมือนกัน นอบน้อมถ่อมตน ความรู้สึกดีๆ เลยเพิ่มขึ้น ยิ่งอยู่ก็ยิ่งผูกพัน”

     “จนวันหนึ่ง เอ๊ะพูดกับผมว่าเสียดายที่เจอกันช้าไป คำนี้ทำเอาผมน้ำตาซึม ภูมิใจกับการทำดีมาทั้งชีวิต แล้วมีคนที่เรารักเห็น เราเลยอยากทำต่อไปอีก และไม่อยากให้เขาผิดหวังกับคำพูดนี้ เป็นคนบ้ายอ (หัวเราะ) ที่จริง มันยังไม่ช้าสำหรับการเริ่มต้นใหม่ บางคนเรียนจนจบรับปริญญาตอนเจ็ดสิบก็มี ถือว่าเป็นกำไรแล้ว”

     แต่กว่าจะได้ลิ้มรสความสุขในวันนี้ เส้นทางพิสูจน์รักของทั้งคู่กลับเริ่มต้นขึ้นในวัยที่อายุมากแล้ว ถึงกระนั้นก็ยังคบหากันอยู่ถึงหกเจ็ดปีก่อนจะตกลงร่วมหอลงโรง เพราะคุณตั๋งอยากทดสอบผู้หญิงคนนี้ว่าใช่คนที่เขาควรอยู่ร่วมหัวจมท้ายกันจริงหรือไม่

     “เหมือนทดสอบเขาด้วย ผมไปหาเป็นระยะ ห่างสุด อาทิตย์ละครั้ง ออกค่าน้ำค่าไฟค่าที่พักให้ เหมือนเมียเก็บ (หัวเราะ) แล้วเอ๊ะไม่ทักท้วง ไม่มีเหน็บแหนมถากถาง ไม่เคยเรียกร้อง ไม่เคยขออะไรสักอย่าง เลยชนะใจผมเต็มตัว ตัดสินใจเอาพจมานคนนี้เข้าบ้านทรายทอง ก็ยังจ่ายเป็นเงินเดือนให้เขาจนถึงทุกวันนี้ กินฟรี อยู่บ้านหลวง เงินได้มาก็เก็บไว้เองร้อยเปอร์เซ็นต์ (หัวเราะทั้งคู่)”

     เราเชื่อเสมอว่าการเลือกคู่ครองต้องเลือกคนที่ช่วยให้ชีวิตดีขึ้น คู่นี้ก็เช่นกัน ก่อนพบรักกัน คุณเอ๊ะมีหนี้สินหลักแสนด้วยความใจดีที่มักช่วยเหลือคนอื่น จนได้คุณตั๋งเป็นคนช่วยสอนการบริหารเงิน จึงมีเงินเก็บมากขึ้น  

     “ผมแนะนำเรื่องการบริหาร ลดค่าใช้จ่าย เพิ่มเงินเดือน เพื่อไปปลดหนี้ จนตอนนี้เขาไม่มีหนี้แล้ว มีเงินเก็บมากกว่าผมอีก (พี่เอ๊ะหัวเราะ)”

     “เมื่อก่อนไม่เคยมีเงินเก็บเลยนะ เราเป็นพนักงานบริษัท รับเงินเดือนมาก็ใช้หมดไป คิดว่าสบาย ไม่เดือดร้อน จนมาอยู่กับพี่ตั๋ง ความรู้สึกที่ได้มีเงินเก็บเป็นแสนเป็นล้าน มันเป็นอย่างนี้นี่เอง เราเลยอยากเก็บเงิน อย่างน้อยเวลาเอาไปใช้จ่ายให้พ่อแม่ยังสะดวก ไม่ใช่ต้องมาแบมือขอเงินสามี”

 

หนึ่งในล้าน

     “ผมเป็นคนกลัวแป้งทุกชนิด”

     ถ้อยคำของคุณตั๋งผู้คร่ำหวอดกับแสงสีเสียง ทำให้เราแปลกใจไม่น้อย คุณตั๋งยอมรับว่าถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่แต่งหน้า ช่วงที่ยังทนไหวก็กลั้นหายใจให้ช่างเติมแป้ง และดีที่ไม่มีกลิ่น ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกแขยงอยู่ตลอดเวลา ในใจจึงใฝ่หาหญิงสักคนที่จะใช่สำหรับเขาในเรื่องนี้

     “เอ๊ะไม่มีสิ่งเหล่านี้เลย เอ๊ะเป็นคนไม่แต่งหน้า ไม่ทาเล็บ ไม่ไดร์ผม แล้วผมก็หาผู้หญิงแบบนี้มาทั้งชีวิต (ยิ้ม) พอมาอยู่ด้วยกัน เขากินข้าวตามผมได้ทุกอย่าง หนูนาทอด กบ งู พาไปที่ไหนให้ทำอะไรก็ได้ ไม่ดัดจริต เอ๊ะชอบดูการ์ตูน ดูหนัง ดูอะไรตลกๆ ให้หัวเราะ ต่างกับผมที่ชอบดูข่าว ดูรายการความรู้พวกสมุนไพรรักษา แต่เราก็ไม่ขัดแย้งกัน เลยอยู่ร่วมกันมาได้ถึงสิบแปดปี”

     ส่วนคุณเอ๊ะเองก็ค้นหาชายที่ไม่เกลือกกลั้วกับอบายมุข บากบั่นทำมาหากิน จนมากับคุณตั๋งผู้ที่แม้อยู่ในแวดวงมายาที่มีแต่เครื่องล่อใจให้มัวเมา ก็สามารถผ่านพ้นมาได้ คุณตั๋งยังเล่าอีกว่าถึงตัวเขาเป็นคนไม่ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ แต่ก็เคยออกไปเที่ยวนอกบ้านกับกลุ่มเพื่อนนักดนตรีในสมัยก่อน เพื่อหามุกตลกมาเล่นให้ทันกระแสสังคม

     “ผมเรียนมาน้อย จบแค่ป.เจ็ด ดังนั้นประสบการณ์ของผมจึงเกิดจากการพูดคุยและเรียนรู้จากคนรอบข้าง เพื่อนำมาเป็นความรู้ต่อยอด”

     เพราะความช่างสังเกตนี้เอง เขาจึงกลายมาเป็นยอดนักก็อปปี้โชว์ของไทยในปัจจุบัน

 

 

ร่วมกันฟันฝ่าพายุอารมณ์

     ถึงภายนอกหลายคนจะเห็นว่าไมเคิ่นตั๋งเวลาโมโหดูดุ เสียงดัง แต่เมื่ออยู่กับภรรยาที่บ้าน คุณตั๋งยอมรับว่าเขาเป็นคนขี้ใจน้อย เมื่อโกรธแล้วก็อยากให้ภรรยามาง้อเอาใจ สาเหตุที่ใจน้อยก็ไม่ใช่อื่นใด เพราะความรักและหวังดีที่มีต่อภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากคนนี้

     “ผมจะโมโหถ้าเขาไม่จำสิ่งที่ผมเคยพูดไป ผมอยากให้คนอื่นชมว่าเมียผมทำงานเก่ง มีฝีมือจัง อยากให้เก่งสักสิบเรื่อง ทุกวันก่อนไปทำงานผมจะหอมแก้มเขาเสมอ จะคอยบอกว่าเอ๊ะต้องเก่งนะ ต้องฉลาดนะ เพราะเอ๊ะเป็นคนซื่อ มองโลกสวย ไม่ระแวงใคร และไม่ระวัง เดี๋ยวล้ม ชนนั่นนี่ เนื้อตัวมีแผลบ่อยๆ สงสารเขา และเอ๊ะมีความดีเป็นทุนอยู่แล้ว เป็นคนดีมาก ผมพยายามฝืนกฎธรรมชาติ อยากทำคนดีให้เป็นคนเก่ง แต่สิบแปดปีแล้วยังทำไม่ได้ (หัวเราะ) ถึงจะมีเปลี่ยนบ้างก็เถอะ”

     “จะเป็นฝ่ายเงียบ ไม่พูดเพราะมันจะแรงทั้งคู่ แยกย้ายไปคนละจุด รอให้ใจเย็นลงก่อนแล้วค่อยมาคุยกัน ถ้ารู้ว่าพี่ตั๋งงอน เรายกมือไหว้ขอโทษนะ รู้ว่าเขาหวังดีกับเรา”

     “ผู้หญิงจะละเอียดอ่อน คิดเยอะ จ้ำจี้จ้ำไช เอ๊ะไม่มีเลย บางทีก็อยากให้มี เช่น พี่ตั๋งนั่งแบบนี้ไม่ได้นะ เอาหมอนมารองสิ เดี๋ยวจะเมื่อย อยากให้เขาจู้จี้จุกจิก แต่คนจู้จี้จุกจิกกลายเป็นผมเอง เขาเลยสบาย (หัวเราะทั้งคู่) เหมือนมีเมียแล้วแถมลูกด้วย คำว่า ‘คนกลัวเมีย’ เป็นยังไงวะ อยากลองดูบ้าง (หัวเราะ) มาตอนนี้เข้าใจละ กลัวความดีเขานี่เอง พักหลังเลยยอมบ้าง จะคิดบวกลบ เอ๊ะมีดีแปด มีเสียแค่สอง ยังกำไรอีกหกนะ การเลิกกันมันง่าย ถามตัวเองว่าแล้วเราจะไปหาผู้หญิงแบบเขาได้ที่ไหน ยอมเพื่อไปด้วยกันดีกว่า ถ้าลดความต้องการของตัวเอง ก็จับมือไปด้วยกันได้”

     “พี่ตั๋งเป็นคนซีเรียสจริงจัง ผิดพลาดไม่ได้ บางครั้งมีปัญหากันเพราะเราทำงานพลาด ปกติเราคอยจัดการเรื่องเพลง ลงเสียง ตัดต่อต่างๆ หัดลองทำตั้งแต่ศูนย์ พี่ตั๋งก็คอยบอก ‘ศึกษาไปเถอะ งานที่ผ่านมาก็ใช้คอมฯ มาตลอด งานพี่ก็ใช้คอมฯ เหมือนกัน เอ๊ะทำได้ เชื่อพี่สิ’ เคยมีคิดในใจนะเวลาพี่ตั๋งต่อว่า ว่าฉันไม่ไหวแล้ว คงต้องถอย แต่ก็คิดต่อว่า ด้วยความดีที่พี่ตั๋งมีละ ลองนับแล้วมีเยอะมาก เขาอาจผิดที่อารมณ์ร้อน เวลางานจะปากร้ายปากไว แต่ก็มีแค่นั้น ต้องพัฒนาแก้ไขที่เราสิ งานไหนที่ไม่เข้าใจก็พยายามศึกษาให้เขาภูมิใจ เชื่อมั่นในตัวเขา ทำให้ดีที่สุด เมื่อสิ่งที่พี่ตั๋งผิด นับได้แค่หนึ่งไม่เกินสอง นอกนั้นมันมีแต่สิ่งดีๆ จะมาเทียบกันได้อย่างไร คิดแบบนั้นชีวิตคู่จะได้ราบรื่นต่อไป”

     คุณตั๋งยอมรับว่าเวลาเขาโกรธจะเหมือนระเบิดนิวเคลียร์ที่ตูมตาม ด้วยนิสัยจริงจังนี้เองจึงได้กดดันตัวเองโดยไม่รู้ตัว และก็มีภรรยาคนนี้แหละที่ช่วยเอาน้ำเย็นเข้าลูบ

     “ถ้าผมทำอะไรผิดพลาด ที่เรียกว่าตายน้ำตื้น เช่นเปิดน้ำแล้วลืมปิด หาของไม่เจอ จะโมโหตัวเองถึงขั้นยิงตัวเองตายได้ แกเป็นมีคนระเบียบขนาดนี้ มาผิดพลาดเรื่องง่ายๆ ได้ไง ด่าตัวเองหนักมาก แต่เอ๊ะจะคอยปลอบใจผมตลอดว่าไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป”

     จุดหนึ่งที่เราสังเกตได้จากคู่นี้ คือมีหลักคิดที่เหมือนกัน การมองหาข้อดีของอีกฝ่าย เมื่อข้อเสียมีแค่หนึ่งหรือสอง แต่ข้อดีกลับมีมากมาย เพราะฉะนั้นจะถือสาหาความให้หนักไปทำไม

     อีกหลักใหญ่ที่เหมือนกัน คือทั้งสองเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น ดังนั้นจึงไม่มีเหตุการณ์ที่เรียกว่า ‘น้ำผึ้งหยดเดียว’ เกิดขึ้นแน่นอน

     “คนเราแปลกนะที่ตอนลำบากอยู่กันได้ แต่ตอนสบายดันอยู่กันไม่ได้ ตอนแรกมาอยู่ด้วยกันเราสองคนลำบากมาก กว่าจะเก็บเงินซื้อรถสักคัน ต่อสู้กันมาเยอะ พอสบายมีทุกอย่าง มีชื่อเสียง มีเงินเก็บ กลับทนไม่ได้งั้นหรือ แค่คำพูดขัดหูก็อยู่ไม่ได้หรือ แต่ผมกับเอ๊ะตรงกันในเรื่องคำพูด ถ้าไปคือไป ไม่ต้องง้อ จบคือจบ แต่กว่าจะพูดคำนี้ได้มันยากมาก ไม่มีทางได้ยินแน่”

 

ความรักที่ไม่มีวันก็อปปี้ได้

     สำหรับยอดนักก็อปปี้ สิ่งหนึ่งที่ไม่มีวันส่งต่อให้แก่ใครได้คือความรัก แล้วเขาก็เปิดอกเล่าความจริงต่อหน้าเราว่า เขาเคยรักผู้หญิงคนหนึ่งหัวปักหัวปำมาก่อนเจอคุณเอ๊ะ แล้วใช้เวลาอยู่สิบปีถึงจะถอนรักสลักใจและถ่ายโอนให้คนที่คู่ควรได้สำเร็จ

   “ผมบอกเอ๊ะตรงๆ ว่าผมรักผู้หญิงคนนี้มาก เป็นผู้หญิงฉลาด สวย เก่ง แต่ถ้าจะคบกับเขาต้องจ่ายเดือนละสามหมื่น เมื่อไรที่ไม่มีเงินจ่าย ความรักก็เป็นศูนย์หรือเปล่า แต่ผมก็รักเขามาก ไม่เคยเรียกคนไหนว่าเมียนอกจากคนนี้ เอ๊ะไม่ใช่นางอิจฉา เป็นนางเอก ไม่ร้องขอ ไม่ทวงคำว่า ‘รัก’ จากผม เขาต่อสู้เป็นสิบปี จนผมเอาความรักกลับมาให้เอ๊ะได้ คำว่า ‘รัก’ ‘เมียจ๋า’ ผมให้เอ๊ะทั้งหมดแล้ว ไม่เคยรู้สึกถึงคนคนนั้นอีกเลย ผมจะพูดเพื่อหลอกให้เอ๊ะรักและอยู่กับผมต่อไปก็ได้ แต่ไม่ใช่เลย เอ๊ะรู้ว่าผมเป็นคนพูดจริงทำจริง และคำที่เอ๊ะพูดกับผมว่าเสียดายจัง ที่เจอกันช้าไป มันมีความหมายมากเลยนะ เราสองคนร้องไห้กอดกัน ในวันที่ผมมอบคำและความรู้สึกนี้แก่เขา เมื่อให้แล้วคือให้ทั้งชีวิต ไม่มีทางเอาคืน เพราะผมลั่นปากไปแล้ว”

 

 

ถึงทุกคนที่กำลังพบปัญหา

     เราขอแง่คิดถึงทุกคนที่กำลังใช้ชีวิตคู่ ในยุคที่การเลิกราอาจมาไวกว่าตอนจีบกัน คุณตั๋งออกตัวก่อนว่าแต่ละคนล้วนมีปัญหาไม่เหมือนกัน เขาได้แค่เล่าเรื่องจากมุมของตัวเองเท่านั้น

     “ช่วงหนึ่งของชีวิตผมเคยเป็นผู้ชายเจ้าชู้ เคยถูกเรียกว่าพวกล่าแต้ม แต่มาอยู่กับเอ๊ะ ผมไม่เคยไปยุ่งกับใครอีกเลย ถามว่าหยุดที่เขาได้อย่างไร มันแค่เพราะคำสองคำ ความดี คนดี เอ๊ะดี ครับ มันหยุดทุกอย่างได้ ทั้งที่เอ๊ะเปิดช่องให้ บอกว่าไปยุ่งกับใครก็ได้แต่อย่าเลี้ยงดู ผมยังไม่ใช้สิทธิ์นั้นเลย ทุกสิ่งที่ทำมาทั้งชีวิตจะพังหมด เพราะความสนุกแค่ครึ่งชั่วโมงงั้นเหรอ มันไม่คุ้มเลย เรามีอาหารอร่อยแล้ว จะไปหาของกินที่ไม่อร่อยอีกทำไม กินเปรี้ยวกินเผ็ดให้แสบท้องแสบก้นเปล่าๆ (หัวเราะ)”

     “เราเลือกพี่ตั๋งแล้ว และเลือกไม่ผิดคน ต้องไว้ใจเขาทุกอย่างทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรก็ไม่ถอดใจ จะสู้ไปด้วยกัน เดินเคียงคู่กันจนแก่เฒ่า ในวันเกิดหรือวันปีใหม่ นอกจากคำอวยพรที่ให้ เราจะกล่าวอโหสิกรรมแก่กันเสมอ”

     “วันครูด้วย เราสองคนเหมือนครูของกันและกัน ก็ไหว้และอโหสิกรรมแก่กัน เท่ากับปีหนึ่งทำสามครั้ง ลบความรู้สึกไม่ดีทิ้ง ก็ไม่มีอะไรคาใจกันอีก บนเวทีผมคือไมเคิ่น ตั๋ง แต่อยู่บ้านผมคือเบ๊ของเอ๊ะ คอยดูแลเขา เพราะเขาก็ช่วยทำงานให้ผม ผมกวาดถูบ้าน ปอกผลไม้ แกะก้างปลา ดูแลให้ทุกอย่าง ถ้าคุณเอาใจเขา เขาก็เอาใจคุณ ถ้าไปข่มเหงเขา เขาก็คิดจะข่มเหงคุณกลับเช่นกัน”

 

วันสุดท้ายอยู่ในทุกๆ วัน

     พอเราลองถามถึงถ้อยคำที่อยากฝากถึงกันในวันสุดท้าย ทั้งสองต่างพูดพร้อมกันทันทีว่าไม่มี แล้วหัวเราะเสียงดังกังวาน

     “เราลาตายกันทุกวันอยู่แล้ว ผมบริจาคร่างกายมาสิบแปดปี เท่ากับผมกำไรมาสิบแปดปีแล้ว ผมคุยกับเอ๊ะไว้ว่าถ้าผ่าตัดแล้วกลับมา 60-70% ผมยังยอมได้ แต่ถ้าต้องเจาะคอสอดท่อ ต้องมานอนเป็นแผลกดทับ ไม่ทำนะ ปล่อยให้ตายไปเลยดีกว่า ถ้ารักษาแล้วผมยังกลับมาจับมือจูงเขาไปเดินท้ายตลาด ข้ามถนน แวะ7-11 ได้อยู่ ผมก็โอเค เราเลยไม่มีอะไรต้องสั่งเสียกัน ผมพูดตลอดว่าคนเราเกิดแก่เจ็บตายเป็นเรื่องธรรมดา”

     “เรื่องนี้คิดตรงกัน เห็นด้วยกับพี่ตั๋ง และเรารักกันทุกวันอยู่แล้ว”

     “เราพร้อมที่จะตาย มันแปลกนะ ที่หาคนแบบนี้ได้ และผมหาจนเจอแล้ว ปีนี้ผม59 เอ๊ะ55 เดินไปไหนจับมือกันตลอด กอดหอมกันทุกวัน โดนแซวตลอดว่าจับมือแบบนี้กลัวเมียหายเหรอ (หัวเราะทั้งคู่) ถ่ายรูปกันผมขโมยหอมแก้มเขาตลอด เมียเราแก้มหอม ไม่มีแป้งรองพื้นมาบดบังหน้า หอมกลิ่นแก้มผู้หญิงของคนที่เรารักจริงๆ ที่ผมทำเพราะอยากทำ เรารักเขา อย่าทำเพราะคนอื่นบอกให้ทำ หรือทำเพราะทำตามใคร”

      “กี่ปีผ่านไปก็ยังรักกันแบบนี้เหมือนเดิม คนอื่นเห็นก็ยิ้มให้เรานะ ไม่ได้โชว์ใคร ทำด้วยใจที่อยากทำ เต็มใจ ไม่เขินอาย เป็นรักที่จริงใจ จะไม่มาเขิน หรือบอกพี่ตั๋งว่าจับมือไม่ได้เดี๋ยวคนเห็น ยิ่งเห็นยิ่งดี”

     “ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกว่าคู่ที่บ้านคล้ายกันกับพวกผม ก็มาเจอกันได้ ประกาศรับสมัครเพื่อนเคมีเดียวกัน (หัวเราะ)”

     ทั้งสองหัวเราะเสียงสดใสไม่หยุด เราต้องพลอยหัวเราะตามเมื่อหวนคำนึงถึงความรักของคนคู่นี้ว่า เป็นความรักที่ข้ามกำแพงความคิด ข้ามทัศนคติของวัย ข้ามหลากหลายสิ่งอย่าง และสำคัญสุดคือ ลอกเลียนแบบไม่ได้

 

 

HUG Magazine

มาศวดี ถนอมพงษ์พันธ์

“สามประโยคจากเอ๊ะที่ผมประทับใจ หนึ่งเสียดายที่เจอกันช้าไป สองสมกับการรอคอย สามอยู่กับปัจจุบัน (ยิ้ม)”

“ประทับใจที่สุดคือที่พี่ตั๋งบอกว่ารักเรา (ยิ้ม) ไม่เคยได้ยินจากปากเขาเลย มันสุดยอดแล้วสำหรับเรา”